อาเบลคือคนที่ทำให้เขาเข้าใจโอเมก้า
ชาร์ลคือคนที่ทำให้เขาเข้าใจอัลฟ่า
ไนท์เดินผ่านช่วงเวลาที่สับสนและเติบโตขึ้น
หลังมอบตัว และเข้าร่วมภาคีแล้ว ไนท์ก็ถอยห่างจากเวอร์ชูว
เขาไม่สามารถอธิบายทุกสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ให้กับเวอร์ชูวได้ คำสัญญาของเพื่อนจึงถูกหักหลังด้วยเหตุผลที่เจ้าตัวไม่เข้าใจ เวอร์ชูวจึงปฏิเสธที่จะหยุดการแก้แค้น ปีกสันติภาพไรโซเรียที่เขาสร้างขึ้นแข็งแกร่งขึ้นทุกวันจนน่ากลัว
ไนท์รู้ว่ามันจะต้องเกิดปัญหาสักวันหนึ่ง เขาจึงเลือกที่จะเดินเข้าหาอาเบล หรืออัลฟ่าอันดับสี่ตอนนั้นที่กำลังจะเริ่มสงครามภายในเพื่อชิงตราจักรพรรดิ
หนึ่งคือเพื่อช่วยให้อันดับสี่ได้พลังของจักรพรรดิมา เป็นเกราะป้องกันตัวเองในอนาคต และถ่วงอำนาจของปีกสันติภาพที่พร้อมจะกลืนกินดาวเล็กดาวน้อยที่หวาดกลัวเข้าไปเป็นพวก
ข้อสองที่สำคัญที่สุดคือเพื่อทดสอบตัวเขาเอง ว่าเขายังแค้นเคือง และหวาดกลัวอันดับสี่อยู่หรือไม่
แล้วทำไมเขาถึงเลือกอันดับสี่ ไนท์ถามตัวเองซ้ำๆ ลึกๆแล้วเขาเชื่อว่าความสัมพันธ์บางอย่างหากเกิดขึ้นแล้ว ต่อให้อยากลืมแค่ไหน ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าไม่เคยมี อาเบลประทับตราเขาแล้ว แม้เขาจะลบออกไป แต่มันก็เหมือนมีเส้นใยที่มองไม่เห็นเชื่อมโยงพวกเขาไว้ด้วยกัน
อันดับสี่ในตอนนั้นไม่ได้แตกต่างจากที่เขาเจอเมื่อหลายปีก่อนเท่าไร
การขอร่วมพันธมิตรทำให้อันดับสี่หวาดระแวงเหตุผลที่คลุมเคลือของเขา แต่นั่นไม่สำคัญ ตราบที่เขาให้ประโยชน์อีกฝ่ายได้ ก็เพียงพอแล้วที่จะให้อันดับสี่อดทนกับเขาต่อไป
ทุกครั้งที่ไนท์ต้องเข้าไปพูดคุยใกล้ชิด ไม่ว่าจะประชุมวางกลยุทธ์หรือว่าร่วมต่อสู้ในสนามรบ มีความรู้สึกหนึ่งจุกอยู่ในลำคอทำให้เขาปวดแสบในกระเพาะ และเจ็บที่กลางอกตลอดเวลา
หลายครั้งที่อันดับสี่ทำตัววางอำนาจบาตรใหญ่ ไนท์รับรู้ถึงความกราดเกรี้ยวของตัวเองได้อย่างชัดเจน จนอยากเข้าไปบีบคอขาวๆนั้นให้กรีดร้องขอชีวิต เพราะตอนนี้เขารู้ถึงเคล็ดลับของการใช้พลังที่เหนือกว่าอันดับสี่ด้วยซ้ำ ถ้าหากว่าเขาอยากลงมือแก้แค้น หรือสั่งสอนอันดับสี่ที่เย่อหยิ่งให้หลาบจำเสียบ้างก็ดูจะสามารถทำได้ง่ายๆเหมือนทรมานเด็กทารกสักคน
ถึงอย่างนั้นไนท์ก็พยายามฝืนตัวเองเอาไว้ เขาต้องอดกลั้นทำตามคำสาบานของตัวเองว่าจะไม่แก้แค้น ทั้งไม่ระบายอารมณ์ใส่ผู้อื่น เขาจะไม่กลับไปเป็นสิ่งเดิมๆที่ตัวเองเคยเป็น
เขาเปลี่ยนไปแล้ว...ไนท์ย้ำกับตัวเอง
แต่ความคิดนี้ก็คอยแทรกซึมเข้ามาก่อกวนในใจเขาทุกครั้งที่ได้เห็นใบหน้างามใกล้ๆ ดวงตาทับทิมที่หยิ่งผยอง ริมฝีปากที่แค่นเสียงดูแคลนสรรพสิ่ง ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อไปเบาๆ เพราะอย่างน้อยเขาก็อยากเห็นสีหน้าเคร่งเครียด โกรธแค้นของคนที่เคยเหยียบย่ำเขาบ้าง พอเห็นอีกฝ่ายอึกอัด แต่โต้ตอบเขาไม่ได้ ไนท์ก็รู้สึกว่าก้อนหินที่หนักอึ้งในอดีตเริ่มเบาลงบ้าง
นี่ถือเป็นการเอาคืนที่เล็กน้อยสุดๆแล้วที่ไนท์อนุญาตให้ตัวเองทำได้
ท้ายที่สุดด้วยการร่วมมือของพวกเขาทั้งสอง อันดับสี่ก็ชนะขึ้นเถลิงราชสมบัติเป็นจักรพรรดิคนใหม่ ไนท์ก็ถอนตัวออกมา หวังว่าจะไม่ต้องเห็นหน้ากันอีก ไนท์ถือว่าเขาได้ประโยชน์เพียงพอแล้ว ทั้งได้พันธมิตรที่จะคอยเปิดทางให้ และไม้กันฝูงหมาที่คอยโจมตีเขาในภาคี การเป็นพันธมิตรกับอาเบลคอยเตือนไม่ให้พวกน่ารำคาญมาวุ่นวายกับเขา เรื่องของเขากับจักรพรรดิอาเบลจึงจบลงด้วยประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
แต่แล้วอาเบลกลับเป็นฝ่ายมาเยี่ยมเยือนเขา มาเหยียบดาวแห่งนี้เป็นครั้งที่สอง และเริ่มสนิทสนมกับเขาโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ
อาเบลอยากรู้ความลับของพลังสตริง และมิติที่เขาเข้าถึง จนมีครั้งหนึ่งที่เขาหลวมตัวบอก และหลวมตัวเรียกร้องค่าตอบแทนที่มากเกินไป
อาเบลโกรธเกรี้ยวกลับไป แต่ไนท์กลับเย็นเยือก เขาลูบริมฝีปากตัวเองเบาๆ แล้วถามตัวเองซ้ำๆว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ ใช่กำลังแก้แค้น? หรือว่าแค่กำลังหยอกล้อ? เขารู้แล้วว่าบางสิ่งเกิดขึ้นข้างในตัวเขา และเขาก็หยุดมันไว้ไม่ได้ ชะตากำลังเล่นตลกกับเขาอีกครั้งหนึ่งใช่มั้ย
หรือเหตุผลจริงๆที่เขาเลือกอันดับสี่ อาจจะไม่ใช่เหตุผลที่เขาบอกตัวเองอยู่ทุกวันก็เป็นได้ เขาอาจจะต้องยอมรับมันสักทีว่าจริงๆแล้วเขาน่ะ...
ชอบอย่างนั้นเรอะ?
"ผมจีบอาเบลได้มั้ย?" ไนท์ตัดสินใจถามขึ้นวันหนึ่งที่พบหน้ากันอีกครั้ง
จักรพรรดิหันขวับมาทำตาขวางอย่างที่คาด เอ่ยปากด่าอย่างที่คิด แต่ที่เขาไม่หวังว่าจะเห็น คือใบหน้างามที่ขึ้นสีเรื่อๆ
"แกอย่ามาล้อเล่น!"
ไนท์รับคำตวาดแล้วดึงร่างบางเข้ามากอด เอ่ยถามตรงๆ
"แล้วถ้าผมไม่ได้ล้อเล่นล่ะ อาเบลคิดว่ายังไง?"
"ไปตายซะ" อาเบลระเบิดความเกรี้ยวกราดออกมาระลอกใหญ่ สะบัดตัวออกและเปิดสะพานข้ามดารากลับดาวแม่ไปทันที โดยปล่อยให้คนเริ่มจีบยิ้มเล็กยิ้มน้อยอยู่คนเดียว
เมื่อได้สติ ไนท์ก็ขมวดคิ้วที่ตัวเองเผลอยิ้มแล้วถอนใจเฮือก
เขากำลังมีความสุขเรอะ? ที่ได้หยอกล้อกับศัตรูที่เคยเกลียดชัง นี่มันเป็นไปได้จริงๆหรือ?
นับจากวันนั้นที่แค้นจนกระอักเลือด ไนท์อัศจรรย์ใจตัวเองมากที่เขาเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ดังนั้นอัลฟ่าแห่งดาวเฟลม่าจึงเชื่อเสมอว่าผู้คนเปลี่ยนแปลงได้ไม่มีวันสิ้นสุด ทั้งตัวเขา และอาเบลเองก็เช่นกัน
แต่เรื่องในอดีตเขาก็ไม่คิดจะบอกอาเบลแน่นอน เพราะมันคงไม่สนุกถ้าอาเบลยอมรับเขาเพราะเรื่องราวที่ไม่น่าจดจำนั้น
เขาอยากจะทำให้น้ำแข็งที่เย็นเยือกอย่างอาเบลยินยอมเป็นของเขาอย่างสมัครใจ ไม่ใช่จากหนี้ที่ค้างคากันไว้ หรืออำนาจข่มขู่บังคับ แต่เป็นเพราะเขาที่ยืนอยู่ในปัจจุบันต่างหากที่หลอมละลายหัวใจน้ำแข็งของจักรพรรดิอาเบลลงได้
ส่วนทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาก็ให้มันเป็นความลับของเขาคนเดียวก็แล้วกัน
…
ท่านไนท์
ความทรงจำที่ผมได้เห็น สะท้อนทั้งความคิดและการเติบโตของอัลฟ่าหนุ่มคนหนึ่ง กว่าจะมาเป็นตัวท่านในวันที่เจอผม ท่านไม่ได้กำเนิดมาเพื่อเป็นดวงอาทิตย์ แต่ท่านคือเมล็ดพืชธรรมดาที่เคยผ่านโคลนตมมาก่อนที่จะงอกงามเป็นต้นสูงใหญ่ให้ร่มเงากับผู้อื่น มันช่างอบอุ่นเหลือเกิน
ผมชอบท่านไนท์ ผมชอบท่านมากจริงๆ
แต่น้ำตาแห่งความอ่อนแอ...ผมไม่อาจห้ามไม่ให้มันไหลออกมา ชาร์ลตกใจพยายามพูดอะไรอีกหลายคำที่ผมไม่ได้ยิน เพราะผมกำลังสมเพชตัวเอง สมเพชที่ตัวผมคิดทรยศท่านไนท์ได้อย่างง่ายดาย คิดทอดทิ้งท่านในชั่ววูบเดียว
พอไม่มีกฎเกณฑ์ของจักรวาลมาควบคุม ผมก็สามารถเห็นแก่ตัว และคิดเอาตัวรอดในฐานะอัลฟ่าได้ โดยลืมสิ่งที่ได้รับมาหมดสิ้น
ผมเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าพลังชีวิตในกรงคริสตัลนั้นกำลังแตกซ่าน สสารสีดำหดเล็กลงเหลือเพียงขนาดเท่าลูกบอล
พวกเขากำลังจะฆ่าท่านไนท์ ตามแผนของอาเบล เป็นการทำลายให้ทุกดาวได้เห็น ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่วางใจว่าจักรพรรดิอาเบลอาจจะเก็บสิ่งประหลาดนี้ไว้วิจัยเพื่อสร้างอาวุธที่ร้ายกาจกว่าเดิมได้
แต่อาเบลคงไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรลงไป เขากำลังทำลายท่านไนท์นะ ท่านไนท์ที่...
อ่า ผมไม่รู้ว่าอาเบลคิดยังไงกับท่านไนท์ แต่ว่าผมจะปล่อยไว้แบบนี้หรือ
ถ้าผมปล่อยให้เขาจากไปแบบนี้ ปล่อยให้พระเจ้าลงโทษเขาแต่เพียงคนเดียว ผมจะทนอยู่ต่อไปได้อีกนานแค่ไหนกัน...ผมกัดฟัน จิกมือตัวเองแน่นจนสัมผัสได้ถึงของเหลวที่ไหลไปตามปลายนิ้ว
ผมไม่อยากอยู่อย่างหวาดกลัวอีกแล้ว ผมอยากเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและเป็นตัวของตัวเอง แม้ว่าจะไม่มีใครยอมรับการคงอยู่ของผมก็ตาม
และคนคนเดียวที่ผมจะต้องไม่เสียไปก็คือคนคนนี้ เพราะท่านคืออัลฟ่าคนเดียวที่มองเห็นพวกเรา และเข้าใจหัวใจของโอเมก้าอย่างแท้จริง
ผม...จะต้องช่วยท่านออกมาให้ได้เพื่อคืนท่านให้กับทุกๆคนที่รอคอยท่านอยู่ ส่วนชะตากรรมของผมนั้น..
"…" ผมหลับตาลง สรรพสิ่งรอบข้างไม่มีอะไรไหวติง ทุกอย่างเหมือนรอคอยคำตัดสิน
ชีวิตของโอเมก้าคนหนึ่งในช่วงเวลาสั้นๆที่ท่านไนท์มอบให้คงถือว่าเป็นรางวัลชีวิตที่มากเกินพอแล้ว
พลังของดวงดาวถูกหลอมรวมเอาไว้ในร่างช้าๆ ผมรู้สึกได้ถึงสายธารหินหนืดร้อนที่ไหลอยู่ในดวงดาว และมองเห็นเส้นด้ายสีแดงทอดยาวจากมือของผมออกไปไกลแสนไกลจนหายลับไปในผืนอวกาศสีดำ มันคงเชื่อมโยงไปยังดาวเฟลม่า และนำพาพลังเดินทางมาให้ผมให้มากที่สุดเท่าที่มากได้
เม็ดเหงื่อโตๆผุดขึ้นทั่วหน้า นี่เป็นการใช้พลังขั้นสูงนอกดวงดาวครั้งแรกของผม ซ้ำยังต้องปะทะกับพลังของอัลฟ่าคนอื่นๆที่ชำนาญกว่าผมอีก งานนี้ผมคงต้องพึ่งดวงทั้งชีวิตแล้ว
"เอ็งทำอะไร?" ชาร์ลมองผมอย่างไม่เข้าใจ ผมแบ่งสมาธิมาสบตาเขาตรงๆ
ชาร์เลส ชาร์ล อัลฟ่านักรบผู้มีหัวใจที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง...พี่ใหญ่ที่น่าเทิดทูนของผม
"ไนท์?"
"ผมไม่ใช่ไนท์..."
ดวงตาสีหมอกคู่โตของผมประทับภาพบุรุษสีเพลิงที่ทำหน้างุนงงเอาไว้เป็นครั้งสุดท้าย
"ชื่อของผมคือนิก...นิก นิโคลัส"
ในที่สุดผมก็กล้าที่จะพูดออกไปแล้ว บอกชื่อของผมให้จักรวาลได้รู้ ชื่อแสนไพเราะที่ท่านไนท์ตั้งให้
"ขอบคุณนะครับชาร์ลที่ทำให้ผมมีวันนี้"
ผมว่าจบก็รวมพลังไว้ที่ศีรษะและปลายเท้า แล้วเร่งการระเบิดพุ่งตัวเองเป็นอุกกาบาตปลายแหลมเข้าสู่กำแพงคริสตัล อาศัยที่ทุกคนไม่ทันตั้งตัวและไม่คาดคิดว่าจะมีอัลฟ่าสติไม่สมประกอบกระโจนเข้าไปหาสัตว์ร้ายที่กินอัลฟ่าด้วยกัน
เมื่อเข้าประชิดกำแพง แทนที่จะฝืนเอาพลังเข้าหักล้าง ผมเพ่งสมาธิเร่งอนุภาคของกำแพงคริสตัลให้มันมีพลังสูงขึ้นไปอีกหลายสิบเท่า อนุภาคที่เคยอยู่อย่างเสถียรเริ่มพุ่งชนกันอย่างไร้ระเบียบทำให้กำแพงที่แข็งแกร่งอ่อนแรงลงฉับพลัน มีแต่ต้องใช้วิธีนี้เท่านั้นที่พลังอันน้อยนิดของผมจะสามารถเจาะกำแพงคริสตัลของเหล่าอัลฟ่าอาวุโสได้
"แกทำอะไรของแก อิกไนท์!"
เสียงตวาดกราดเกรี้ยวดังไล่หลังมา ผมไม่เสียเวลาหันกลับไปดูว่าใครมา แต่รีบประคองหัวใจที่กำลังร่วงสู่ตาตุ่มเอาไว้ แล้วกระโดดเข้าไปคว้าสสารสีดำที่กำลังแตกดับมาไว้ในอ้อมกอด พร้อมกับเปิดสะพานข้ามดารากลับไปยังดวงดาวของตนเองท่ามกลางสีหน้าตื่นตระหนกของทั้งจักรวาล
และเสียงคำรามของผู้นำภาคีที่ซัดคลื่นพลังตามมาทีหลัง
….