บทที่ 48 คำร้องขอ
เกาเผิงตะลึงกับภาพที่เห็น เพราะจากที่เขารู้จักเม็ดบัวมา เธอเป็นสาวน้อยอารมณ์ดี เกาเผิงไม่รู้ว่าสิ่งใดทำให้เม็ดบัวโกรธได้ถึงเพียงนี้
ร่างของหมาในโลหิตกลายเป็นเศษเนื้อติดอยู่บนพื้น แต่เม็ดบัวยังเดินไปรอบๆ ด้วยความหงุดหงิด
นักเรียนทั้งหมดต้องถอยหลังกลับไปเพราะหวาดกลัวต่อเสียงคำรามข่มขู่ของสัตว์อสูรตัวนี้
“เม็ดบัว…” มู่ไท่ยิงเดินเข้าไปด้วยความกังวล
ผู้ฝึกสอนกำลังจะเตือนเธอ แต่มู่ไท่ยิงกลับโบกมือปฏิเสธ
“ไม่เป็นไร…ไม่เป็นไร…” มู่ไท่ยิงค่อยๆ เดินเข้าไปลูบศีรษะของเม็ดบัวอย่างแผ่วเบา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นเกาเผิงเดินเข้าไปใกล้ เม็ดบัวกลับพ่นลมข่มขู่อีกครั้ง แต่เมื่อมันสามารถจดจำเด็กหนุ่มได้จึงสะบัดหน้าไปทางอื่นและเพิกเฉยต่อเกาเผิงอย่างสิ้นเชิง
“เธอต้องการให้ฉันติดต่อสัตวแพทย์ไหม?” เกาเผิงกล่าวขณะกวาดตามองเม็ดบัวและไม่พบบาดแผลใดๆ บนร่างกายของมัน
“ไม่ ขอบคุณ ญาติของฉันเป็นสัตวแพทย์” มู่ไท่ยิงส่ายหน้า ครอบครัวของเธอเป็นคนชั้นสูงในสังคม แน่นอนว่าเธอมีสัตวแพทย์ส่วนตัว
“ตกลง” เกาเผิงพยักหน้า
บางคนยังยืนมองอยู่รอบๆ ดังนั้นผู้ฝึกจึงตะโกนเตือน “พวกนายมองอะไรกันอยู่? พวกนายทำภารกิจของวันนี้เสร็จแล้วหรือ? แยกย้าย!”
หลังจากจบการฝึกซ้อมในกรงเสร็จ นักเรียนคลาสพิเศษส่วนใหญ่สามารถกลับบ้านได้เลย ทว่าบางส่วนยังคงฝึกฝนต่อ
กรงสัตว์อสูรถูกนำออกจากโรงเรียนทีละกรง แม้พวกมันจะน่าสนใจแต่นักเรียนนักศึกวิชาทหารทุกคนกลับเดินผ่านพวกมันไปอย่างเงียบๆ ทั้งหมดคือพวกเขาฝึกฝนมาตลอดช่วงบ่ายและเหนื่อยล้าเกินกว่าจะทำสิ่งใดอีก
ตรงประตูทางออกโรงเรียนมียามวัยชราเป็นยามเฝ้าประตูอยู่ เขาได้เห็นสัตว์อสูรมากหน้าหลายตาแทบทุกวัน เขาต้องรับมือกับสัตว์อสูรต่างๆ ของนักเรียน
อย่างตอนนี้ มีหมูยักษ์สีขาวที่เคยขวางหน้าโรงเรียน เวลามันเดินผ่านเขา มันจะใช้ลิ้นใหญ่เลียหน้าเขาประหนึ่งบัตรผ่านประตู
ยามเฝ้าประตูไม่พูดอะไรได้แต่เช็ดหน้าของตัวเองอย่างเงียบๆ หลังจากนักเรียนกลับบ้านหมดแล้ว เขาก็ได้เดินตรวจตรา ปิดประตูและหน้าต่างเสร็จแล้วมาจิบชาที่ห้องพักของเขา
อีกด้านหนึ่งของโรงเรียน เกาเผิงนำต้าซื่อไปยังอาคารเรียนและผูกมันไว้กับต้นไม้ต้นหนึ่ง ชั่วโมงวิชาการยังไม่จบ ดังนั้นเกาเผิงจึงได้ยินเสียงดังออกมาจากห้องเรียน
“ครูได้อธิบายเรื่องนี้มากี่ครั้งแล้ว ทำไมบางคนยังทำไม่ได้? ในหัวของพวกเธอมีแต่ขี้เลื่อยหรืออย่างไร?”
“ปิดตำราเรียนและเก็บสมุดโน้ตของพวกเธอลงไป อย่าโกงนะ การสอบเข้ามหาวิทยาลัย การกระทำของพวกเธอไม่สามารถหลุดรอดจากจอมอนิเตอร์เหล่านี้ไปได้หรอก!”
เสียงคุ้นเคยดังเข้าหูเกาเผิง
ก๊อก ก๊อก
“เข้ามา”
อาจารย์มู่หลางชิงอี้กำลังตรวจการบ้านของเด็กๆ แต่เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น เธอกลับรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “อ้าว เกาเผิงการฝึกตอนบ่ายเสร็จแล้วหรือ?”
“ครับ ผมฝึกเสร็จแล้ว ดังนั้นผมจึงมาพบอาจารย์” เกาเผิงยิ้ม
“แล้วเกาเผิงมีธุระอะไรหรือ?” อาจารย์มู่หลานชิงอี้รู้ว่า หากเกาเผิงไม่มีปัญหา เขาจะไม่มาพบเธอ
“อาจารย์มู่หลางครับ ผมต้องการสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในปีนี้ครับ” เกาเผิงกล่าวเข้าประเด็นทันที
อาจารย์มู่หลางชิงอี้ขมวดคิ้วทันที “เธอล้อเล่นใช่ไหม?”
นี่คือความคิดแรกของเธอ
เกาเผิงแสดงท่าทีขอโทษ “อาจารย์มู่หลางครับ ผมจะตั้งใจอ่านหนังสือและฝึกทำข้อสอบ หากผมได้คะแนนดี ผมสามารถจบการศึกษาได้ในปีนี้ แต่หากไม่ได้ผมก็จะอยู่ที่นี่อีกหนึ่งปี”
อาจารย์มู่หลางครุ่นคิด จากประสบการณ์ของเธอมีนักเรียนไม่กี่คนสามารถเรียนข้ามขั้นได้แบบเขา
อย่างไรก็ตาม เกาเผิงถือเป็นข้อยกเว้น เพราะคะแนนของเขายอดเยี่ยมมาก สิ่งเดียวที่เธอกังวลคือ เขายังอยู่ในชั้นเรียนวิชาทหารพึ่งเกิดขึ้นในปีนี้เอง มันจะเป็นไปได้หรือที่เกาเผิงจะเรียนข้ามชั้นพร้อมกับยังเรียนคลาสพิเศษในเวลาเดียวกัน
“เธอแน่ใจจริงหรือ?” มู่หลางชิงอี้ถามอย่างจริงจัง
“ครับ ผมแน่ใจ” เกาเผิงพยักหน้า
สำหรับเขาไม่มีอะไรน่าสนใจในชั้นเรียนมัธยมอีกต่อไป นอกจากนี้เขามีเพื่อนเพียงสองหรือสามคนเท่านั้น มันจึงไม่มีปัญหาหากเขาจะทิ้งช่วงเวลาในโรงเรียนมัธยมและมุ่งหน้าเข้าสู่มหาวิทยาลัยในทันที
ในความเป็นจริงชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอาจไม่ต่างจากชีวิตในโรงเรียนมัธยมมากนัก แต่สิ่งดึงดูดความสนใจของเกาเผิงคือ ความอิสระของนักศึกษามหาวิทยาลัย
อาจารย์มู่หลางชิงอี้ไตร่ตรองอีกชั่วครู่ก่อนกล่าว
“ฉันจะส่งเรื่องนี้ไปให้ผู้อำนวยการได้รับทราบ แต่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมากนัก”
“ขอบคุณครับอาจารย์มู่หลาง” เกาเผิงรู้สึกซาบซึ้งใจในความช่วยเหลือของอาจารย์หญิงผู้นี้
“เอาล่ะ เธอกลับไปได้แล้ว อย่ารบกวนคนอื่นนะ พวกเขายังต้องเรียนภาคค่ำกันต่อ” มู่หลางชิงอี้โบกมือและปล่อยให้เกาเผิงกลับบ้านไป
…………………………………………….