บทที่ 26 ตะขาบสายฟ้าหลังม่วง
เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น เกาเผิงจึงเฝ้าสังเกตการณ์วิวัฒนาการของต้าซื่อตลอดเวลา
ลุงหลิวให้แก่นคริสทัลกับต้าซื่อโดยไม่ได้ขออนุญาตเขาก่อน เมื่อเกาเผิงรู้ แน่นอนว่าตนต้องรู้สึกเคืองอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อคิดดูให้แล้วมันราวกับเรื่องตลกเสียมากกว่า
เหมือนคุณนั่งรับประทานอาหารอยู่ แล้วคนข้างๆ ได้ตักแบ่งอาหารในจานของเขาให้เรา ตักซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเรากินต่อไปไม่ไหว
แม้มันจะเป็นเจตนาที่ดี แต่ถึงกระนั้นควรรู้ขีดจำกัดด้วย
‘เอาเถอะ ไม่มีหลักฐานจะต่อว่าลุงเขาได้ด้วย’
ดังนั้น...เกาเผิงโน้มตัวลงจับหัวมัน “ทีหลังอย่าไปกินของแปลกๆ น่าสงสัยอีกล่ะ เข้าใจไหมเจ้าตะขาบตะกละ?”
‘ทำไมมันต้องถูกดุด้วย ฮือๆ’
ต้าซื่อถึงกับหงอย มันเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกเกาเผิงดุ ‘เจ้านายบ้า นี่ไม่ใช่ความผิดของฉันเสียหน่อย’
มันยังคงวิวัฒนาการต่อไป แต่ด้วยความเหนื่อยล้า ไม่นานนักมันจึงผล็อยหลับไปในที่สุด
การวิวัฒนาการนี้ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งเมื่อเวลาห้าทุ่ม เกิดการเปลี่ยนแปลงกับร่างกายของต้าซื่อ และร่างของมันยาวขึ้นหลายสิบเซนติเมตร
เปลือกบนแผ่นหลังของมันเปลี่ยนจากสีม่วงเข้มเป็นสีม่วงสว่าง หากสังเกตดีๆแล้วจะพบว่าเกิดเป็นลวดลายสายฟ้าขนาดเล็กจำนวนมากปรากฏขึ้น หนวดของมันห้อยลงพื้นด้วยความอ่อนเพลีย
ชื่อสัตว์อสูร ตะขาบสายฟ้าหลังม่วง
เลเวล เก้า[footnoteRef:0] [0: ]
ระดับ สูง
คุณสมบัติ สายฟ้าพิษ
ความต้องการในการยกระดับ ดื่มผงใบไม้เงินผสมกับน้ำทุกวันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์และกินแก่นคริสทัลสัตว์อสูรของสัตว์อสูรประเภทสายฟ้าชนชั้นนักรบ
ไม่เพียงยกระดับเป็นสัตว์อสูรระดับสูงเท่านั้น ทว่ามันได้เปลี่ยนคุณสมบัติ จาก ‘ธาตุหยินพิษ’ เป็น ‘สายฟ้าพิษ’ อีกด้วย
เกาเผิงมองมันที่กำลังนอนเกียจคร้านอยู่บนพื้นก่อนจะพ่นไอน้ำสีขาวออกมาจากรูหายใจของมัน
ตัวมันในตอนนี้ราวกับเครื่องยนต์พ่นไอก็ไม่ปาน
หลังจากดูแลต้าซื่อเสร็จ ยังมีลิงทึ่มอีกตัวให้เขาดูแลต่ออีก
เกาเผิงเปิดกระเป๋าสีดำออกพร้อมหยิบลูกสนเข็มออกมา มันถูกห่อเก็บความเย็นไว้อย่างดี
ลูกสนเข็มเหมือนกับลูกสนปกติแต่เต็มไปด้วยเข็มเรียวยาวสีเงินขนาดราวๆ สิบเซนติเมตร มันช่างแวววาวดั่งดาราบนท้องฟ้า
เป็นพืชธาตุหยินที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสำหรับสัตว์อสูรธาตุน้ำแข็ง หยิน มืด และอันเดท
เกาเผิงซื้อลูกสนเข็มมาแปดกิโลกรัมซึ่งคงเพียงพอให้ดัมมี่กินตลอดหนึ่งเดือน
ตอนนี้ดัมมี่อยู่ในระดับสมบูรณ์ ถ้าหากเขายกระดับอีก มันจะกลายเป็นระดับมหากาพย์ เกาเผิงไม่เคยเจอสัตว์อสูรระดับมหากาพย์มาก่อน หากแต่เขาเคยเห็นจากจอทีวีเท่านั้น
‘ดัมมี่เพิ่งจะวิวัฒนาการมาเอง เลี้ยงมันสักพักก่อน ไว้ค่อยคิดเรื่องยกระดับดัมมี่ทีหลัง’
เกาเผิงเทลูกสนเข็มสี่ร้อยห้าสิบกรัม ลงในชามสเตนเลส ถาดเดียวกันกับต้าซื่อใช้ ดัมมี่กระโดดดีใจเมื่อถึงเวลาอาหาร มันจ้องมองชามสเตนเลสและเห็นว่าเป็นลูกสนเข็มอยู่ในนั้น มันลังเลเล็กน้อยก่อนจะหยิบลูกสนเข็มขึ้นมา ใช้นิ้วขูดผิวแหลมๆ ของลูกสนเข็มและจับเข้าปากในที่สุด
มันใช้ฟันบดขยี้ลูกสนเข็มและเปลี่ยนให้เป็นกลุ่มหมอกควันสีเงินลอยอยู่ภายในกะโหลกศีรษะของมันราวกับมันกำลังสูบบุหรี่ควันสีเงินถูกเปลวเพลิงสีฟ้าดูดซับเข้าไป ขณะที่เถ้าถ่านของลูกสนเข็มร่วงหล่นลงสู่พื้นก่อนดัมมี่จะหยิบลูกสนเข็มลูกต่อไปเข้าปาก เกาเผิงกลับหยุดมันเอาไว้
“อย่าเพิ่งกิน” ดัมมี่งุนงงเล็กน้อยว่าเจ้านายหยุดมันทำไม เกาเผิงเดินไปหยิบไม้กวาดมากวาดเศษเถ้าถ่านบนพื้นและนำถังขยะมาวางใต้ปากว่างของดัมมี่
“เอาล่ะ กินต่อได้” เกาเผิงกล่าว
ดัมมี่ปฏิบัติตามคําสั่งของเกาเผิงอย่างเคร่งครัด มันเคี้ยวลูกสนเข็มและปล่อยเถ้าถ่านลงในถังขยะด้านล่างอย่างแม่นยำ
“เก่งมาก!” เกาเผิงชื่นชม
เขาหันไปดูนาฬิกาและพบว่ามันเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว
เกาเผิงเอนกายลงบนโซฟาและเริ่มอ่านหนังสือก่อนเข้านอน
ดวงดาวส่องประกายระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า ขณะเด็กหนุ่มหลับพร้อมกอดหนังสือไว้ในอ้อมแขน ภายใต้แสงจันทร์เผยให้เห็นใบหน้าอ่อนโยนและผ่อนคลาย
ต้าซื่อตื่นขึ้นและจ้องมองเกาเผิง มันรีบคลานเข้าไปในห้องนอนและคาบผ้าห่มออกมาคลุมร่างของเด็กชายและทิ้งตัวลงนอนใกล้ๆ โซฟาที่เกาเผิงนอนอยู่
เช้าวันรุ่งขึ้นของการเดินทางไปโรงเรียน บนถนนเต็มไปด้วยสัตว์อสูรนานาชนิด แต่โรงเรียนไม่อนุญาตให้พวกมันเข้าไปในโรงเรียนด้วย
ณ ห้องประชุม
“ฉันไม่เห็นด้วย! โรงเรียนควรจะเป็นสถานที่ที่สงบสุขสำหรับเด็กๆ สัตว์อสูรเหล่านี้ไม่ควรได้รับอนุญาตให้เข้ามา!” ในห้องผู้อำนวยการโรงเรียน ชายชราสูทเทาโต้เถียงอย่างดุเดือด
บุคคลนั่งอยู่ตรงข้ามเขาคือ อธิบดีสำนักงานศึกษาของเมืองฉางอาน
อธิบดีผู้นี้แสดงท่าทางยากที่จะเอา “มันไม่ใช่ผมที่ต้องเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้ แต่เป็นหน่วยงานระดับสูงต่างหาก ทางเราได้รับคำสั่งมาเมื่อไม่กี่วันก่อน คำสั่งได้ออกมาแล้ว โรงเรียนทุกประเทศต้องปฏิบัติตามกฎใหม่นี้”
ผู้อำนวยการโรงเรียน เคยเป็นอาจารย์ของเขามาก่อน ดังนั้นอธิบดีเลยไม่ว่าอะไรกับท่าทีของฝ่ายตรงข้าม
ผู้อำนวยการโรงเรียนมองตาของอีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ฉันไม่ใช่คนแก่กะโหลกกะลา ภรรยาของฉันก็เลี้ยงสัตว์อสูรเช่นกัน แม้เราจะเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงอย่างดี แต่มันก็ยังอันตรายอยู่ดี พวกระดับสูงไม่คิดว่าพวกมันจะเป็นอันตรายบ้างหรือ?”
“พวกเขาต้องการให้แยกเด็กมัธยมต้นออกจากเด็กมัธยมปลายออกจากกัน พวกเราเพิ่งประชุมกันเมื่อเช้าและมีมติว่า จะรวมโรงเรียนมัธยมปลายหมายเลขสามกับเจ็ดเข้าด้วยกัน โดยโรงเรียนหมายเลขสามจะถูกเปลี่ยนเป็นโรงเรียนมัธยมปลาย ขณะเดียวกันโรงเรียนหมายเลขเจ็ดจะกลายเป็นโรงเรียนมัธยมต้น”
แม้ผู้อำนวยการโรงเรียนจะไม่พอใจมากนักแต่เขาต้องยอมรับในที่สุด
“โอ้ จริงสิ จะมีเจ้าหน้าที่จากกองทัพมาดูแลหลักสูตรใหม่ด้วยสินะ”
ผู้อำนวยการโรงเรียนขมวดคิ้วรู้สึกถึงเรื่องไม่ดีมาเยือนเร็วๆ นี้ “ช่วงสถานการณ์ตึงเครียดอย่างนี้หรือ?”
“แม้มนุษย์จะพัฒนาทักษะต่างๆ มากมาย แต่ยังเร็วไม่พอ” อธิบดีกล่าว “สัตว์อสูรที่ซ่อนตัวอยู่ในป่ามีวิวัฒนาการเร็วขึ้นอย่างมาก ทักษะและความรู้ของมนุษย์ยังไม่เพียงพอจะรับมือพวกมันได้ หากเกิดสงคราม นักเรียนของเราต้องพร้อมเข้าร่วมกับกองทัพ”
“การป้องกันประเทศไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย” ผู้อำนวยการโรงเรียนกล่าวอย่างจริงจัง “แต่อย่าบอกเรื่องนี้แก่เด็กนักเร็ว อย่างน้อยตอนนี้สถานการณ์ในแนวหน้ายังคงสงบดี ส่วนเรื่องนำสัตว์อสูรมาโรงเรียนได้ ลูกสาวของฉันต้องดีใจเป็นแน่เมื่อรู้ข่าวนี้ เอาล่ะ ฉันจะแจ้งคุณครูทุกคนให้ทราบเรื่องนี้”
…
หลักสูตรในโรงเรียนมัธยมปลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับเกาเผิง พวกเนื้อหาทั้งหมดเขาเรียนรู้ด้วยตนเองจนหมดแล้ว รวมไปถึงหลักสูตรของมหาวิทยาลัยด้วยและบางครั้งเขาเลือกอ่านหนังสือนอกหลักสูตรอีกต่างหาก
นี่จึงเป็นเหตุผลที่อาจารย์มู่หลางชิงอี้อนุญาตให้เขาหยุดเรียนอย่างง่ายดาย ในความเป็นจริง เกาเผิงสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อย่างไม่มีปัญหาเสียด้วยซ้ำ
เกาเผิงเก่งอย่างนี้แต่ทำไมเขาถึงได้ที่สี่ของชั้น นั่นเป็นเพราะการสอบในยุคใหม่นับคะแนนสรรถภาพร่างกายของวิชาพละรวมเข้าไปด้วย มิเช่นนั้นเขาคงได้ที่หนึ่งของชั้นเรียนเป็นแน่
เมื่อเกาเผิงเดินเข้าไปในห้อง ทุกคนจึงหันมองมาทางเขาเป็นตาเดียว แต่ถึงกระนั้นเขาไม่ใส่ใจสายตาเหล่านั้นและเดินตรงไปนั่งที่ของตัวเองทันที
อาจารย์มู่หลางชิงอี้เดินเข้าห้องก่อนจะเริ่มคาบโฮมรูม แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงตามสายเรียกพบอาจารย์ทุกคนที่ห้องประชุมอย่างเร่งด่วน
อาจารย์ถึงกับกุลีกุจอออกไป ต่อด้วยเสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้น
“เกาเผิง” ตันเฉียนจินที่นั่งอยู่ด้านหน้าเกาเผิงหันหลังมาคุย “ฉันได้ยินว่านายได้รับหนังสือรับรองผู้ประกอบวิชาชีพผู้เพาะพันธุ์สัตว์อสูรขั้นกลางแล้วหรือ?”
“หืม?” เกาเผิงสับสน ‘ตันเฉียนจินรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?’
“นายไม่รู้หรือว่าตอนนี้หนังสือพิมพ์ทุกฉบับลงข่าวเกี่ยวกับผู้เพาะพันธุ์สัตว์อสูรขั้นกลางที่อายุน้อยที่สุดของเมืองฉางอาน นายได้สร้างสถิติใหม่ขึ้นมาแล้ว” ตันเฉียนจินกล่าวชื่นชม
“หลี่ซื่อกงยังบอกอีกว่าแม่ของเขาเป็นคนเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง และบังคับให้เขาอ่านหนังสือเกี่ยวกับผู้เพาะพันธุ์สัตว์อสูรมากขึ้นด้วย เขาเลยต้องลําบากตั้งแต่ตอนนั้นมา”
…………………………………………….