บทที่ 14 สัตว์อสูรตัวแรก
“เอ๋!” เกาเผิงตะลึงอยู่ชั่วขณะก่อนส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไรครับลุงหลิว ต้าซื่อเป็นเหมือนของที่พ่อแม่ของผมทิ้งไว้ดูต่างหน้า มันอยู่ข้างผมมาตลอดสามปี ผมตัดสินใจแล้วว่าจะให้มันเป็นสัตว์อสูรตัวแรกของผม”
ลุงหลิวตะลึงกับคำตอบที่ไม่คาดคิดของเกาเผิงและต้าซื่อดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่ลุงหลิวพูด มันจึงแยกเขี้ยวส่งเสียงขู่ลุงหลิว
“ต้าซื่อ พอได้แล้ว” เกาเผิงดีดนิ้วเตือน
ต้าซื่อมองเกาเผิงอย่างไม่พอใจพลางคลานกลับมาทางเขาอย่างหงุดหงิด มันอยากจะสั่งสอนตาลุงนี่สักหน่อย หลังจากพูดคุยกับลุงหลิวเสร็จ เกาเผิงรีบเดินทางกลับอะพาร์ตเมนต์ทันที
ลุงหลิวมองเกาเผิงพร้อมถอนหายใจ ‘ดูเหมือนเขาจะยังไม่ได้ทำพันธสัญญาเลือดกับตะขาบกรงเล็บเหลืองหลังม่วงสินะ แต่คงอีกไม่นานหรอก ฉันควรจะรายงานเรื่องนี้ให้ตาเฒ่าเจียงรู้ดีไหมนะ?’
เมื่อคิดได้ว่าเขาจะโดนอะไรบ้างหากรายงานเรื่องนี้ไป ‘เฮ้อ! สองคนนี้บทจะดื้อก็ดื้อเหมือนกันแฮะ เอาเป็นว่าไว้เขาทำพันธสัญญากับตะขาบเสร็จก่อนแล้วกันแล้วค่อยบอกให้ตาแก่นั่นรับรู้’
ขณะเดินขึ้นบันได เกาเผิงได้ยินเสียงบางสิ่งอยู่บนเพดาน เงาสีเทากำลังแอบมองเขา แต่เมื่อต้าซื่อแยกเขี้ยวขู่ใส่มัน เจ้าแมงมุมจึงรีบหนีอย่างรวดเร็ว
หลังจากกลับถึงห้อง เกาเผิงวางกระเป๋าลงและตรงเข้าไปในห้องครัว แล้วหยิบของที่ใช้ทำพันธสัญญาเลือด หากมนุษย์ต้องการสร้างพันธสัญญาเลือดกับสัตว์อสูรนั้น พวกเขาจำเป็นต้องใช้เลือดจากนิ้วนางข้างซ้ายเท่านั้น หากใครไม่มีนิ้วนางจำเป็นต้องใช้เลือดจากหัวใจแทน
เกาเผิงหยิบขวดแอลกอฮอล์ที่เขาซื้อในระหว่างทางกลับบ้านเทลงไปในชามและใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดมีดเพื่อฆ่าเชื้อโรค
เกาเผิงจ้องมีดในมืออย่างครุ่นคิด ใบมีดแวววาวหลังถูกเช็ดจนสามารถสะท้อนใบหน้าของเขาได้
เกาเผิงถอนหายใจผ่อนคลาย สาเหตุที่เขาเตรียมใจนานขนาดนี้ เพราะเขากลัวเจ็บและกลัวบาดทะยัก มีดนี้เขาเก็บไว้ใช้สับหมูมาตลอดจึงกลัวว่ามีดจะมีแบคทีเรียหลงเหลืออยู่
เกาเผิงกัดฟัน เขาเอานิ้วนางข้างซ้ายจ่อไว้ตรงคมมีด
หยดเลือดสีแดงไหลซึมจากบาดแผลบนนิ้วของเขาทันที “ต้าซื่อ มานี่เร็ว!” เกาเผิงตะโกนเรียกต้าซื่อ
แกร๊ก…แกร๊ก…
เสียงฝีเท้าราวนิ้วเคาะแผ่นเหล็กดังมาจากห้องนั่งเล่น ต้าซื่อรีบมาหาเกาเผิงทันควัน เกาเผิงหลับตาพร้อมกับท่องพันธสัญญาขณะเอามือข้างซ้ายไปจับหัวของต้าซื่อ
ทันทีที่เขาจับหัวของมัน สัมผัสเย็นยะเยือกแพร่สู่หัวใจของเขา ท่ามกลางความมืดมิดเกาเผิงรับรู้และได้ยินจากรอบทิศทางราวกับมีผู้คนนับพันกำลังบ่นพึมพำอยู่รอบตัวเขา และมีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมา ‘หิวแล้ว…’
‘นี่มันถึงเวลามื้อเย็นแล้วนะ…’
‘เจ้านายบ้า จะให้ฉันอดตายหรืออย่างไร?’
‘หิว...!’ มันคงเป็นเสียงของต้าซื่อสินะ ช่างเป็นความคิดที่ซื่อและเรียบง่ายเสียจริง
‘นี่ฉันได้เชื่อมต่อกับต้าซื่อแล้วใช่ไหม?’
‘ต้าซื่อ?’ เกาเผิงพยายามสื่อสารกับต้าซื่อ
‘หืม?’ เสียงเหล่านั้นเงียบลงในทันทีและเหลือเพียงเสียงเดียว ‘นายเป็นใคร?’ นี่คือผลลัพธ์ช่างน่าอัศจรรย์ของการทำพันธสัญญาเลือด มันจะทำให้ผู้ฝึกสอนสัตว์อสูรสามารถเชื่อมโยงจิตใจกับสัตว์อสูรของพวกเขาได้ จึงทำให้พวกเขาสามารถออกคำสั่งซับซ้อนพวกมันได้
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เวลาพูดคุย เกาเผิงจึงเร่งถามต้าซื่อในทันที ‘ฉันต้องการสร้างพันธสัญญาเลือดกับนาย นายเต็มใจเป็นพรรคพวกกับฉันไหม?’
ในมิติมืดมิด ปรากฏม้วนกระดาษสีเลือดขึ้นมาพร้อมกับเปลวไฟสีทองที่กำลังลุกโชนล้อมรอบตัวเขากับต้าซื่อ
แม้แต่สิ่งมีชีวิตโง่เขลาที่สุดยังเข้าใจว่านี่คือการสร้างพันธสัญญาเลือด
เกาเผิงได้เห็นม้วนกระดาษถูกเปลวไฟสีทองเผาหายไปอย่างช้าๆ นี่บ่งบอกว่าการสร้างพันธสัญญาเลือดประสบความสำเร็จแล้ว
ต้าซื่อตอบรับพันธสัญญาเลือดกับเกาเผิงทันทีอย่างไม่ลังเล
ทำให้เกาเผิงรู้สึกมีความสุขจากก้นบึ้งในหัวใจ เขาเอามือออกจากต้าซื่อพร้อมกับลืมตาขึ้น เขาได้ยินเสียงต้าซื่อพูดกับเขาในทันที ‘หิวแล้ว! หิวแล้ว! ขอข้าวหน่อย”
ต้าซื่อแยกเขี้ยวหุบเข้าหุบออก พร้อมส่ายหนวดของมันไปมา
เกาเผิงมองต้าซื่อพลันเผยรอยยิ้มอบอุ่น “เอาล่ะ กินข้าวกันเถอะ”
เกาเผิงลุกไปหยิบหัวไชเท้า แอปเปิล และเนื้อหมูแช่แข็งออกจากตู้เย็น
เขานำผักและผลไม้ไปล้าง จากนั้นก็นำมันไปต้ม ดูเหมือนเขาวุ่นวายอยู่ในครัวเล็กน้อยก่อนจะปรุงอาหารเสร็จ
“เอาล่ะต้มจับฉ่ายเสร็จแล้ว” เขาใส่อาหารลงในถาดสเตนเลสและวางไว้ในห้องนั่งเล่น
ต้มจับฉ่ายของต้าซื่อนั้น เกาเผิงจำเป็นต้องละลายน้ำแข็งของเนื้อหมูให้ดี หากให้ต้าซื่อกินแบบเย็นๆ มันอาจป่วยได้ เสิร์ฟแบบอุณหภูมิห้องนั้นดีที่สุดแล้ว
‘อร่อย อร่อย’ ต้าซื่อเพลิดเพลินกับมื้ออาหารของมัน ระหว่างที่มันกินเหลือบไปมองเกาเผิงว่าเขาทำอะไรอยู่
เกาเผิงกำลังต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้กับตนเองและส่งกลิ่นหอมออกมา
ทันใดนั้นเอง ต้าซื่อหยุดกินและจ้องมองชามบะหมี่ของเกาเผิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เกาเผิงมองบะหมี่ของเขาก่อนจะกินมัน เขาได้ยินเสียงคลานเข้ามาหาเขา
เขาเห็นเจ้าตะขาบสีม่วงมาเกาะแกะป้วนเปี้ยนตรงขาของเขาพร้อมส่งสายตาหิวกระหายให้กับบะหมี่ของเขา
“เฮ้! แกเป็นตะขาบนะ!” เกาเผิงรู้สึกขบขันกับการแสดงออกของมัน
“ซู่…” ต้าซื่อส่งเสียงขู่ ขยับขากรรไกรไปมา
ดูเหมือนว่าการปฏิเสธของเกาเผิงไม่เป็นผล
“โอเค…เอาไปเลย ถ้าปวดท้องขึ้นมา ฉันจะไม่พาแกไปหาหมอนะ” เกาเผิงวางชามบะหมี่ลงบนพื้น
ไม่พูดพร่ำทำเพลง ต้าซื่อพุ่งเข้าใส่ชามบะหมี่ ดูดข้าปากอย่างกับหมาป่าหิวกระหาย
เกาเผิงมองต้าซื่ออย่างมีความสุข
หลังจากเขาต้มบะหมี่อันใหม่เสร็จ เขาจึงเริ่มคิดหาทางเพิ่มระดับของต้าซื่ออีกครั้ง
เพื่อยกระดับชนชั้นสามัญของต้าซื่อขึ้นเป็นชนชั้นขุนนางได้นั้น ต้องใช้วัตถุดิบหลายอย่าง อาทิเช่น เปลือกไม้สายฟ้าอายุหนึ่งร้อยปีจำนวนหกร้อยกรัม แก่นคริสทัลลสัตว์อสูรประเภทสายฟ้าเลเวลสิบขึ้นไป และหญ้าเงาสิบใบ
แก่นคริสทัลสัตว์อสูรเป็นวัตถุดิบราคาแพงที่สุด และต้องเป็นแก่นคริสทัลสัตว์อสูรเลเวลสูงมากกว่าสิบขึ้นไปอีก ทั้งยังต้องมาจากสัตว์อสูรธาตุสายฟ้าหายากอีกด้วย
ดังนั้นของที่เขาสามารถซื้อได้ง่ายๆ ใช้เพียงแค่สิบเครดิตพันธมิตรอย่างแรกก็คือ หญ้าเงา
หญ้าเงาเป็นสมุนไพรชนิดพิเศษที่เติบโตในสถานที่ที่มีพลังหยินสูง โดยปกติแล้ว พื้นที่แถบนั้นมักมีสัตว์อสูรแข็งแกร่งอาศัยอยู่ จึงเป็นเรื่องท้าทายมากหากจะไปเก็บหญ้าเงามาสักใบ
เกาเผิงตรวจสอบราคามาแล้ว หญ้าเงาหนึ่งใบมีราคาสองร้อยดอลลาร์พันธมิตร สิบใบก็สองพันดอลลาร์พันธมิตร แต่อย่างไรเสียหญ้าเงามักใช้เป็นอาหารแค่พวกสัตว์อสูรธาตุหยิน มืด และอันเดทเท่านั้น ทำให้ไม่ได้รับความนิยมมากนัก เขาอาจต่อรองพ่อค้าให้ได้ราคาถูกกว่าเดิมได้
ส่วนเปลือกไม้สายฟ้าอายุหนึ่งร้อยปี ไม่จำเป็นต้องมาจากต้นไม้ที่มีชีวิตถึงหนึ่งร้อยปีก็ได้ แค่ใช้ของสรรพคุณคล้ายคลึงกันอย่างเช่น ต้นโสมซึ่งเติบโตมาเป็นเวลาร้อยปีแล้ว
…………………………………………….