บทที่ 9 ร้องไห้ราวกับเด็กทารก
เกาเผิงได้ค้นพบว่า การอดทนต่อสายตาอ้อนวอนของต้าซื่อนั้นเป็นเรื่องยากแต่เขาจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อการซื้อวัตถุดิบในการยกระดับ แถมซากงูเองก็มีคุณค่าโภชนาการไม่สูงมากนัก ฉะนั้นนำมันไปขายแลกเงินคงเป็นการดีกว่า
บนยอดไม้ห่างออกไปประมาณหนึ่งร้อยเมตร ชายสวมชุดสีน้ำเงินซึ่งเขาเป็นเจ้าหน้าที่จากบริษัทรักษาความปลอดภัยบลูชิลด์เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ “เจ้าเด็กนี่ไม่เลวเลย ซากอสรพิษศิลาสามารถทำเงินให้เขาได้ถึงหนึ่งเครดิตพันธมิตรเชียวนะ”
หน้าที่หลักของพวกเขาคือ ดูแลความปลอดภัยให้แก่เหล่าเด็กๆ แต่กับพวกสัตว์อสูรของนักเรียน พวกเขาไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าจะเป็นหรือตาย เพราะพวกเขามีหน้าที่แค่รับผิดชอบชีวิตของเด็กๆ เท่านั้น
ในยุคนี้ เด็กที่มีอายุสิบหกปีถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ดังนั้นพวกเขาต้องผิดชอบการกระทำของตัวเอง
แต่ขณะเดียวกัน ไห่หลานหยูกำลังวิ่งเล่นไปรอบๆ บริเวณชายป่ากับสัตว์อสูรของตนและตอนนี้ความหงุดหงิดต่อเกาเผิงได้หายไปเรียบร้อยแล้ว เพราะมันเป็นแค่เรื่องกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ไห่หลานหยูเลือกสำรวจบริเวณป่า ส่วนเกาเผิงเลือกบริเวณทะเลสาบ
ดูเหมือนวานรนิลทมิฬไม่ได้เห็นป่ามานานมากจึงแสดงอาการตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
มันทุบอกหน้าอกส่งเสียงดังไปทั่วพร้อมโห่ร้องอย่างมีความสุข
เจ้าวานรกระโดดโลดเต้นไปมาจนเหมือนมันลืมไห่หลานหยูแล้วสิ้น
‘ช่างเถอะ ให้มันเล่นสนุกไปก่อนแล้วกัน’ ไห่หลานหยูคิด
เขาอยากลองฝึกมันแต่เมื่อเขาเห็นร่างกายใหญ่โตและแข็งแกร่งของมันแล้ว เขาจึงไม่กล้าทำอะไรมันเลย
ไห่หลานหยูจำสิ่งที่อาจารย์สอนได้ว่า ควรให้สัตว์อสูรได้มีช่วงเวลาที่มันต้องการบ้าง แต่เขาจำได้แค่บางส่วนและพลาดหัวใจสำคัญไปอย่างสนิท
แท้จริงแล้ว สิ่งที่อาจารย์หมายถึงนั้นคือ การรักษาสมดุลระหว่างการฝึกกับการเล่นสนุก นอกเหนือจากเวลาฝึก ผู้ฝึกสัตว์อสูรจำเป็นต้องสร้างความคุ้นเคยซึ่งกันและกัน เพื่อให้ทั้งสองมีสายสัมพันธ์ที่ดี ทำให้สัตว์อสูรสามารถแสดงพลังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ความสามารถเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ฝึกมีโอกาสรอดได้มากขึ้น
เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงช่วงบ่าย อาจารย์มู่หลางชิงอี้นำเต็นท์ออกมากางและสอนวิธีการตั้งเต็นท์ให้กับเด็กๆ หลังจากนั้นเต็นท์มากมายถูกกางออกมาและแต่ละหลังสามารถพักได้สองคน
เกาเผิงกางเต็นท์พักอยู่กับหัวหน้าห้องอย่างตันเฉียนจิน หลังจากจับคู่กันเรียบร้อยแล้วตันเฉียนจินเผยรอยยิ้มพร้อมยื่นมือออกมา “เป็นเกียรติมากที่ได้อยู่กับนักเรียนอันหนึ่งของห้อง”
เกาเผิงไม่คุ้นชินกับทักทายแบบนี้ แต่หากถ้าปฏิเสธการจับมืออาจเป็นการเสียมารยาท เกาเผิงจึงเลือกจับมือทักทายเขากลับไปแทน
ข้างในเต็นท์ เกาเผิงนำสัมภาระออกมาจากกระเป๋า เขาหยิบกระปุกเครื่องเทศออกมาก่อนจะแบ่งให้กัปตันเฉียนจินหนึ่งกระปุก
มื้อเย็นวันนี้คือ ปลาย่างที่จับได้จากทะเลสาบ
เกาเผิงทำอาหารเก่งมาก เขานำปลาไปหมักกับมัสตาร์ดที่ทำไว้เป็นกระปุกเครื่องปรุง
ตันเฉียนจินลองชิมเครื่องเทศของเกาเผิง ในคำแรกหลังจากกัดลงไป เขารู้สึกดีมาก เขามองกระปุกในมือของตัวเองอย่างงุนงง ก่อนจะตวัดสายตามองเกาเผิงและเก็บเครื่องเทศใส่ลงในกระเป๋าของเขา
ตันเฉียนจินจับไหล่เกาเผิง “ไปกันเถอะ ไปกินปลาย่างกัน” เขาพูดด้วยรอยยิ้มเผยให้เห็นลักยิ้มข้างแก้ม
บริเวณขอบตลิ่งของทะเลสาบมีปลาจำนวนมากถูกจับมากองไว้ เงาบางอย่างบินเหนือทะเลสาบ ก่อนจะบิดรูปร่างทิ้งตัวลงมาหยุดอยู่ตรงขอบตลิ่ง เผยให้เห็นนกสีเงินขนาดใหญ่ สูงครึ่งเมตร ในกรงเล็บอันแหลมคมของมันมีปลาตัวโตอยู่
มันวางปลาตรงด้านหน้าอาจารย์มู่หลานชิงอี้ อาจารย์ลูบหัวมันเพื่อชมเชยเจ้านกสีเงินด้วยสายตาแสนอบอุ่น
มันคือ วิหคปีกสีเงิน เป็นสัตว์อสูรที่นิยมเลี้ยงกันโดยทั่วไป มันมีความสามารถยอดเยี่ยมในการขยายพันธุ์ เลี้ยงดูง่ายและมีความแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง ผู้คนจึงนิยมเลี้ยงและสร้างพันธสัญญาเลือดกับมัน
วิหคปีกสีเงินที่โตเต็มวัยจะมีความสูงราวหนึ่งเมตรครึ่ง หากเทียบกับนกชนิดอื่น มันถือเป็นนกขนาดใหญ่
ชื่อสัตว์อสูร วิหคปีกสีเงินขนาดใหญ่
ระดับ สูง
เลเวล สิบสอง
…
ในบรรดาพวกสัตว์อสูรกลายพันธุ์ สัตว์อสูรขนาดใหญ่มักเป็นจ่าฝูงของเหล่าสัตว์อสูรพวกนั้น และระดับจะสูงกว่าปกติด้วยเช่นกัน
ในละแวกนี้ สัตว์อสูรระดับสูงอย่างวิหคปีกสีเงินจึงถือเป็นนักล่าบนยอดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร
สัตว์อสูรประเภทนกมีความคล่องตัวสูง ด้วยความสามารถในการบินทำให้พวกมันเป็นผู้สนับสนุนชั้นยอด ทางโรงเรียนมักใช้มันดูแลความปลอดภัยให้แก่นักเรียน
“ว้าว! อาจารย์มู่หลาน อาจารย์มีนกยักษ์ด้วย” หลี่ซื่อกงส่งเสียงดังด้วยความตื่นเต้น
แปะ! หลี่หงตูตบหัวหลี่ซื่อกงเสียงดัง “นี่แกพูดปกติได้ไหม?!”
ทุกคนรอบตัวเขาเงียบลงทันที
หลี่ซื่อกงมองพี่สาวของตัวเองอย่างหัวเสีย “หยุดตบหัวฉันได้แล้ว ไอคิวของฉันลดลงเพราะพี่ตบเอาตบเอานี่แหละ”
“โอ้โห” หลี่หงตูมองหลี่ซื่อกงพลางถูกำปั้นของเธอ “น้องรักของพี่คงอยากโดนทุบอีกใช่ไหม?”
…
นักเรียนทุกคนไม่เคยเห็นวิหคปีกสีเงินมาก่อนจึงล้อมวงเพื่อดูมัน
หากไม่กลัวว่ามันจะจิกเอา พวกเขาคงยื่นมือไปจับมันแล้ว
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าอวบอิ่มของมู่หลางชิงอี้ “ทุกคนอย่าเข้าใกล้หลินซูมากเกินไปนะคะ มันไม่คุ้นชินกับคนเยอะๆ และไม่แตะตัวมันคงเป็นการดีที่สุด”
“สวัสดีเจ้านก ถ้าฉันเรียกนาย นายจะตอบฉันไหม” ตันเฉียนจินกล่าวพร้อมเผยรอยยิ้มกว้าง
วิหคปีกสีเงินเชิดหน้ามองตันเฉียนจินด้วยสายตาแหลมคม
ตันเฉียนจินถอยหนีพร้อมน้ำตาคลอเล็กน้อย เขาคิดว่าตนกำลังถูกเจ้านกดูถูกเหยียดหยามอยู่เป็นแน่
“...”
แต่แล้ว เจ้าวิหคปีกสีเงินก็หมดความอดทนและกางปีกบินออกไปในที่สุด
“อาจารย์มู่หลาน! เจ้าลิงของผมไม่รู้หายไปไหน ผมพยายามเรียกผ่านพันธสัญญาเลือดแล้วแต่ไม่มีการตอบสนองเลย ต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับแน่ๆ”
ไห่หลานหยูวิ่งมาไกลจนหมดแรง
เขาวูบลงนั่งกองกับพื้น น้ำตาเอ่อล้นออกมาไม่ยอมหยุด เขาร้องไห้ฟูมฟายราวกับเด็กเพิ่งคลอด
…………………………………………….