บทที่ 2 ตะขาบกรงเล็บเหลืองหลังม่วง
“ต้าซื่อ! นายอยู่ไหน? ออกมาเร็ว!” เกาเผิงส่งเสียงเรียกเมื่อกลับมาถึงห้องของตน
เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเจ้าของ ‘ต้าซื่อ’ ยังคงนอนแผ่สบายใจอยู่ตรงพื้น หลังจากถูกเรียกซ้ำๆ จึงยอมคลานออกมาจากใต้โซฟา
เผยให้เห็นบางสิ่งที่มีลำตัวสีม่วงเข้ม แต่หากเมื่อใดกระทบกับแสงโคมไฟ สีของมันยิ่งเข้มมากขึ้นไปอีก เสียงดังกุกกักจากแขนขาที่มีกรงเล็บสีเหลืองซีดกระทบพื้นราวกับเสียงเคาะนิ้วบนโต๊ะ
ตะขาบกรงเล็บเหลืองหลังม่วง เป็นสัตว์อสูรชนิดหนึ่งซึ่งเกาเผิงเรียกชื่อมันด้วยความเอ็นดูว่า ‘ต้าซื่อ’ เพราะมันตัวใหญ่แถมรูปร่างยังคล้ายกับตะขาบสีม่วงอีก… ไม่สิ มันคือตะขาบยักษ์กลายพันธุ์ต่างหากล่ะ
ตะขาบกรงเล็บเหลืองหลังม่วงถือเป็นสัตว์เลี้ยงตัวเดียวและเป็นสิ่งที่สุดท้ายที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้เขาด้วย
เกาเผิงยังจำได้ดีในวันที่พ่อแม่นำต้าซื่อมาให้ เป็นวันที่สามหลังจากโลกปฏิวัติ ตอนแรกขนาดของต้าซื่อตัวเล็กเท่าตะเกียบ กระดองมันสีม่วงอ่อนคล้ายสีชมพูดูน่ารักน่าเอ็นดูมาก
เกาเผิงส่ายหัวสลัดความคิดออกไป เขาหันมามองต้าซื่อในตอนนี้ ขนาดของมันยาวถึงสองเมตร ความกว้างเท่าหนึ่งฝ่ามือและขากรรไกรแหลมคม ตอนนี้มันห่างไกลจากคำว่าน่ารักมาก กลายเป็นต้าซื่อที่เมื่อพาออกไปข้างนอกผู้คนที่พบเห็นต่างหวาดกลัวจนหัวใจจะวาย
ประสาทการมองเห็นของต้าซื่อไม่ค่อยดีนัก มันจึงใช้หนวดสีม่วงบนหัวตรวจจับสภาพแวดล้อมโดยรอบ รวมไปถึงใช้ตรวจจับกลิ่น แรงสั่นสะเทือน หรือแม้กระทั่งแยกแยะเสียงได้
เกาเผิงไม่เคยหวาดกลัวรูปลักษณ์ภายนอกของต้าซื่อ เขาเลี้ยงดูมันเป็นอย่างดีตลอดสามปีที่ผ่านมา และที่สำคัญมันยังเป็นสัตว์เลี้ยงที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าก่อนพวกท่านจากไปด้วย
“ต้าซื่อ เสียงขู่เจ้าแมงมุมเมื่อกี้เป็นเสียงแกใช่ไหม?” เกาเผิงถามด้วยความสงสัยพลางเขาลูบหัวสัตว์เลี้ยง
ผิวของมันเย็นเฉียบราวกับจับต้องแผ่นเหล็กเย็นๆ
ต้าซื่อไม่ตอบแต่กลับส่ายหนวดของมันเบาๆ เกาเผิงไม่ได้ใส่ใจกับการตอบสนองนั้น ระดับสติปัญญาของต้าซื่ออาจไม่สูงนัก สมองมันเทียบเท่ากับเด็กอายุสามขวบเท่านั้น
ต้าซื่อไม่สามารถเข้าใจคำสั่งที่ซับซ้อนได้ มันเข้าใจเพียงแค่คำสั่งพื้นฐานง่ายๆ เช่น กัด แกล้งตาย หรือหมุนตัวสามรอบ เป็นต้น
ต่อให้มันไม่ตอบอะไร แต่เกาเผิงรู้ดีว่าเสียงขู่นั้นมันเป็นเสียงของต้าซื่อ เขาเลี้ยงมันมานาน เขาจำเสียงมันได้
สัตว์อสูรเป็นสิ่งมีชีวิตน่าพิศวง ไม่เว้นแม้แต่ต้าซื่อด้วย เขาจำจากที่อาจารย์สอนได้ว่า ตะขาบกรงเล็บเหลืองหลังม่วงเป็นสัตว์อสูรดุร้ายตัวหนึ่ง
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้เขาสงสัยว่าอาจารย์จางจะโกหกเขาอะไรเขาอีกหรือเปล่า เพราะต้าซื่อมันออกจะสงบเสงี่ยม เรียบร้อย ดูไร้พิษสงจะตาย
เกาเผิงเอามือไปลูบหนวดของต้าซื่อ มันทั้งนุ่มและยืดหยุ่นได้ด้วย
ต้าซื่อจ้องมองเกาเผิงราวกับจะพูดว่า ‘เจ้านายไม่มีอะไรทำหรืออย่างไร’
เมื่อเห็นต้าซื่อนอนเกลือกกลิ้งไปมา เกาเผิงจึงอดคิดไม่ได้ว่ามันใช่สัตว์อสูรดุร้ายจริงหรือ
เกาเผิงมองมันอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง จู่ๆ หน้าต่างข้อมูลบางอย่างโผล่ขึ้นมา และมีเพียงเขาเท่านั้นมองเห็นมัน
ชื่อสัตว์อสูร: ตะขาบกรงเล็บเหลืองหลังม่วง
เลเวล: 5
ระดับ: ปกติ
คุณสมบัติ: ธาตุหยินและพิษ
สถานะ: สุขภาพดีและมีความสุข
จุดอ่อน: ธาตุไฟฟ้า
ความต้องการในการเลื่อนระดับ: แก่นสัตว์อสูรประเภทสายฟ้าเลเวลสิบขึ้นไป เปลือกไม้สายฟ้าอายุหนึ่งร้อยปีจำนวนหกร้อยกรัม หญ้าเงาจำนวนสิบใบ
เกาเผิงทึ่งอยู่พักหนึ่ง ตั้งแต่วันเกิดอายุครบสิบแปดปี เขาค้นพบว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษมองเห็นค่าสถานะของเหล่าสัตว์อสูรได้ทุกตัว แต่ละตัวมีค่าสถานะแตกต่างกัน อย่างเช่น แมงมุมตัวน้อยของคุณยายเฉิน
ชื่อสัตว์อสูร: แมงมุมริ้วโลหะ
เลเวล: 3
ระดับ: ปกติ
คุณสมบัติ: ธาตุไม้
สถานะ: สุขภาพดีและมีความสุข
จุดอ่อน: ธาตุไฟ
ความต้องการในการเลื่อนระดับ…
เกาเผิงเฉียดตายเมื่อครู่นี้ เพราะเขาต้องการทดสอบความสามารถของตนว่าได้ผลจริงหรือไม่ และนั่นเป็นเพียงความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น
'เดี๋ยวนะ สถานะมีความสุข เจ้าแมงมุมแค่เล่นกับเขาเหรอเนี่ย และดูเหมือนมันจะสนุกมากเสียจริง' เกาเผิงทำสีหน้าปั้นยาก
สาเหตุที่เขาไม่กล้าทดลองกับต้าซื่อนั้น ประการแรก ถ้าข้อมูลพวกนั้นถูกต้อง เขาทนเห็นต้าซื่อได้รับบาดเจ็บไม่ไหว ประการที่สอง เขาไม่รู้จะหาสายไฟจากที่ไหน ครั้นจะเลาะสายไฟมาช็อตต้าซื่อก็เสี่ยงเกิดไฟฟ้าลัดวงจรอีก
“อืม...ความต้องการในการเลื่อนระดับหรือ” เกาเผิงพึมพำพร้อมแววตาเปล่งประกาย
สัตว์อสูรระดับสูงนั้นหายากมาก แม้จะอยู่ท่ามกลางฝูงสัตว์อสูรนับร้อยตัวยังถือว่ายากจะหาสัตว์อสูรระดับสูงเพียงตัวเดียวได้ สัตว์อสูรระดับสูงสามารถรับมือสัตว์อสูรระดับปกติสองตัวพร้อมกันได้สบายๆ
ถัดจากระดับสูงเป็นระดับสมบูรณ์ เมื่อกลายเป็นสัตว์อสูรระดับสมบูรณ์แล้วจะสามารถข้ามขีดจำกัดและกลายเป็นสัตว์ชนชั้นนักรบได้
เกาเผิงเคยเห็นสัตว์อสูรชนชั้นนักรบตามเว็บไซต์และโทรทัศน์เท่านั้น พลังอันน่าพิศวงของสัตว์อสูรชนชั้นนักรบนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเขา
เกาเผิงเก็บความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ เขาลูบหัวต้าซื่อพลางพูดว่า “ต้าซื่อ ฉันจะทำให้นายเป็นสัตว์อสูรระดับสูงให้ได้เลย”
สำหรับเกาเผิงแล้ว ต้าซื่อนั้นเป็นมากกว่าเพื่อน มันเป็นเหมือนพี่น้องอยู่เคียงข้างเขาตลอดสามปีแห่งความโดดเดี่ยวเช่นนี้ และเป็นเหมือนของดูต่างหน้าที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ เกาเผิงกำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัว
จากนั้นเกาเผิงเดินไปยังห้องครัว เปิดช่องฟรีซนำเนื้อแช่แข็งออกมา เขาหยิบขวานจากในตู้เก็บเครื่องครัวก่อนจะสับเนื้อแช่แข็งบนเขียงไม้
ฉับ ฉับ
เศษน้ำแข็งกระเด็นไปทั่วบริเวณด้วยแรงสับ
เมื่อจัดการเนื้อแช่แข็งเสร็จ เกาเผิงนำเนื้อใส่ลงในชามสเตนเลส จากนั้นหยิบแครอทออกมาล้างต่อด้วยหั่นเป็นชิ้นอย่างไม่พิถีพิถันนัก และใส่ลงภาชนะเดียวกันในที่สุด
นี่คือมือเย็นของต้าซื่อวันนี้ เจ้าตะขาบจะกินสองมื้อต่อวันคือ มื้อเช้ากับมื้อเย็น
อาหารของต้าซื่อนั้นเป็นเมนูง่ายๆ เพียงเนื้อดิบกับแครอทหรือเนื้อกับมันฝรั่งเท่านั้น
แต่ถึงจะดูเรียบง่ายอย่างไรก็ตาม แต่เกาเผิงยังคงคิดแล้วคิดอีกว่าจะให้ต้าซื่อกินอะไร เพราะแถวนี้ไม่มีใครมีประสบการณ์การเลี้ยงสัตว์อสูรประเภทตะขาบเลย
หลังจากค้นคว้าจากอินเทอร์เน็ตแล้วพบว่า ตะขาบเป็นสัตว์ที่สามารถกินได้หลากหลายมาก แต่ชอบที่สุดเห็นจะเป็นจำพวกแมลง เช่น หนอนนก จิ้งหรีด ตัวด้วง ปลวก จักจั่น แมลงปอ แมงมุม แมลงวัน และผึ้ง รวมไปถึงไข่และตัวอ่อนของแมลงดังที่กล่าวมา นอกจากนี้พวกมันยังกินหนอน ไส้เดือน หอยทาก ตลอดจนพวกเนื้อเครื่องใน เลือด กระดูกอ่อนของพวกปลา พวกสัตว์ปีก หรือพวกสัตว์ที่อาศัยในคอกในเล้าทั้งหมด อีกทั้งพวกพืชมันก็สามารถกินได้ เช่น เปลือกผลไม้ มันฝรั่ง แครอท ผักต่างๆ แม้แต่นมกับขนมปังมันก็ด้วย
แต่เกาเผิงเอง ไม่ค่อยอยากให้ต้าซื่อกินพวกเนื้อกับเครื่องในมากนักเพราะต้องวุ่นวายในการทำอาหาร แถมมันมักส่งกลิ่นที่ไม่ค่อยสู้ดีและทำความสะอาดยากอีกต่างหาก
เกาเผิงเคยออกไปจับพวกแมลงแถวๆ นี้มาให้ต้าซื่อกิน แต่ทำได้ไม่นานก็ต้องหยุด เพราะต้าซื่อยิ่งโตขึ้นยิ่งต้องการอาหารมากขึ้นตามขนาดตัวของมัน เขาลงทุนไปจับแมลงทั้งวันแต่ไม่พอต่อความต้องการของมัน สุดท้ายจึงลงเอยที่เนื้อแช่แข็ง เพราะเขาหาซื้อได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อ
เกาเผิงเคยคิดจะซื้อพวกแมลงมาให้ต้าซื่อกินเช่นเดียวกัน แต่ต้องหยุดความคิดนั้นไปเพราะแมลงราคาค่อนข้างสูง
เงินใช้จ่ายของเกาเผิงในแต่ละวันได้มาจากรัฐบาลส่วนหนึ่ง และเป็นเงินเก็บของพ่อแม่ของตน ทำให้เขาไม่ขัดสนเรื่องค่าใช้จ่ายสักเท่าไร
แต่ถึงกระนั้น มันยังคงไม่มากพอสำหรับใช้ไปทั้งชีวิตในโลกที่แสนจะอันตรายนี้
หากวันหนึ่งเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น เกาเผิงคงอยู่เฉยไม่ได้เป็นแน่
…………………………………………….