ขณะที่รอผลการตรวจจากหมออยู่ที่หน้าห้อง MRI อยู่นั้น ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก หัวใจของผมเต้นรัวเป็นกลองเพล ผมเดินวนไปมาตามทางเดินด้วยใจที่หวาดกลัวและมือสองข้างที่เย็นเฉียบ ภายในหัวว่างเปล่า คิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น แต่รู้สึกได้ว่าสมองมันบีบรัดซะจนเครียดหัวแทบระเบิด ผมได้แต่พึมพัมคำเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาว่า
"ขอให้แม่ไม่เป็นอะไร… ขอให้แม่ไม่เป็นอะไร… ขอให้แม่ไม่เป็นอะไร..."
ครืด! พยาบาลเลื่อนประตูเปิดอย่างรวดเร็ว และพูดว่า "ญาติคุณกาญชนก เชิญพบหมอด้านในค่ะ"
ผมรีบเดินตรงไปที่ห้องทันที ป้าเอียดที่นั่งรออยู่หน้าห้องกับลุงโกพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง "วิน ป้าขอเข้าไปด้วยนะ"
ผมพยักหน้าตอบ ยื่นมือไปหาป้าเอียด พาเข้าไปพบหมอด้วยกัน ป้าเอียดเป็นคนที่มีพระคุณกับครอบครัวผม กับแม่มาก เพราะเป็นคนแรกที่ยื่นมือเข้ามาช่วยแม่หลังจากที่พ่อจากไป ให้กำลังใจแม่และแนะนำให้มาทำงานเป็นแม่ครัวด้วยกัน ป้าเอียดมีลูกสองคน ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ทั้งคู่ทำงานมีครอบครัวหมดแล้ว แต่เห็นว่านานปีทีหนจะกลับมาเยี่ยมป้าเอียดกับลุงโกที่บ้านสักครั้ง
เมื่อเข้าไปในห้อง เห็นคุณหมอที่กำลังจัดฟิลม์เอกซเรย์ขึ้นบอร์ดอยู่ ผมรีบนั่งเก้าอี้และถามคุณหมออย่างร้อนรนว่า
"คุณหมอครับ แม่ผมเป็นอย่างไรบ้างครับ ทำไมอยู่ๆ ล้มไปแบบนั้น"
"โอเค หมอขออธิบายอย่างเร่งด่วนหน่อยนะ ดูที่ฟิลม์ตรงนี้ได้เลย คุณแม่ของคุณมี ภาวะหลอดเลือดสมองโป่งพองแตก แต่โชคดีมากที่ผู้ป่วยส่งถึงมือแพทย์โดยเร็ว เลยช่วยบรรเทาความเสียหายที่เกิดกับสมองได้ และเพื่อป้องกันการแตกซ้ำของหลอดเลือด ต้องรีบดำเนินการรักษาทันที เพราะเมื่อไรก็ตามที่หลอดเลือดแตกเป็นครั้งที่สอง โอกาสในการเสียชีวิตของผู้ป่วยจะยิ่งเพิ่มสูงมากขึ้น หมอแนะนำให้รีบตัดสินใจ เนื่องจากมีโอกาสเกิดขึ้นสูงมากภายหลังจากการแตกครั้งแรกในเวลาไม่นานนี้"
"...."
หน้าของผมชาในทันทีกับเรื่องราวที่ได้ยิน และเหมือนสติจะล่องลอยออกไกลไปเรื่อยๆ แต่ผมรีบตั้งสติถามคุณหมอต่อ
"ต้องผ่าตัดใช่ไหมครับ ผ่าตัดเปิดกระโหลกน่ะเหรอครับ?" ผมพูดออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือ
"ถือเป็นความโชคดีบนความโชคร้ายซึ่งจุดที่ต้องรักษาของคุณแม่ อยู่ในตำแหน่งที่สามารถรักษาด้วยการผ่าตัดส่องกล้องแบบไม่จำเป็นต้องเปิดกระโหลกครับ ไม่ต้องห่วงนะ ทำใจดีๆ เอาไว้ ตอนนี้คุณแม่ปลอดภัยแล้ว"
"...เฮ้อ~! ค่อยยังชั่ว" ผมถอนหายใจยาวและแรงหนึ่งครั้ง และรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย คุณหมอคงสังเกตสีหน้าของผม จึงอธิบายแบบปลอบผมไปด้วย แล้วคุณหมอก็อธิบายต่อ
" 'การผ่าตัดส่องกล้อง' หรือการศัลยกรรมผ่าตัดผ่านกล้อง (Minimally Invasive Surgery) เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ที่ช่วยแผลผ่าตัดมีขนาดเล็กลง ลดอาการเจ็บแผล และใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิดแผล ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้เร็วขึ้น และจุดที่คุณแม่น้องต้องรักษา อยู่ในตำแหน่งที่สามารถส่องกล้องรักษาผ่านทางรูจมูกได้อีกด้วย วิธีนี้จะใช้เวลาในการผ่าตัดน้อยมาก ไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็เสร็จแล้ว ที่สำคัญหลังผ่าตัดไม่ต้องอยู่ ICU และพักเพียง 2-3 วันก็กลับบ้านได้แล้วครับ"
"ตกลงครับ รบกวนคุณหมอรักษาแม่ผมด้วยนะครับ" ผมใจชื้นขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี
"แน่นอนครับ หมอจะทำสุดความสามารถ แต่… ต้องแจ้งไว้ก่อนครับว่า การรักษาแบบนี้ค่อนข้างแพง และประกันสังคมไม่สามารถเบิกได้ทั้งหมดครับ"
"...ครับ เรื่องนั้นไม่มีปัญหาครับ ขอให้แม่หายดีก็พอครับ"
"งั้นหมอจะรีบเตรียมห้องผ่าตัดเลย ส่วนรายละเอียดที่เหลือ เอกสารที่ต้องเซ็น คุณพยาบาลจะเป็นคนอธิบายให้ฟังหลังจากนี้นะครับ" หมอลุกและเดินผ่านผมออกไป โดยที่เอามือวางบนบ่าผมเบาๆ เป็นการให้กำลังใจ
"เดี๋ยวเซ็นเอกสารยินยอมตรงนี้นะคะ" ผมเซ็นทันทีและพลิกกระดาษไปดูส่วนรายละเอียดค่าใช้จ่าย
"วิน ค่าผ่าตัดเท่าไรเหรอลูก?" ป้าเอียดถาม
"...."
"นอกเหนือจากที่ประกันสังคมออกให้ ส่วนที่ต้องจ่ายเพิ่มคือประมาณ 200,000 บาทครับ"
ผมหลับตาสนิทแล้วเงยหน้าขึ้นราวกับโดนตัวเลขที่เพิ่งตอบออกไปเมื่อสักครู่ อัปเปอร์คัทเสยเข้าเต็มคาง
"ฮึ.. ฮึ.." ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ในลำคอคล้ายเสียงสะอื้น ผมไม่ได้เสียดายเงินหรอกนะ ผมมีแม่คนเดียวในโลกนี้ เพื่อแม่แล้วละก็ เท่าไรเท่ากัน แต่ผมขำในโชคชะตาของตนเอง ของแม่ ของครอบครัวเราต่างหาก ขำด้วยความโกรธแค้น 'ทำไม… ทำไมพวกเราต้องมาเจอเรื่องแบบนี้? ชีวิตมันจะราบเรียบ จะมีความสุขเหมือนครอบครัวอื่นบ้างมันจะตายไหม?!'
"วิน… วิน…!" เสียงป้าเอียดเรียกผม
"อ๊ะ ครับๆ ว่าไงครับป้า"
"เป็นไงลูก เห็นหลับตาปี๋แล้วทำหน้าเครียดเชียว กังวลเรื่องเงินใช่ไหม ไม่ต้องห่วงนะ ป้าจะช่วยออกให้ไปก่อนก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจนะลูก"
ผมยกมือขึ้นไหว้ทันทีและกล่าวว่า "ขอบคุณครับป้าเอียด ผมกับแม่เป็นบุญเหลือเกินที่ได้มาเจอป้าครับ… เป็นเพราะป้าเอียดที่โทรหารถพยาบาลมาช่วยแม่ผมอย่างรวดเร็ว แม่จึงปลอดภัย ผมไม่รู้จะกล่าวขอบคุณป้ายังไงดีเลยครับ ขอบคุณมากครับ" ผมก้มหัวไหว้ป้าเอียดลงที่ตัก ป้าเอียดก็ใช้สองมือรับไว้
"ไม่เป็นไรๆ ป้าเคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน เลยเตรียมตัวเตรียมใจไว้พร้อมเสมอ ถ้าใครรอบตัวล้มไปแบบนี้ ป้ารู้ทันทีเลยว่า ไม่ธรรมดาแน่ ปุ่มโทรออกด่วนเลข 1 ของป้าคือเบอร์ฉุกเฉินโรงพยาบาล"
"ครับผม ป้านี่สุดยอดเลยครับ แต่...ป้าเอียดครับ เรื่องเงินน่ะ ผมไม่ขอรบกวนครับ ผมกับแม่พอจะมีเงินเก็บอยู่บ้าง"
"มีแน่เหรอลูก?" ป้าถามตรงๆ เสียงดังขึ้นทันที ผมผงะตกใจเล็กน้อย "อุ๊ย ขอโทษที วินแน่ใจนะว่ามี ห้ามโกหกป้าแล้วไปยืมเงินกู้ด่วนพวกนักเลงอะไรแบบนี้ ไม่เอานะลูก"
ผมยิ้มอ่อนตอบ "มีครับ ถึงจะมีไม่เยอะ แต่ก็พอมีครับ" นี่แสดงว่าป้ารู้จักแม่ผมดีทีเดียว รู้ถึงขั้นว่าแม่มีเงินเก็บเท่าไร แม่ของผมมีเงินเก็บอยู่ 50,000 บาท ซึ่งเงินก้อนนี้แม่พยายามเก็บหอมรอมริบเอาไว้เป็นค่าเรียนมหาลัยเทอมหนึ่งของผมที่กำลังจะถึงนั่นเอง ส่วนเงินเก็บของผมจากการทำงานพิเศษมีประมาณ 40,000 บาท รวมกับเงินที่ขายไอเท็มได้มาวันนี้อีกราว 120,000 บาท รวมกันแล้วเพียงพอสำหรับค่าผ่าตัดของแม่แบบฉิวเฉียดเลย
เมื่อเตรียมเอกสารเสร็จ พยาบาลก็พาไปหน้าห้องผ่าตัด และได้เห็นคุณหมอเข็นเตียงที่แม่นอนหมดสติมีสายระโยงระยางเต็มไปหมดผ่านพวกเราไป แม่เข้าไปในห้องผ่าตัดแล้วตอนนี้ ส่วนพวกผมก็รออยู่ข้างนอก สักพักหนึ่งแจ็กกับครอบครัวก็ตามมาที่หน้าห้อง ผมก็อธิบายสถานการณ์ให้ป๊ากับม๊าของแจ็กฟัง และพวกเขายืนยันจะนั่งรอเป็นเพื่อนผมจนกว่าแม่จะออกมา ผมกับแจ็กนั่งเอามือล้วงกระเป๋าเอนหลังอยู่ที่เก้าอี้อีกชุดหนึ่ง พวกเรานั่งเอนกันจนไถลไปเกือบเป็นท่านอนอย่างหมดเรี่ยวแรง ผมนั่งจ้องป้ายไฟหน้าห้องผ่าตัดที่เขียนว่า [กำลังผ่าตัด] อยู่ตลอดเวลา
"หมอบอกว่าผ่าตัดครั้งนี้ปลอดภัย 100% รึเปล่า?" แจ็กถามขึ้นมา
"ไม่มีการผ่าตัดที่ไหนปลอดภัย 100% หรอก" ผมตอบและพูดต่ออีกว่า
"เออนี่แจ็ก… โทษทีนะ เงินที่ว่าจะเก็บซื้อเครื่อง VR น่ะ ฉันต้องเอามาใช้ก่อนแล้วว่ะ"
"ไอ้บ้า จะขอโทษทำไมเล่า ทำเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ แม่นายก็เหมือนแม่ฉันนั่นแหละ เงินแค่นี้พวกเราหาใหม่ได้… ไม่สิ นายพาฉันไปหาใหม่ได้อยู่แล้ว จิ๊บๆ น่า" แจ็กกำหมัดขวายื่นขึ้นมาหาผม
ผมกำหมัดซ้ายยื่นไปชนตอบเบาๆ "แจ็ก ชาติที่แล้วฉันไปทำกรรมอะไรไว้วะ ทำไมชีวิตฉันเป็นแบบนี้" ผมเผลอบ่นออกมาด้วยใจที่อ่อนล้า น้อยใจในโชคชะตาที่ชอบเล่นตลกกับชีวิตผมเหลือเกิน
แจ็กเงียบไปสักพักแล้วพูดขึ้นว่า
"สิ่งที่เราพบเจอ คือสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ"
ผมเลิกจ้องป้ายไฟเป็นครั้งแรกในหนึ่งชั่วโมงนี้ และหันไปมองหน้าเพื่อนแบบไม่เชื่อหูตัวเอง
แจ็กยิ้มบางออกมาและเหลือบสายตามามองวิน "อาจารย์หวังเป็นคนสอนน่ะ ไม่เชิงสอนหรอก แต่ท่านชอบพูดติดปากมากกว่า เวลาที่เจออะไรซวยๆ เจออะไรแย่ๆ ในชีวิต…"
"อาจารย์หวังที่สอนกังฟูนายตอนเด็กน่ะนะ"
"ใช่แล้ว หึหึหึ เมื่อก่อนนะฉันไม่เคยเชื่อประโยคที่ท่านพูดเมื่อกี้เลย ไร้สาระเป็นบ้า เวลาซวยมันก็ต้องซวยสิวะ มันจะดีไปได้อย่างไร จริงมะ" แจ็กหันมามองหน้าผมและพูดต่อว่า
"แต่… ฉันมาเชื่อเอาตอนที่เจอนายนั่นแหละ วิน"
"วันที่ฉันผิดหวังกับตัวเอง วันที่ฉันล้มเหลว วันที่ทุกคนรังเกียจฉัน วันที่ทุกคนเปลี่ยนไป…"
"แต่วันนั้นนายไม่เปลี่ยน… นายยังเหมือนเดิมกับฉัน นายเป็นคนที่สอนให้ฉันรู้ว่า ช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้แหละ ที่จะพิสูจน์ว่าเราเป็นคนแข็งแกร่งแค่ไหน และต่อให้โลกทั้งใบอยู่ตรงข้ามฉัน แต่นายจะอยู่กับฉันเสมอ"
"...."
"อะไรฟะแจ็ก อยู่ๆ มาพูดน้ำเน่าแบบนี้ เขินนะเว้ย"
"เออ แต่มันเป็นเรื่องจริงนี่หว่า เมื่อตอนที่เราเป็นเด็กน่ะ ฉันโชคดีแล้วที่เจอนาย ถ้าไม่มีนายฉันคงไม่ได้เป็นผู้เป็นคนเลยมั้ง แล้วตอนนี้นายก็เหมือนกัน สถานการณ์ที่นายเจออยู่ ถือว่าโชคดีแล้ว คิดดูสิว่าถ้าแม่นายเกิดล้มกะทันหันในวันที่อยู่คนเดียวละก็ ป่านนี้นายได้เสียใจกว่านี้แน่"
"...นั่นสินะ" ผมเริ่มจะเข้าใจในสิ่งที่แจ็กพูดแล้ว
"แล้วถ้านายไม่หาเงินก้อนโตได้มาจากเกมละก็ นายคงเดือดเนื้อร้อนใจกว่านี้ถูกไหมล่ะ"
"จริงของนาย..." ผมมองแจ็กอย่างทึ่งๆ ปนอึ้งนิดหน่อย
"อะไรวะ มองแบบนั้น ไม่เคยเห็นคนฉลาดเรอะ ฮ่าฮ่าฮ่า" แจ็กเอาแขนมาล็อคคอผมแล้วขยี้หัวเล่น "แม่นายไม่เป็นไรหรอกน่า เลิกเครียดได้แล้ว"
ครืด~! (เสียงประตูเปิด)
"นั่น! คุณหมอออกมาแล้ว" พวกเราทุกคนรีบลุกไปหาคุณหมอทันที
คุณหมอดึงแมสค์ออกแล้วพูดว่า
"การผ่าตัดราบรื่นมาก คนไข้ปลอดภัยดีครับ"
ผมยิ้มออกมาพร้อมน้ำตาที่คลอเบ้า ดีใจ… ดีใจจริงๆ ที่แม่ปลอดภัย
"เย้! ไชโย! เห็นมะ ฉันบอกแล้วว่าไม่เป็นไร" แจ็กโห่ร้องดีใจเสียงดัง
"แจ็ก! เบาๆ ที่นี่โรงพยาบาล" ม๊าของแจ็กเอ็ดลูกชายเข้าให้
ผมยกมือไหว้ทุกคน "ขอบคุณครับป๊า ขอบคุณครับม๊า ขอบคุณป้าเอียดกับลุงโกด้วยครับ" และหันมาหาคุณหมอ "ขอบคุณคุณหมอมากครับ"
คุณหมอรับไหว้และพูดว่า "เดี๋ยวอีกสักพักจะย้ายคนไข้ไปพักผ่อนที่ห้องครับ สัก 2-3 วันก็กลับบ้านได้แล้ว งั้นหมอขอตัวก่อนครับ"
"สวัสดีครับคุณหมอ"
"โอเค วิน เดี๋ยวป๊ากับม๊ากลับก่อนนะลูก แล้วจะแวะมาเยี่ยมอีกหนหนึ่ง" ป๊าแจ็กพูดกับผม
"พวกเราก็ไปด้วยเถอะเอียด แล้วจะแวะมาเยี่ยมนะลูก" ลุงโกพูดกับผม
"ครับผม สวัสดีทุกคนครับ"
…..
.....
หลังจากนั้น 3 วันคุณหมอก็อนุญาตให้แม่ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว แม่เหลืออาการเจ็บจมูกด้านในนิดหน่อยเท่านั้น คงเพราะจากการส่องกล้องผ่านทางรูจมูก แต่นอกนั้นปกติดีทุกอย่าง แถมดูท่าทางแข็งแรงขึ้นอีกด้วย เทคโนโลยีการแพทย์สมัยใหม่น่าทึ่งจริงๆ และในขณะที่พวกเรากำลังเก็บของกลับบ้านอยู่นั้น
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น จากนั้นประตูก็เลื่อนเปิดออก แล้วในวันนั้นผมก็ได้เห็นใบหน้าที่ผมแสนจะคิดถึงอีกครั้ง....
"อ้าว หนูยูกินะใช่ไหมเนี่ย ไม่ได้เจอกันตั้งนาน มาได้ไงลูก" แม่ผมร้องทักอย่างดีใจ
"สวัสดีค่ะคุณป้า" ยูกินะยิ้มอย่างสดใส ยกมือไหว้แล้วเดินเข้ามาหา "หนูมาเยี่ยมค่ะ ขอโทษนะคะที่หนูมาช้า หนูเพิ่งจะรู้ข่าวตอนไปหาที่ร้านอาหาร" เธอยื่นกระเช้าผลไม้ใหญ่ให้กับแม่ของผม
ยูกินะคือลูกสาวของเสี่ยสมบัติกับภรรยาชาวญี่ปุ่น เจ้าของปั้มน้ำมันใหญ่ปากซอยมหาโรจน์ที่แม่ผมทำงานอยู่นั่นเอง และเสี่ยสมบัติยังเป็นนักธุรกิจใหญ่โตในเมืองไทย มีธุรกิจมากมายและเป็นเจ้าพ่อในวงการอสังหาริมทรัพย์ เอาจริงๆ ผมคิดว่าเสี่ยสมบัติเป็นเจ้าพ่อยากูซ่าเมืองไทยตัวจริงเสียงจริงเลยละ
ยูกินะคือเพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กของผม พวกเรารู้จักกันมาตั้งแต่อยู่ชั้น ป.5 เพราะบ้านอยู่ในซอยเดียวกัน และเรียนโรงเรียนเดียวกัน หลังจากเหตุการณ์เรื่องพ่อผม เธอเป็นคนแรกเลยก็ว่าได้ที่เข้ามาคุยและเล่นกับผม ทั้งที่ก่อนหน้านั้นพวกเราไม่รู้จักกันมาก่อนเลย เราสนิทกันทั้งที่โรงเรียนและเมื่อกลับมาที่บ้านในซอย พวกเราก็ยังมาเล่นด้วยกันต่ออีกในเวลาที่ว่าง แจ็กก็สนิทกับเธอด้วยเช่นกัน
แต่ผมไม่ได้เจอยูกินะมาร่วม 3 ปีแล้ว เนื่องจากเธอย้ายไปเรียนต่อ ม.ปลายที่ญี่ปุ่น ยูกินะยังคงน่ารักเหมือนที่เคยจำได้ แต่คูณเพิ่มเข้าไปสักสามเท่า เพราะตอนนี้เธอเป็นสาวอายุ 18 แล้ว สิ่งที่ผมสัมผัสได้คือยูกินะเป็นคนที่มีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามสูงมาก (Sex appeal) เธอมีผมตรงสีดำยาวประบ่า เธอเป็นคนที่รูปหน้าสวยเรียว จมูกโด่งพอดีรับกับใบหน้า รอยยิ้มสดใสละมุนใจ คิ้วโค้งสวย ดวงตาคมทรงเสน่ห์ และที่สำคัญเธอมีออร่าลุคแบบผู้ดีสวยสง่าอยู่ในทุกกริยา
ใช่ครับ เธอคือรักแรกของผมตั้งแต่ตอน ป.6….
"วิน… สวัสดี" ยูกินะมองมาทางผม กล่าวทักทายและยิ้มเล็กน้อย
"...อะ ...เอ่อ หวัดเด" นี่ผมปากสั่นขนาดไหน ถึงพูด 'หวัดดีเป็นหวัดเด' ได้เนี่ย เฮ้อ เพลียกับตัวเอง
"...."
เกิดเดดแอร์ขึ้นกะทันหันอย่างไม่รู้สาเหตุ จนแม่ต้องรีบชวนยูกินะคุย
"เอ้อ! ยูกินะ กลับมาจากญี่ปุ่นนานหรือยังจ๊ะ แล้วนี่จะอยู่ที่เมืองไทยยาวเลยรึเปล่า?"
"หนูเพิ่งกลับมาได้สองวันค่ะ จะกลับมาต่อมหาลัยที่ไทยเนี่ยแหละค่ะ ระหว่างที่เรียนก็จะช่วยคุณพ่อดูแลธุรกิจหลายๆ อย่างด้วย เช่นที่ปั้มปากซอยมหาโรจน์ หนูก็เป็นคนดูแลแล้วค่ะ เอ่อ...คุณป้าคะ เรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาคุณป้าทั้งหมด ในส่วนที่เกินมาจากประกันสังคม ทางบริษัทจะเป็นออกให้ทั้งหมดเองค่ะ"
"เอ่อ… เรื่องนั้น… มันจะดีเหรอ เงินตั้งหลายแสนนะลูก"
"ดีสิค่ะ หนูเป็นคนดูแลแล้ว ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ เพราะคุณป้าทุ่มเททำงานหนักให้ทางร้านอาหารด้วย ถือเป็นการตอบแทนในความเหน็ดเหนื่อยของคุณป้า..."
"ไม่!" ผมตะโกนเสียงดังจนทั้งคู่ตกใจ และหันมามองผมเป็นตาเดียว
ผมเดินจ้ำพรวดพราดเข้าไปหายูกินะ จับแขนเธอ "เธอออกมาคุยกับฉันข้างนอก" ผมลากตัวเธอออกไปนอกห้อง แต่เมื่อออกไปพ้นประตูห้อง ผมผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาของผู้ชายสองคน คนหนึ่งหัวล้าน
สกินเฮดรูปร่างสูงใหญ่ มีรอยสักขึ้นมาถึงคอ อีกคนหนึ่งรูปร่างสมส่วน ผมสีดำไฮไลท์สีแดงปลายๆ ผมยาวฟูหวีเสยแบบไม่เรียบไปด้านหลัง เจาะปลายคิ้วขวาใส่ห่วง ทั้งคู่ใส่สูทดำแว่นดำ ดูท่าทางน่าเกรงขาม ยืนแผ่รังสีอำมหิตใส่ผมอยู่ คนที่ตัวสูงใหญ่พูดออกมาด้วยเสียงเข้มว่า
"ปล่อยมือจากคุณหนูเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันจะหักแขนแกซะ"
"...."
มือผมยังคงจับแขนยูกินะอยู่ และจ้องกลับไปที่พวกเขาเช่นกัน จนคนที่พูดนั้นทำท่าจะเดินเข้ามาหา
"โคซัง! หยุดนะ! เรื่องนี้ฉันจัดการเองได้" คนที่ชื่อโคหยุด และกลับไปยืนพิงกำแพงท่าเดิม
"วินปล่อยมือได้แล้ว มีอะไรก็รีบพูดมา"
ผมปล่อยมือที่จับแขนเธอ
"ฉันไม่ต้องการเงินจากความสงสารของเธอ" ผมพูดใส่หน้าเธอ
"ความสงสารเหรอ? ...ทำไมนายคิดแบบนั้น แม่นายสมควรได้รับเงินก้อนนี้อยู่แล้วนะ"
"สมควรได้รับงั้นเหรอ ฉันถามคำเดียวว่า พ่อเธอเป็นคนให้เงินก้อนนี้มารึเปล่า? เขาพูดเองเลยไหมว่าแม่ฉันสมควรได้รับเงินตอบแทนแบบนี้ เขารู้หรือเปล่าเถอะว่าแม่ฉันเข้าโรงพยาบาล แต่ถึงเขาจะรู้ก็คงไม่ได้สนใจใยดีอะไรหรอก เอาง่ายๆ นะ แม่ฉันชื่อว่าอะไรเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำมั้ง!"
"...."
ยูกินะเงียบไปไม่เถียงกลับมาทันที แสดงว่าที่ผมพูดต้องมีส่วนถูก แต่ผมก็เริ่มรู้สึกตัวว่าใส่อารมณ์แรงไปหน่อย ผมจึงปรับเสียงตัวเองให้ซอฟท์ลงและพูดว่า
"ฟังนะ… ถ้าพ่อเธอห่วงใยพนักงานจริงละก็ เขาคงทำประกันสุขภาพหรือประกันอุบัติเหตุให้พนักงานทุกคนไปแล้ว นี่แม่ฉันทำงานให้เขามากี่ปี ทุ่มเทกับงานนี้จนร่างกายเหนื่อยล้า ไม่เคยหยุด ไม่เคยลา เงินเดือนก็ขึ้นมาไม่ได้เยอะอะไรมากมาย แถมโบนัสยังไม่เคยจะได้เลยสักครั้ง"
"ฉันรู้ว่าพ่อฉันดูแลพนักงานไม่ดี แต่..."
"พอเถอะ อย่าพูดอีกเลย เอาเป็นว่า… ครอบครัวฉันไม่ขอรับเงินก้อนนี้ เธอกลับไปซะเถอะ"
"งั้นก็ได้...ตามใจนายเถอะ ฉันมันยุ่งเองไม่เข้าเรื่อง!" ยูกินะตอบด้วยเสียงที่เหมือนจะโกรธและน้อยใจ จากนั้นเธอเปิดประตูไปกล่าวลาแม่ผม
"คุณป้าคะ หนูลากลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ"
"อ๋อ จ้ะๆ"
หลังจากปิดประตูห้อง เธอเหลือบสายตามามองหน้าผมอีกครั้ง เราสบตากันอยู่สักประมาณหนึ่งวินาที แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่ามันยาวนานกว่านั้น แล้วเธอก็หันหลังและเดินจากไปพร้อมบอดี้การ์ดสองคนเดินตามหลัง
ผมไม่ค่อยเข้าใจในตัวผู้หญิงเท่าไรนัก แต่จากสายตาสุดท้ายที่มองมาเมื่อกี้ ผมคิดว่าเธอ…เศร้า ล่ะมั้ง ซึ่งนั่นทำให้ผมเกิดความรู้สึกผิดตามมาอย่างหนักหน่วง ที่เอาอารมณ์ที่โมโหพ่อของเธอไประบายใส่เธอแบบนั้น
ผมเดินเข้าห้องมาพร้อมกับเอาสองมือจับหัว "อ๊าก! นี่ตูทำอะไรลงไปเนี่ย โอ๊ย จะบ้าตาย"
"ใช่ ลูกนี้บ้ามาก ใจร้ายจริงๆ แม่สงสารหนูยูกินะเลย"
"ห๊ะ? แม่ได้ยินด้วยเหรอครับ"
"พวกลูกคุยกันเสียงดังขนาดนี้ อย่าว่าแต่แม่ได้ยินเลย แม่ว่าทั้งชั้นนี้ได้ยินหมดแหละ ไปๆ รีบกลับกันเหอะ แม่อายชาวบ้านเค้า"
"...."
...
ขณะที่นั่งแท็กซี่กลับบ้าน ผมนั่งกดมือถือเช็คยอดเงินในบัญชี
[ยอดเงินคงเหลือ: 8,421 บาท]
"เห็นตัวเลขแล้วใจมันหวิวแหะ เฮ้อ~"
"เอ่อ… วิน"
ผมหันหน้าไปหาแม่ที่เรียกผม
"แม่ขอไปทำงานวันนี้เลยได้ไหมลูก? แม่เป็นห่วงร้านน่ะ"
"แม่~! อะไรของแม่เนี่ย ถึงจะใช้วิธีผ่าส่องกล้องเข้าทางจมูกก็เถอะ แต่แม่จะไม่พักสักวันเลยเหรอครับ นี่แม่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลเองนะ!"
"โธ่ ก็แม่หายดีแล้วนี่ลูก หมอยังบอกเลยว่าแม่แข็งแรงกว่าเดิมซะอีก อย่างน้อยขอไปเช็คสต๊อคที่ร้านหน่อยได้ไหม นะนะ แม่ไปไม่นานหรอก"
"ฮื้อ~! ตามใจๆ เช็คสต๊อคเท่านั้นนะครับ แล้วรีบกลับบ้านเลยละ"
"ค้าบ ลูกสุดที่รัก~"
ผมให้แท็กซี่มาส่งที่ร้านอาหาร และผมเดินกลับบ้านเอง ผมเดินไปพึมพำเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย
"งานแปลเสร็จหมดแล้ว เดี๋ยวกลับไปต้องเช็คงานใหม่..."
"ยูกินะจะโกรธเราไหมนะ...?"
"ต้องเข้าเกมไปหาตังค์ตามเคย และห้ามเกมโอเวอร์..."
"ยูกินะสวยขึ้นจริงๆ..."
"ต้องไปเช่าเครื่องเล่นอีกสินะ เงินยิ่งร่อยหรออยู่ด้วย เข้าไปครั้งนี้ยังไงต้องหาเงินให้ได้"
"ยูกินะจะถึงบ้านหรือยังนะ?"
"เฮ้ย?! อะไรกัน ทำไมเราคิดถึงแต่เรื่องยูกินะวนไปวนมาล่ะเนี่ย โอ๊ยยย!" ผมขยี้หัวตัวเองแรงๆ
...
ผมเดินมาจนถึงบ้าน เห็นใครนั่งรออยู่ที่โต๊ะม้านั่งหน้าบ้าน แจ็กนี่เอง
"ว่าไงเพื่อน มารอต้อนรับเลยเหรอ เออ ฉันมีอะไรจะเล่าให้ฟัง รู้ไหมเมื่อกี้ฉันเจอใครที่โรงพยาบาล--" แจ็กกระโดดมายืนตรงหน้าผม พูดแทรกขึ้นก่อนว่า
"วินเพื่อนยากเอ๋ย ฉันรู้แล้วว่าพวกเราจะไปเล่นเกมที่ไหนฟรีๆ" แจ็กทำหน้าตาทะเล้นตามสไตล์เขา เวลาเจออะไรที่ถูกอกถูกใจ
"ฟรี? จริงเหรอ ที่ไหนล่ะ"
"หึหึหึ… คฤหาสน์ของเสี่ยสมบัติ บ้านของยูกินะยังไงล่ะเพื่อน"
"...."
"ยังไง เขาอนุญาตให้พวกเราเข้าไปเล่นเหรอ?"
แจ็กส่ายหัวและยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และพูดว่า
"พวกเราจะลอบเข้าไป"
"...หา?!"