webnovel

Final Club Quantum Jump

พัฒน์ เด็กนักเรียนชั้นมัธยมที่ห้า เด็กเรียนเก่งที่น่าเบื่อไม่ได้รับการยอมรับที่โรงเรียน และโดนดูถูกทำงานพิเศษ แม่เป็นผู้ป่วยไร้สติอยู่ในนิทราตั้งแต่อุบัติเหตุทางรถยนต์ พ่อก็เสียไปในอุบัติเหตุด้วย ทนายที่ดูแลคดีแม่ดูแลการฟ้องในโรงพยาบาล ชีวิตที่หายไปของเด็กนักเรียนธรรมดา วันหนึ่งพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งสมองอยู่ได้อีกสองปี กลับไปเจอ "เบน" เพื่อนวัยเด็กในกลุ่มเด็กอัจฉริยะ “คิปป์ทีม” เอารายชื่อผู้ป่วยโรงพยาบาล ขายอวัยวะบริจาคให้ พัฒน์พบว่าตัวเองสามารถผลิตอวัยวะจากเครื่องปริ้นสามมิติ ต้องทำงานร่วมกับเบนเพื่อหาเงินจ่ายค่ารักษาแม่และตัวเอง

jamewcollin · ไซไฟ
เรตติ้งไม่พอ
19 Chs

มองเห็น Seeing Things

สองสัปดาห์ หลังจากนั้น

พัฒน์เลือกที่จะมาอยู่กับแม่ที่โรงพยาบาล พอรู้ว่าจะตาย การเรียนในโรงเรียนยิ่งไม่มีประโยชน์กับการใช้ชีวิตกลับไปห้องก็ร้องไห้ นอนไม่หลับ พัฒน์ตั้งคำถามตัวเองว่า "ผมเกิดมาแค่รอวันตายจริง ๆ เหรอ"

"ตรู๊ด ๆ ตรู๊ด ๆ" เสียงเรียกเข้าจากมือถือของพัฒน์ในกระเป๋ากางเกง เขารับสาย ปลายสายคือวีรพงษ์โทรมาตามเขาให้ไปทำงานพิเศษหลังจากที่ไม่ได้ไปมาตั้งแต่ทราบผลการตรวจ เขาเดินออกจากโรงพยาบาล เรียกรถยนต์ ล้อหมุนมุ่งตรงสู่ร้านอาหารฟาสฟู้ดชานเมือง เขาพาร่างตัวเองไป ตอกบัตรเข้างาน ทำงานในครัวก็แค่ลงมือทำ เหม่อ และไม่ได้คิดอะไร

เย็นวันนั้นเอง ที่ในครัว เขายืนล้างจานอยู่เหนือซิงค์ล้างจาน ในมือขวาเต็มไปด้วยฟองสีขาวและมือซ้ายคือจานที่มีคราบซอสพวกมันถูไถกันผ่านฟองน้ำอย่างไร้เรี่ยวแรง ในหูเขามีเสียงวิ้งตลอดเวลา เหมือนโลกที่พัฒน์อยู่แทบไม่เคยเกิดขึ้นจริง แทบจะไม่ได้ยินว่าคนอื่นพูดอะไรกัน อาจจะเป็นแค่เขาที่ช้าเองก็ได้ ได้แค่ถูฟองน้ำเก่า ๆ บนจานไปมา

ในระหว่างที่พัฒน์ล้างจานไปเรื่อย วีรพงษ์หงุดหงิดจ้องมองด้วยสายตาโกรธผ่านช่องส่งอาหาร เขาไม่พอใจที่พัฒน์ทำอะไรชักช้า เขาเดินตรงดิ่งเข้ามาหาพัฒน์ "พัฒน์ พัฒน์ พัฒน์" เขาตะโกนซ้ำ ๆ เรียกสติพัฒน์ "พี่ขาดคน น้องออกไปถูพื้นที"

สำหรับพัฒน์ เขาเห็นแค่ปากวีรพงษ์ขยับไปมากับเศษขนมปังที่ติดมุมปาก มันน่ารำคาญมากที่วีรพงษ์ยังไม่รู้ ว่ามันน่าเกลียดขนาดไหน

พัฒน์ถาม "อะไรนะ" เขาไม่ได้ยินการสื่อสารนั้น

"เร็ว!!" วีรพงษ์ตะคอกดังขึ้น เขาเริ่มที่จะได้ยินมันชัดขึ้น

"อะไรนะ" เขาตอบเพราะพึ่งได้ยิน สายตาของพัฒน์ยังมองเศษแป้งที่มุมปาก เขาวางจานลงในซิ้ง ถอดถุงมือออก

"มีคนทำน้ำหกลงบนพื้นในร้าน ออกไปถูพื้นข้างนอก เดี๋ยวนี้!! จ้างมาทำงานไม่ได้จ้างมายืนเหม่อ ล้างจานช้า แบบนี้ก็ไปถูพื้น!" วีรพงษ์ตะคอกพร้อมชี้นิ้วสั่ง

"เร็ว ๆ ไปหยิบไม้ถูพื้นมา!"

พัฒน์ไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมคนแบบนี้ถึงมีอำนาจมาสั่งคนอื่นทำนู่นนี่ เขาสมควรกับการเป็นหัวหน้าจริง ๆ เหรอ เขายังปั่นป่วนไปด้วยความโกรธ ความคิดว่าคนแบบนี้ไม่เคยเข้าใจถึงความถูกผิด การตะโกนด่าได้ทำให้คนพวกนี้มีอำนาจอยู่

ในมือซ้ายของพัฒน์หยิบจานขึ้นมาทาบหน้าวีรพงษ์ หมัดขวาก็ต่อยลงที่จานบนหน้าเขา "เพล้งงงง!"

วีรพงษ์ล้มลงกับพื้น หน้าเหวอพร้อมกับรอยแผลบนหน้า จมูกหัก เศษจานร่วงเต็มพื้น

วีรพงษ์ลุกลี้ลุกลนตกใจ ตะโกนดังลั่นร้าน "ไล่ออก ๆ"

พัฒน์หันหลัง มือทั้งสองข้างกวาดจาน ตั้งใหญ่ ลงพื้น "เพล้งงงงงงงงง!!" เศษจานนับไม่ถ้วนกระจายเต็มพื้น

"ถูหน้าพ่อมึงดิ ไอ้หัวขวด ผมเกลียดพี่" พัฒน์ด่าด้วยความโมโห ถอดผ้ากันเปื้อนเขวี้ยงลงถังขยะ และเดินออกจากร้านไป

วันถัดมา

วันนี้เขามาโรงเรียน พัฒน์ไม่ได้มาโรงเรียนในอาทิตย์ที่ผ่านมา เขามาเก็บของที่โรงเรียนเป็นครั้งสุดท้าย ในหัวเขากำลังคิดว่า อยากไปมองสีฟ้าจากดาดฟ้าก่อนที่จะไม่ได้มีโอกาสได้เห็นอีก ตอนกลางวันที่โรงเรียนช่วงเวลาพักกลางวัน ที่ดาดฟ้าไม่ค่อยมีคนยังคงเป็นที่ที่ดีในการคุยกับตัวเอง ช่วงเวลาของการจ้องมองอากาศข้างบนสนามหญ้าโรงเรียน การลอบเคว้งท่ามกลางความคิด พาเขานึกถึงเรื่องที่ทนายมาแนะนำเรื่องงาน มือพัฒน์หยิบนามบัตรที่ทนายให้ออกมา กดเบอร์โทรตามนามบัตรแล้วโทรหาทนายชัยพล

"น้าครับ ผมพัฒน์เองนะครับ"

"ผมไม่ได้โทรมากวนน้าคุยงานใช่มั้ยครับ"

"ครับ ๆ"

"ไม่มีอะไรครับ ผมแค่สนใจงานเอกสารที่น้าอยากให้ช่วยอะครับ"

ชัยพลบอกที่อยู่ให้พัฒน์ แล้วหลังจากนั้นพัฒน์ไปออฟฟิศสำนักงานกฎหมายของทนาย เป็นตึกแถว ตอนนี้เขาอยู่บนรถแท็กซี่กำลังแล่นตรงไปที่นั่น เขาเริ่มเห็นบ้านสีเทากับบ้านนี้ขาวอยู่ติดกัน มีรถตำรวจสองคันจอดอยู่หน้าบ้านทนาย ตำรวจน่าจะเข้าไปแล้ว อาจมาคุยเรื่องเอกสารก็ได้ พัฒน์ลงจากรถแท็กซี่ จ้องมองบ้านด้วยความสงสัยยืนรออยู่หน้าบ้าน ข้างในยังไม่มีเสียงอะไรน่าตกใจ

พัฒน์เห็น ผู้ชายคนหนึ่งออกมาจากบ้านข้าง ๆ ดูลุกลี้ลุกลน กระดุมไม่ติด กางเกงใส่ไม่เรียบร้อย เแต่งตัวไม่เสร็จ มาใส่หน้าบ้าน เขารีบเปิดประตูแล้วเอาแต่สังเกตไปทางบ้านของทนาย รีบใส่กางเกง มีผู้หญิงจากในบ้านปาเข็มขัดมาข้างนอกลงที่สนามหญ้าหน้าบ้าน เขารีบคว้าเข็มขัด ผู้ชายคนนั้นพยายามดูท่าทีของตำรวจจากนอกบ้านกับใส่เข็มขัดไปด้วย พัฒน์สังเกต ว่าหน้าตาที่เป็นลูกครึ่งคนนี้คุ้นมากจนกระทั่ง ตอนสบตากันความกระจ่างก็เกิดขึ้น "เชี่ยย! เบน" พัฒน์ตกใจ ถึงแม้ระยะจะแค่ริมถนนกับประตูรั้ว พัฒน์ก็ยังรู้ว่า คนนั้นยังไงก็คือเบน เบนทำหน้าผิดหวังที่เจอเขา

โน๊ตเล็กน้อย

เบน เป็นลูกครึ่งไทยสวิตเซอร์แลนด์ เบนอายุยี่สิบหกปี ตัวสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเอ็ดเซนติเมตร ผิวขาว เกิดที่ภูเก็ตในไทย เบนกับพัฒน์เป็นเพื่อนวัยเด็ก เหมือนเด็กแถวบ้านปกตินี่แหละ ก่อนที่เบนจะไปเรียนต่างประเทศตอนช่วงมหาลัย พอพ่อเบนเสีย และแม่เบนก็แต่งงานใหม่ แล้วก็ดรอปกลับมาทำงานที่ไทย แล้วก็ไม่ได้ยินข่าวคราวอีกเลย เจอครั้งสุดท้ายก็เป็นงานศพพ่อเบน สำหรับพัฒน์เบนเป็นพี่ที่นับถือ น่าจะเป็นเพราะวัฒนธรรมจากพ่อเบน เลยมีส่วนทำให้เขาสามารถพูดคุยกันถึงความชอบ ได้อย่างเป็นปัจเจค ไม่ได้มีอายุช่องว่างระหว่างวัยที่ทำให้ต้องนับถือกันตามประเพณีไทย แต่เป็นความนับถือและให้เกียรติในตัวตนต่อกัน พวกเขาพูดคุยอย่างเป็นเหตุเป็นผลตั้งแต่เด็ก

"เชี่ย!!" เบนอุทานและพูดกับตัวเอง ท่าทีผิดหวังในตัวเองชัดเจน

"เบนเหรอ?!" ตะโกนถามย้ำ แววตาผมสับสนกับสถานการณ์ตรงหน้า

เบนก้มต่ำกว่าเดิม และกระซิบออกมา "ชู่ววว" เขาย่อตัววิ่งออกจากหน้าบ้านปีนรั้วไปที่รถที่จอดไว้อีกฝั่งถนน จากนั้นเบนขับรถยนต์มัสแตงสีแดงออกไป เราทักทายกันเท่านั้น พัฒน์หันหน้ามองตามรถและแสงท้องฟ้าตอนเย็น เขาพยายามปะติดปะต่อเรื่องในหัว

ปึง!! ประตูบ้าน ทนายออกมาพร้อมกับถูกตำรวจคุมตัวอยู่ ทนายชัยพลถูกคล้องกุญแจมือ ทนายออกมาหน้าบ้าน กำลังจะขึ้นรถตำรวจ ชัยพลมองเห็นพัฒน์ก่อนขึ้นรถตำรวจ "นี่ไม่ใช่อย่างที่พัฒน์คิดนะ น้าไม่ได้ทำอะไรผิด ไว้เราค่อยคุยกันนะ" เขาตะโกนบอกพัฒน์ เขาได้แต่หันหน้าตามรถตำรวจที่ขับออกไป ด้วยความงุนงง

กลางคืนวันนั้น

พัฒน์เลือกที่จะคลายความสงสัย โดยการเข้าสู่ปัญหา เขาเดินทางไปบ้านปู่เบน ไฟยังเปิดอยู่ตอนพัฒน์พยายามสังเกตชะเง้อตัวเข้าไป เขาเห็นเบนพยายามหลบอยู่ในบ้าน ตอนนี้เขาอยู่หน้าบ้านเบน

พัฒน์ตะโกนบอกจากหน้าบ้าน "ไม่เป็นไรพี่ ผมมาคนเดียว"

"นายหาฉันเจอได้ไง" เบนตะโกนออกมา และพยายามแอบอยู่ในบ้าน

"บ้านใกล้ ๆ กันตั้งแต่เด็กมันหาไม่ยากหรอก" พัฒน์ชี้แจง "ปู่พี่เป็นเจ้าของที่นี่ใช่มั้ย"

เบนตอบเสียงแข็ง "บ้านฉันต่างหาก!" ท่าลุกลี้ลุกลน มองไปทางด้านหลังของพัฒน์

"ไม่มีใครตามหาพี่หรอก ผมสงสัย… ผมมาคนเดียว เอาจริง ๆ" พัฒน์เริ่มพูดอธิบาย เบนเดินออกมาสีหน้ากังวล "ผมแค่อยากรู้ จบต่างประเทศแบบพี่ ทำไมถึงมาขายอวัยวะ คาดไม่ถึงจริง ๆ เงินเยอะเลยดิ"

"นายพูดเรื่องอะไร! ฉันไม่รู้เรื่อง" เบนไม่ได้สบตา เห็นได้ชัดว่าเขาโกหก ตอบให้จบ ๆ

"เหรอ" พัฒน์ถามประชด

เบนตอบ "ไม่อะ"

"อย่างที่ผมบอกไม่มีใครตามพี่หรอก" พัฒน์พูดย้ำเรื่องนี้ให้เบนมั่นใจ

"ฟังนะพัฒน์ ฉันไม่รู้ว่านายต้องการอะไร ถ้านายจะมาหาฉันเพื่อพล่ามเรื่องวัยเด็กนะเว้ย นายก็กลับไปเถอะ หรือจะพูดเรื่องอาชีพสุจริตมีเยอะแยะให้ทำ พระเจ้าให้อภัยฉัน อะไรแบบนี้นายกลับไปเถอะ"

พัฒน์น้ำเสียงมั่นใจ "ห้า นาที" พร้อมชูมือขวากางนิ้วออก "พี่พึ่งเสีย แหล่งการเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วย ผ่านทนาย เขาเคยดูแลแม่ผม เขาโดนตำรวจจับไปแล้ว เงินที่พี่ซ่อนไว้ในบ้าน กับเอกสาร ตำรวจก็เก็บไปหมด พี่ไม่เหลืออะไรแล้ว พี่ต้องเริ่มต้นใหม่ พี่รู้เรื่องลูกค้า ผมรู้เรื่องชีว ผมว่าเราทำงานร่วมกันได้" เขาครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ขณะเดินทางมา อันนี้อาจเป็นทางออกเดียวในการจ่ายค่ารักษาตัวเองและแม่

"นายอยากจะขายอวัยวะ นายเนี่ยนะ ตลกพัฒน์ นายกับฉันเนี่ยนะ?" เบนถามย้ำ เขาไม่เชื่อว่าเรื่องพวกนี้จะออกมาจากปากพัฒน์

"ใช่ จะเอาแบบนั้น หรือให้ส่งให้ตำรวจ" พัฒน์ถือโทรศัพท์ขึ้น ทิศทางของการให้คำตอบอยู่ในมือของพัฒน์พวกเราไม่รู้คำตอบของเบนในคืนนั้น