webnovel

เดิมพันครั้งสุดท้ายเพื่อชัยชนะ

"...มีผู้ใดอยู่บ้าง" เจ้าชายเมงจีสวารับสั่ง ดำเนินขยี้ดวงพระเนตรก่อนขยับลุกขึ้นมานั่งบนพระแท่น

"กระหม่อมอยู่ที่นี่แล้วพระองค์" ตะเกียงสว่างวูบ ร่างหนึ่งกล่าวพลางคลานเข่าเข้ามาใกล้ปลายเตียง น้ำเสียงอ่อนเยาว์สั่นเครือเพราะสะดุ้งกับรับสั่งอย่างกะทันหัน

"...นั่นเสียงผู้ใดกัน?"

"เชงมาพระเจ้าค่ะ"

เมื่อได้ฟังดวงเนตรของเจ้าชายก็เบิกกว้าง เมงจีสวาผินมองใบหน้าเชงมาพระพี่เลี้ยงคนสนิทของพระองค์ เมื่อทรงเพ่งพิศได้ถนัด สีพระพักตร์ก็ฉายแววฉงนระคนความประหลาดใจ เจ้าชายทรงพรวดพราดเขยิบองค์จากพระแท่นบรรทม รวดเร็วจนพระพี่เลี้ยงตกใจสะดุ้งโหยง

"เชงมา เป็นเจ้าจริงฤๅ..." เจ้าชายตรัสถามชัดถ้อยชัดคำ ดวงเนตรจับจ้องล้ำลึกไม่วางตา

"พระเจ้าค่ะพระองค์ กระหม่อมเอง ใบหน้ากระหม่อมมีสิ่งใดผิดแผกฤๅ" พระพี่เลี้ยงกะพริบตาปริบๆ อยู่ในสภาพกึ่งลุกกึ่งนั่ง ผ่ายมือหมายประคองนายซึ่งลุกพรวดพราดอันผิดวิสัย

ฝ่ายเจ้าชายไม่ตรัสสิ่งใดเพิ่มเติมนอกจากยืนนิ่ง ทรงอยู่อย่างนั้นไปพลางพิจารณารอบห้องบรรทม ก่อนพระองค์จะหันพระพักตร์ไปทางบานพระฉายใหญ่ เจ้าชายมองพระองค์พลางใช้หัตถ์ลูบหน้าลูบปาก ซ้ำยังพึมพำขมุบขมิบไม่เป็นภาษาราวกับอยู่ในโลกของตนเอง

"พระองค์เป็นอันใด...สีพระพักตร์ซีดยิ่งนัก หรือจักทรงประชวรไข้ขึ้นมาจริง ๆ ให้กระหม่อมไปตามหมอหลวงกลับมาเถิด จักได้จัดสำรับโอสถหรือกำยานถวายพระองค์"

"ไม่ต้องเชงมา ข้าสบายดี" เมงจีสวารีบบทห้ามพี่เลี้ยง กระนั้นเชงมาก็แสดงสีหน้าชัดเจนถึงความห่วงใยและกังขาต่ออาการครั้งนี้ของผู้เป็นนาย เจ้าชายจึงรีบหันกลับไปประทับนั่งบนพระแท่น สักครู่หนึ่งก็ตรัสขึ้นว่า

"หายไปไหนกันหมด ...ไฉนอยู่กันแค่เรา?"

"ช่วงออกพรรษาพระเจ้าค่ะ พระอัครมเหสี พระชายาและพระพี่นางล้วนเสด็จออกไปทำบุญกันหมด ข้าหลวงนางกำนัลส่วนใหญ่จึงติดตามไปด้วย ส่วนบ่าวที่เหลือ...เจ้าชายเพิ่งไล่ไปนอกตำหนักพระเจ้าค่ะ"

"ข้านี่ฤๅไล่ออกนอกตำหนัก?"

"พระเจ้าค่ะ...เมื่อรุ่งสางทรงรับสั่งกับกระหม่อมว่าใคร่บรรทมต่อ กระหม่อมทัดทานแล้ว แต่พระองค์ก็ยืนกรานให้กระหม่อมไปแจ้งพระชายาว่าทรงประชวร ก่อนพระชายาเสด็จได้เรียกหมอหลวงถวายโอสถกำยาน พอได้รับ พระองค์ก็รับสั่งให้กระหม่อมเอาพระโอสถไปเททิ้ง ก่อนจะให้ไล่บ่าวออกจากตำหนักเพราะอากาศวันนี้ร้อนนักบรรทมมิได้สำราญ คร้านเห็นมีบ่าวอยู่มากจะข่มพระเนตรไม่ได้จึงทรงไล่พระเจ้าค่ะ"

เชงมาชี้แจ้งตามตรงพลางพนมมือแนบอก เจ้าตัวเล่ารวดเร็วคล้ายระบายอาการอึดอัดใจข้างต้น ก้มหน้าตัวสั่นหงกๆ เจ้าชายรับฟังด้วยท่าทีนิ่งสงบ บัดนี้ทรงเข้าใจเหตุทั้งหมดแล้วเบื้องต้นแล้ว

"เรื่องมากเหลือเกิน ลำบากเจ้าแล้วสิหนาเชงมา เรื่องมีเท่านี้ฤๅ?"

"เอ่อ นอกจากเรื่องนี้ยังมีเรื่องพระพี่เลี้ยงเราอีกหนึ่ง ขออนุญาตออกนอกวังพระเจ้าค่ะ" เชงมาแบ่งรับแบ่งสู้รายงานต่อเสียงแผ่ว ด้วยเพราะไม่อาจคาดคะเนพระอารมณ์ยามตื่นบรรทมขององค์ชายได้ว่ามาดีหรือร้าย "...เพื่อร่วมพิธีศพท่านแม่ทัพดาง์วตองฮมู"

"ดาง์วตองฮมู ดาง์วตองฮมู... ข้าเกือบลืมขุนศึกมีชื่อสมัยเสด็จทวดผู้นี้ไปแล้ว นานอักโขจริงหนา"

"ท่านแม่ทัพเพิ่งจากไปไม่นานเองนะพระองค์ หน่องจา..." เชงมาเอ่ยแย้งอย่างสงสัย แต่เมื่อมองพระพักตร์เจ้าชายเมงจีสวา เขาก็รีบก้มศีรษะลงทันใด กลืนคำบางอย่างไว้ในลำคอ "มิได้พระเจ้าค่ะ ...พระอาญามิพ้นเกล้า โปรดประทานอภัยที่กระหม่อมไร้มารยาท"

เชงมาเอ่ยชื่อผู้ใด หรือเหตุใดเรื่องพระพี่เลี้ยงผู้หนึ่งออกนอกวังเพราะงานศพมันเกี่ยวข้องอะไรกับตน เจ้าชายเมงจีสวาได้แต่นึกสงสัยอยู่ในพระทัย พระองค์ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุแน่ชัด จึงรีบเอ่ยปัดไปเรื่องอื่น "ช่างเถิดเชงมา...หมดเรื่องแล้วฤๅไม่?"

"พระเจ้าค่ะ" เชงมาไม่เงยหน้า ทว่าสั่นศีรษะพลางกราบทูลเจ้าชายว่าใช่ เจ้าชายมิได้ถือสารีบกวักมือหาอีกฝ่ายมาใกล้ๆ

"มีเรื่องวานให้เจ้าเร่งไปจัดการ ข้าจะตามเสด็จทำบุญนอกวังด้วย จงไปเรียกบ่าวเตรียมตัวซะ แต่ก่อนนั้นจงเอากระดาษ เอาดินสอมาให้ข้าที ข้าจำต้องใช้มัน"

"พระองค์ทรงเปลี่ยนพระทัยเสด็จทำบุญนอกวังแล้วฤๅ ?" พระพี่เลี้ยงนึกฉงน

"ใช่ ข้าเปลี่ยนใจแล้ว"

"...เช่นนั้นกระหม่อมจะรีบตระเตรียมตามรับสั่ง"

"แล้วก็นะ เชงมา อีกเรื่องหนึ่ง..." หน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์เรียกพระพี่เลี้ยงผู้ที่กำลังจะคลานถอยไปหยิบสิ่งของตามรับสั่ง เชงมารีบยกมือประสานไหว้แนบอก หันกายกลับมายังเจ้าชายอีกครั้งเพื่อฟังรับสั่ง

"บ่าวไพร่ธารกำนัลคนใดที่ข้าไล่ออกไปทั้งหมด จงให้กลับเข้ามาทำหน้าที่ตามเดิม ตากแดดตากลมอยู่ด้านนอกจะลำบาก"

"ให้ทั้งหมดกลับเข้ามาตามเดิม!?..." คราวนี้เชงมาทำหน้าทำตาเบิกกว้างฉงนยิ่งกว่าเก่า เขาพูดพึมพำและทวนสิ่งที่ได้ยินอย่างไม่เชื่อหู "จริงหรือพระเจ้าค่ะพระองค์?"

"เออสิ เจ้าจะให้ข้าย้ำทำไมหนักหนา"

"มิได้พระเจ้าค่ะ เพียงแต่ปรกติพระองค์ไล่แล้วจะทรงไล่ขาด แม้นพระราชมารดาให้บ่าวให้นางกำนัลกลับมา ก็มักตะเพิดเสียให้ได้อยู่ร่ำไป"

"...ข้านี่หนอ กระไรหนักหนา" เจ้าชายกรอกพระเนตรมองบนก่อนรับสั่ง "เป็นอันว่าผู้ใดไม่ติดกิจติดงานใดก็กลับมาตามเดิม ไปได้แล้วเชงมา อย่าลืมของที่ข้าสั่ง"

เชงมาไหว้น้อมรับสั่งก่อนรีบคลานเข่าออกไปจากห้องบรรทมด้วยท่าทีกระตือรือร้น กิริยาลิงโลดน่าพิกลเป็นการน่าสังเกตแก่สายพระเนตร แต่กระนั้นเจ้าชายก็มิได้เอาเรื่องความประพฤตินี้มาพระทัยใส่เท่าใดนักเมื่อเทียบกับความพิสดารซ่อนลึกในอุรา

เมงจีสวาลุกออกจากพระแท่นอีกครั้ง พระองค์ตรงไปจ้องยังพระฉายอีกครา เพ่งพิศกายาอย่างถ้วนถี่ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

เจ้าชายเข้าไปใกล้พระฉายห่างเพียงคืบ แล้วใช้สองหัตถ์ยกบานกระจกใหญ่ทว่าวัสดุนี้ก็หนักหนาเกินกว่ากำลังของ 'เด็ก' จะสามารถยกขึ้นได้ จึงยุติการกระทำ

"อัศจรรย์นัก...ไม่อยากเชื่อ เรากลับมาได้จริง!" เจ้าชายหันพระปฤษฎางค์ชนกับพระฉาย นวดปลายขมับและจับผ้าโพกศีรษะ ทิ้งกายลงนั่ง ตรัสขึ้นทั้งที่ทรงอยู่คนเดียวในห้องบรรทม

"แปลว่าพวกเราทำสำเร็จใช่ฤๅไม่ นาถะยา"

สิ้นวาจาไม่กี่อึดใจเปลวไฟในตะเกียงก็ขยับวูบวาบ ร่างที่สะท้อนอยู่ในกระจกก็เคลื่อนไหวแตกต่างจากเจ้าชายอย่างสิ้นเชิง ร่างนั้นเอนคอกับใบหน้ามาทางพระองค์ ใบหน้าในกระจกนั้นซีดเผือกไร้เลือดฝาด รอยยิ้มกว้างเห็นฟันขาวปรากฏขึ้น ดวงตาวับวาวดุจตากวางต้องจันทร์ฉายหรี่ลงตรงคู่สนทนา ปลายนิ้วเรียวกวาดหมุนควันกำยานเล่นเป็นวงกลม

"เห็นจะเป็นเช่นนั้นแล เจ้าชาย" ร่างซีดขาวสะท้อนในกระจกนามนาถะยาตอบด้วยเสียงสุภาพแสนกล ก่อนร่างเจ้าตัวกับบรรดาข้าวของสะท้อนในบานกระจกจะล่องลอย ดุจผงละอองในอากาศธาตุราวกันอยู่คนละห้วงมิติ

"หมายความว่ากระไร? เห็นจะเป็นเช่นนั้น"

"นาถะยาเคยแจ้งแล้วว่าครั้งนี้มิอาจทราบผลลัพธ์แน่ชัด" ดวงจิตลี้ลับกล่าวก่อนมองดูคู่สนทนาตั้งแต่หัวจรดเท้า "...นี่เป็นครั้งแรกที่นาถะยาพาเจ้าชายมาไกลจากกาลก่อน นาถะยาอ่อนแรงเกินกว่าจะรู้ว่าที่นี่เป็นเช่นไร มีสิ่งใดผิดแผกจากสถานที่ที่พวกเราจากมา"

"ดูตัวข้า ข้าในร่างเยาว์ อาศัยในห้องบรรทมแต่เก่าก่อน นาถะยาเอย เราไม่ได้อยู่ใน..."

สนามรบ เจ้าชายหยุดดำรัสขาดช่วง ภาพและเสียงยามศึกสงครามแล่นภาพในหัวทำให้พระองค์ชะงงักงัน ใบหูของนาถะยาจับน้ำเสียงเจ้าชายที่หยุดเงียบไปชั่วขณะได้ ถึงจะไม่เห็นใบหน้าเนื่องจากผู้พูดหันหลังพิงอีกฟากกระจก แต่นาถะยาก็ชำเลืองมองเห็นมือเล็กของเด็กชายอายุไม่ถึงสิบปีกำลังจับบ่าสั่นเทิ้มของตน

"ฝันระยำ..." เจ้าชายตรัสด้วยเสียงอันแผ่วเบา

"หวาดหวั่น เจ็บแค้นและปฏิเสธ ...เจ้าชายรู้เต็มอุราว่าความทรงจำนั้นมิใช่ฝันเฟื่อง"

"อย่าริอ่านความคิดข้า ...ข้าหาได้หวาดหวั่นไม่" เมงจีสวาลุกองค์หันมาทางพระฉาย สุรเสียงเดือดดาลราวกับจะฉีกทึ้งคู่สนทนา ร่างสะท้อนกระจกเหนือธรรมชาติหยักไหล่อย่างหน่ายใจ สักพักหนึ่งนาถะยาจึงเอ่ยต่อ

"ยอมรับเถิดเจ้าชาย ในห้วงความตายที่เราได้พบพาน ดวงวิญญาณของสองเราก็เชื่อมต่อมิอาจแยกจาก จิตเชื่อมจิต ร่างเชื่อมร่าง แม้นเจ้าชายหาได้ปรารถนา ฤๅตัวนาถะยาไม่ชำนาญภาษาชนชั้นสูง แต่ทรงคิดทรงเห็นสิ่งใดทั้งหมดก็ล้วนสื่อมาถึงนาถะยา

"ในโลกที่เราเทียวไปเทียวมา เจ้าชายสู้รบตบมือพระนเรศในสนามรบตั้งหลายครั้งหลายหน ยลโฉมพญามัจจุราชความตายมามากเกินกว่ามนุษย์ผู้ใดจะเผชิญ คร้านนึกประหวั่นบ้างก็มิใช่เรื่องแปลก..."

"ระวังปากเจ้า นาถะยา..." เมงจีสวาตรัสด้วยเสียงดุ คราวนี้นาถะยาผ่ายมือเชิงยอมจำนนแต่ปากช่างจ้อนั้นก็ยังคงพูดต่อไม่ลดละตามกิริยา

"นาถะยาพูดผิดฤๅ เอาเถิดหนา เล่าลือว่าผู้คนต่างเกรงกลัวพระนเรศยิ่งกว่าความตาย แต่กาลบัดนี้ใครกันเล่าจะเผชิญพระนเรศและความตายมากเท่าเจ้าชาย...นาถะยาเข้าใจเจ้าชายหรอกหนา ตั้งแต่เดินทางครั้งแรกเรื่อยมาพระองค์พิสูจน์ให้นาถะยาเห็นแล้วว่าสู้สุดกำลัง เจ้าชายออกศึกอย่างห้าวหาญ ได้ประลองฝีมือและจากไปอย่างมีเกียรติ...

กระนั้นก็มุ่งมาดไขว้คว้าหาโอกาสเพื่อแก้ตัวและเอาชนะสักหน เราจะมาอยู่ที่นี่"

"ครานี้ข้าได้คชยุทธ นาถะยา ...ครานี้ของ้าวข้าเฉียดเอาปลายมาลาได้แล้วเชียวหนา อีกนิดเดียว ข้าก็จะได้ชัยอยู่แล้ว"

"...แต่พระองค์ก็พ่ายแพ้อีก"ดวงจิตร่างซีดขาวกล่าวตามตรงก่อนพนมมือแนบอก เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของเจ้าชายเมงจีสวา

"อาจฟังดูแสลงหูน่าเวทนา แต่ข้าเห็นยุทธหัตถีที่ลงท้ายตรงพระองค์ตายคาคอช้างก็หลายหน มีคราวหนึ่งมิทันได้รบก็เห็นมีอ้ายเจ้าเมืองใครไม่รู้ช้างเกิดตกมัน ไสขับมาชนเจ้าชายจนหงายตกช้าง คราวหนึ่งเจ้าชายก็ต้องลูกกระสุนบ้าง ลูกปืนใหญ่บ้าง คราวหนึ่งก็โดนอาวุธอะไรไม่รู้แหลมๆสักอย่างปัก หรือจะเป็นตอน..."

"ไอ้วิญญาณไร้ญาติ ผีดวงจิตปากเปราะ เลิกพ่นถึงความตายข้าสักที ข้าชักจะเหลือทนกับเจ้าแล้ว!"

นาถะยาเม้มริมฝีปากด้วยความขุ่นเคืองก่อนหน่ายหน้าหนี พอกันกับทางเจ้าชายเมงจีสวาซึ่งพระเนตรขวาง พระขนงขมวดเป็นปมกว่าเดิม

"นาถะยาปากคอเราะรายแต่ก็จำเป็นต้องพูด นาถะยาเองก็ไม่อยากกล่าวเช่นนี้แต่ไร้สำเนียงยียวน เจ้าชายคงหวนนึกแต่เรื่องแสลงใจจนจิตเตลิดไม่ยอมฟังกัน" นาถะยาชี้แจ้ง รอจนใจเย็นลงแล้วเอ่ยต่อ

"ความตายของเจ้าชายคือสิ่งเตือนใจ ให้เราพึงระลึกว่าต้องหาทางหลีกเลี่ยงมิให้เกิดขึ้นอีกเด็ดขาด นาถะยากับเจ้าชายเดินทางมาเริ่มลิขิตชะตาใหม่ครั้งนี้เพราะอะไร หวังว่าเจ้าชายคงยังจำได้"

"รู้หรอกหนา...ช่างย้ำเสียจริง" เมงจีสวาขบพระทนต์ ใคร่เถียงโต้แย้งแต่อีกใจหนึ่งก็ทรงทราบว่าคำของนาถะยามีเหตุผล จึงทิ้งพระองค์นั่งประทับตรงพระแท่นอย่างไม่สบพระทัย

"การเดินทางทำให้นาถะยาสิ้นกำลัง พลังที่เหลือบัดนี้มิอาจช่วยพระองค์เดินทางมาภพภูมิเช่นนี้ได้อีก นี่คือการเดิมพันครั้งสุดท้ายของเราเจ้าชาย หากนาถะยาพลาดก็คงได้เป็นดวงจิตไร้ญาติชาติผีอย่างพระองค์ว่าไปอีกนาน...ส่วนเจ้าชายหากพระองค์พ่ายแพ้ คราวนี้เจ้าชายก็ต้องตาย ตายจริง ๆ และจักไม่มีวันได้แก้ตัวอีกอีกเลยพระเจ้าค่ะ"

"พวกเราต้องรอด นาถะยา"

เจ้าชายยืนขึ้นแล้วจ้องกลับไปยังร่างในพระฉาย ดวงเนตรมุ่งมั่นเดือดดาล

"ชาตินี้ข้าต้องชนะให้ได้"