ดวงอาทิตย์สาดแสงแรงกล้า แผ่ไออบอ้าวจนดวงตาดรุณีน้อยเริ่มพร่าเรือน จากรังสีอันร้อนละอุ
ดรุณีน้อยวิ่งกระหืดกระหอบมาเป็นเวลาเกือบสองชั่วยาม นางทั้งเหนื่อยล้าทั้งหิวโหย เหงื่อออกชุมเต็มแผ่นหลัง
" ฤดูร้อนอบอ้าวขนาดนี้ ตาเฒ่าหมอดูเอาอะไรมาพูดว่า มีฤดูใบไม้ผลิรออยู่ ! "...เด็กสาวบ่นงึมงำขณะลดฝีเท้าเดินเชื่องช้าลง เมื่อรู้สึกว่านางวิ่งมาไกลเกินไปแล้ว
ที่เลวร้ายคือท้องนางร้องโครกคราก หิวแสบไส้ไปหมด ดวงอาทิตย์ตรงหัวขนาดนี้ คงเลยยามอู่( เวลาเที่ยง ) มาได้สักพักแล้ว
" ตาเฒ่าหมอดูหมอเดา หลอกลวงให้ข้าหลงทางแล้วมั้ง ! "...นางปาดเเหงื่อไปกับวาจาอ่อนล้า ขณะเดินลากเท้าฝ่าพงไพร จนดวงตางามซึ้งพลันเปล่งประกายเจิดจ้า เมื่อเห็นบึงน้ำเขียวขจีอยู่เบื้องหน้า
ความกระปี่กระเป่ารี่ไหลรวดเร็วราวสายฟ้าแลบผ่าน นางตะบึงวิ่งเข้าหาแหล่งน้ำ ยกมือจ้วงน้ำใสดื่มด้วยความกระหาย
ความชุ่มชื่นเหมือนจะเพิ่มเป็นเท่าทวี เมื่อนางได้กลิ่นปลาย่างหอมกรุ่น ลอยมาเตะจมูก
มีกองไฟอยู่บนเนินทรายริมน้ำ รอบๆไฟที่ลุกโชนมีปลาเสียบไม้อังอยู่ห้า-หกไม้ ถัดกองไฟยังมีห่อผ้ากับกังหันลมเด็กเล่นวางอยู่
" เป็นชาวป่ามาก่อไฟกินอาหารอย่างนั้นรึ ? " เด็กสาวกล่าวร้องในใจ พลางหันมองไปรอบๆ โดยกระชับกริชไว้แน่นขณะเยื่องย่างเข้าใกล้กองไฟทีละน้อย ๆ
" วู้ว !...มีใครอยู่ที่นี่หรือไม่ ? " ดรุณีน้อยกู่ร้องลั่น ทั้งที่น้ำลายเริ่มสอด้วยกลิ่นปลาหอมกรุ่นโชยชายมาไม่หยุด
" ปลาท่านจะไหม้แล้วนะ ดีนะที่ข้าพเจ้ามาพบเจอ ของกินจะได้ไม่ต้องทิ้งคว้าง ข้าพเจ้ายินดีช่วยเหลืออย่างยิ่ง "...นางกล่าวเลื่อนลอยกับอากาศ แล้วรีบวิ่งเข้าหาปลาเผาอย่างหิวโหย
นางชักกริชเข้าเฉือนเนื้อปลา แล้วจิ่มส่งเข้าปาก
" อืม !...หวานนุ่มละมุนลิ้นยิ่ง ขนาดไม่ปรุงแต่งอะไรยังเลิศรสเพียงนี้…" ดรุณีน้อยลิ้มรสไปชื่นชมไปไม่หยุดปาก เพียงชั่วลัดนิ้วมือ ปลาเผาตัวน้อยก็เหลือแต่กางติดไม้แห้งกรัง
ปลาตัวที่สองถูกดึงมากัดกินด้วยริมฝีปาก โดยไม่ต้องใช้กริชให้เชื่องช้าอีก
แต่แล้วเด็กสาวพลันต้องชะงักการขบเคี้ยวทันใด เมื่อเกิดซุ่มเสียงเจื้อยแจ่วมาจากหนองน้ำ…
" น้องชายเจ้าไปตายอดตายยากมาจากที่ใดกัน ? "
เสียงกังวานใสกวักเรียกให้เด็กสาวมองหา จนได้พบชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆผุดตัวขึ้นจากบึงน้ำ ในมือมันยังมีไม้เสียบปลาดิ้นกระตุกไปมาอยู่สองตัว
" ปลาตัวกระจ๋อยร่อยแค่นั้นไม่พอให้เจ้าอิ่มหน่ำหรอก …ดูนี่ซิข้าได้ปลาอวบอ้วนมาอีกสองตัว รับรองว่าเพียงพอให้เราสองคนอิ่มพุงกางเชียว ฮ่า ฮ่า ฮ่า…"
ชายหนุ่มกล่าวเริงร่าพลางพวยพุ่งขึ้นจากน้ำ ร่างมันลอยละลิ่วข้ามธารใสลงไปหยัดยืนยังพื้นตรงหน้านาง
" อ๊าก !...เจ้า !..เจ้า !..."
เด็กสาวร้องเสียงลั่น เหลือกตาถล่น อ้าปากกว้างจนเนื้อปลาในปากร่วงหล่นลงพื้น
เพราะสิ่งที่โทงเทงอยู่หน้านาง คือชายเปลือยเปล่า ไม่มีใบไม้สักใบปกปิดร่างกาย
" เจ้าเป็นไรน้องชาย กางปลาติดคอรึ ? " มันร้องด้วยความห่วงใย พลางเข้าไปนั่งย่องๆข้างนาง ปล่อยให้ท่อนกลางกายห้อยต่องแต่งเรี่ยพื้น
เด็กสาวรีบหันหน้าหนีด้วยความเขินอาย ใบหน้าแดงระเรื่อจากเลือดฝาดที่ฉีดซ่านไปทั่ว แต่ด้วยความฉับไวปัญญานางยังคงแสร้งไอ พยักหน้ารับ
" เจ้านี่น้า !...เหตุใดต้องรีบร้อนรับทานด้วย ปลายังมีอยู่เต็มสระน้ำ " มันกล่าวอารมณ์ดีขณะลูบหลังนางเบาๆ
แรงสัมผัสที่ชายหนุ่มลูบหลังกระตุ้นให้เลือดลมนางร้อนผ่าว หัวใจระทึกรัวอย่างไม่เคยเป็น แม้จะก้มหน้าก้มตาสุดขวยเขิน แต่ยังไม่วายชำเรืองมองกล้ามเนื้อแน่นที่ห่างแค่เอื้อม ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
" เอ้า !...น้องชายดื่มน้ำเสียหน่อยเถิด คงพอช่วยบรรเทาอาการเจ้าได้กระมั้ง ! "
กระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำถูกหยิบจากกองผ้าส่งยื่นมาให้นาง พร้อมเพรียงกับที่ชายหนุ่มปักไม้เสียบปลาอังไฟไว้ จากนั้นมันจึงลุกตรงไปหยิบอาภรณ์ที่ถอดวางมาสวมใส่
โดยเด็กสาวได้แต่กระดกน้ำดื่มดับร้อนรุ่มเฮือกแล้วเฮือกเล่า
" เจ้าพลัดหลงกับสหายมาหรือไรน้องชาย ดูเจ้าจะไม่ใช้ชาวไพรมาเก็บของป่ากระมั้ง ? "...ชายหนุ่มแย้มยิ้มถาม ขณะมานั่งข้างกองไฟแล้วยื่นปลาเข้าเผารนความร้อน
ครานี้เด็กสาวสามารถมองมันได้เต็มสองตา อาภรณ์ที่มันสวมใสได้ปกปิดแรงระทึกในใจนางไว้สิ้นแล้ว
" เจ้าก็ดูไม่ใช่ชาวป่า ยังมาอยู่ในป่าได้ เหตุใดข้าพเจ้าจะไม่สามารถเล่า ! "
คุณหนูอู่จะอย่างไรก็เป็นทายาทคหบดีใหญ่ ไหนเลยจะยินยอมถูกซักไซ้ ตกเป็นรองฝ่ายเดียว นั้นย่อมผิดหลักการค้าไม่น้อย
เสียดายที่ชายหนุ่มเบื้องหน้า หาใช่พ่อค้าที่ต้องการกำลี่กำไล มันเพียงพยักหน้าแย้มยิ้ม ร้องดัง " อ้อ !..." แล้วหยิบปลาส่งเข้าปากละเลียดกิน
เด็กสาวงงงันกับท่าทีของมันนัก มันทั้งไม่ถามไถ่ชื่อแซ่ ไม่ซักไซ้ที่มาที่ไป ท่าทีมันผ่อนคลายกัดกินเนื้อปลาสบายอารมณ์
มันเป็นคนประเภทไหนกันถึงวางใจคนแปลกหน้าได้ง่ายดายนัก
ดวงตาแวววาวของเด็กสาวเฝ้าสังเกตมันด้วยความสนเท่ใจ
ดูอาภรณ์ที่มันสวมใส่คล้ายเหล่านักพรตเต๋า ผิดแต่เนื่อผ้าย้อมด้วยสีเขียวอ่อนดั่งหญ้าสด ซ้ำร่างกายมันยังสูงใหญ่ไหล่กว้าง แขนขายาว คล้ายนักรบเหี้ยมหาญมากกว่าเป็นเต้าหยินมากนัก
แม้มันจะยังอยู่ในวัยเยาว์คะเนอายุน่าจะ20-21 แต่เค้าโครงหน้ามันคมคาย จมูกโด่ง คิ้วดกหนา ดวงตาลึกซึ้งคู่นั้นมีสีเทาอ่อน ดึงดูดให้นางจ่อมจมมองเข้าไปภายในอย่างลืมตัว
" ใบหน้าข้ามีอะไรติดอยู่อน่างนั้นรึ ?...เหตุใดเจ้าจ้องไม่วางตา ? "
คำถามที่ลอยเลื่อนมากับประกายตาสีเทาอ่อน ทำเอาดรุณีน้อยต้องรีบเบือนสายตาหลบ ทั้งที่แก้มขึ้นเลือดฝาดแดงระเรื่อ
" ต้องจ้องมองซิ !...ก็ข้าเพิ่งเคยพบพานคนไม่สำนึกบุญคุณคนมากที่สุดในแผ่นดิน ! "
" เป็นข้าพเจ้าไม่สำนึกบุญคุณท่านอย่างนั้นรึ? "
" ถูกต้อง !..ก็ข้าช่วยไม่ให้ปลาของเจ้าไหม้เกรียม ไม่เห็นขอบคุณข้าสักคำ ชื่อแซ่ผู้มีพระคุณก็ไม่สนใจถามไถ่ ? "...
" อ้อ !...เหตุใดข้าต้องขอบคุณเล่า บางทีปลามันอาจชมชอบถูกฌาปนกิจให้มอดไหม้ก็ได้ ส่วนที่ไม่ถามชื่อแซ่เพราะอีกสักครู่เจ้าต้องบ่งบอกมาเองอยู่แล้ว "
" ชิ !..เหตุใดข้าต้องบอกขื่อแซ่เจ้าด้วย เจ้าอาจเป็นโจรป่า จับตัวข้าเรียกค่าไถ่ก็ได้ ! "
" หว้า !…สมเป็นผู้คนจากเมืองใหญ่โดยแท้ ระแวงระวังคนแปลกหน้าเสมอเลย !...ถ้าเช่นนั้นเราสองคนแยกย้ายกันในลักษณะนี้เถิด "....
มันกล่าวรวบรัดอารมณ์ดี พร้อมกับลุกขึ้นเดินไปหยิบห่อผ้าสะพายไหล่ หยิบกังหันเด็กเล่นไว้มือหนึ่ง อีกมือยังมีปลาเสียบไม้แทะกินอย่างเอร็ดอร่อย
ดรุณีน้อยเบิกตาโพลงด้วยความแตกตื่น ผู้ช่วยเหลือนางออกจากป่า กำลังจะจากไปแล้ว…
" เดี๋ยว !...เจ้าห้ามไปไหน ! "
" จะรั้งข้าไว้ทำไมคนแปลกหน้า ไม่กลัวข้าจับตัวเจ้าแล้วรึ ? " มันถามด้วยสีหน้ายียวน ทั้งที่ยังมีเนื้อปลาอยู่เต็มปาก
" เอ่อ !...คือ..คือ.." เด็กสาวได้แต่อึกๆอักๆ ไม่อาจนึกหาข้ออ้างเหนี่ยวรั้งมันสักคำ
" เคี๊ยก เคี๊ยก เคี๊ยก…คุณหนูอู่ท่านอยู่นี่เอง ! "
เสียงหัวเราะแหบพร่าลอยมาตามลม พร้อมร่างขอทานมอมแมมตะบึงออกมาจากแนวป่า โดยมีเสียงร้องตะโกนลั่นมาจากด้านหลัง ล้วนเป็นเหล่าขอทานวิ่งติดตามมาไม่ห่าง
ดรุณีน้อยรีบลุกพรวดจากที่ เมื่อเห็นเหล่าขอทานดาหน้ามา
" อ้าว !...สหายท่านมาแล้ว เหตุใดถอยหนีมาเล่า ? " ชายหนุ่มชุดเขียวถามหน้าระรื่น ขณะที่เด็กสาวเข้ามายืนเกาะแขนอยู่แนบข้าง
" เจ้าฟั่นเฟือนไปแล้วรึไร ข้าพเจ้าจะเป็นสหายกับขอทานได้อย่างไร !... " นางกล่าวรนราน พร้อมกับยึดเกาะแขนมันไว้จนแน่น
" ฮ่า ฮ่า ฮ่า น้องอู่จ้าวกล่าวถูกต้องแล้ว ขอทานยากไร้จะเป็นสหายกับท่านได้อย่างไร ? " เสียงคึกคะนองเลื่อนลอยมากับเงาร่างอวบอิ่มอาภรณ์แพรวพราวของคุณชายหยวน ที่โจนทะยานมากับยี่สิบชายฉกรรจ์ในมือล้วนมีกระบี่แวววับ
มันทั้งหมดล่อนร่างลงบนเนินดิน โดยมีคุณชายหยวนแกว่งไกวกระบี่ขวางหน้าไว้
" น้องอู่จ้าวท่านนี่ช่างกระไร โลกภายนอกมีแต่คนโฉดชั่วมากเล่ห์เพทุบาย เชิญท่านกลับสู่เมืองกับข้าพเจ้าเถิด " คุณชายหยวนกล่าวมาดมั่น ท่วงท่าเคืองโขดั่งขุนนางใหญ่
ขณะที่ขอทานเฒ่าก็เปรยยิ้มเหื้ยมเกรียมไม่ยิ่งย่อนไปจากมัน
" ไม่ต้องมาพูดดีเลย พวกเจ้านั้นล่ะที่เป็นตัวชั่วช้าอันดับหนึ่งในแผ่นดิน " เด็กสาวยังคงพูดกร้าว ทั้งที่มือเกาะหลังชายชุดเขึยวไว้แน่น
" เจ้านี่คบหาผู้คนหลากหลายนัก มีทั้งพ่อค้า ทั้งกระยาจก นับว่าเป็นผู้กว้างขวางโดยแท้ ! "...ชายชุดเขียวยังคงกล่าวหน้าระรื่น พร้อมทั้งเป่าลมหายใจใส่กังหันลมในมือ จนใบหมุนเป็นวง
" ใครว่าข้าคบหาพวกมันเล่า !...พวกมันนั้นล่ะโจรลักพาตัว ! "
" น้องอู่จ้าว ท่านอย่ากล่าวหยอกล้อไป ประเดี๋ยวน้องชายท่านนี้จะเข้าใจผิดไปใหญ่ " คุณชายหยวนปั้นหน้าสงบเย็น ต่างจากกระบี่ในมือมัน ที่แกว่งไกวฝ่าลมดังควับๆ เหมือนกำลังข่มขวัญอยู่ในที
" ข้าพเจ้าหยวนจงเซิน พอมีชื่อเสียงในเมืองหลวงอยู่บ้าง น้องชายท่านนี้คงพอเคยได้ยินบ้างกระมั้ง ? " มันกล่าวตามต่อ พร้อมแผ่ลมปราณเข้าไปในคมกระบี่ แฝงเร้นการคุกคามอยู่สามส่วน
" ต้องขออภัย ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้บำเพ็ญพรตจากแดนไกล ไม่ประสีประสากับคหบดีเรืองนามหรอก " ชายหนุ่มกล่าวพลางควงมือเป็นวง แผ่พลังวัตรฝ่าอากาศ ตรงเข้าปะทะกระบี่คุณชายหยวนเต็มด้าม
โดยไม่มีใครคาดคิด ว่ากระบี่ในมือผู้ฝึกยุทธจะพลันลอยคว้างหลุดมือ แล้วปลิวละล่องเข้ามาหมุนวนรอบมือชายชุดเขียว คล้ายใบไม้ลอยตามลมไม่มีผิด
" วิชากระบี่เฉวียน 9 ขั้น ! " ขอทานเฒ่าตะโกนร้องแตกตื่น
เช่นเดียวกับทุกผู้คน ที่ถลึงเหลือกตาพองเมื่อเห็นวิชาฝีมือพิสดาร
โดยเฉพาะคุณชายหยวนที่มีอันต้องถอยหลังชะงักมอง ด้วยสีหน้าซีดเผือดดั่งพบภูตผีกลางวันแสกๆ
" ของมีคมไม่ควรกวัดแกว่งเล่นไปนะท่านคหบดั ! " ชายชุดเขียวกล่าวไปพร้อม สะบัดมือควง ส่งกระบี่ปลิวละลิ่วลอยไปตกยังบึงน้ำจมหายไปในพริบตา
" ที่แท้ท่านเป็นศิษย์ของเซียนกระเรียนมรกตแห่งหุบเขาง้อไบ้ นับถือ นับถือ " ขอทานเฒ่าตรงเข้าประสานมือคารวะ เสนอหน้ามายืนเคียงข้างคุณชายหยวนอย่างท้าทาย
" อ้อ !...ผู้อาวุโสท่านนี้สายตาแหลมคมนัก อาจารย์ข้าพเจ้าบำเพ็ญตนเดียวดายมาหลายสิบปี ไม่คิดว่ายังมีคนจดจำท่านได้
" ข้าพเจ้าฟงก่าน เลื่อมใสมานาน หากมีโอกาสคิดไปเยี่ยมเยือนท่านที่ง้อไบ้สักครา "
" เจ้าขอทานโสโครกอย่าทำปากดี เมื่อครู่ยังจับตัวข้ารีดไถเงิน ตอนนี้มาเจอองครักษ์ข้าแล้วเป็นไงล่ะ ยังไม่รีบไสหัวไปให้พ้น ! " เด็กสาวรีบก้าวมายืนเท้าสะเอว ข่มขู่ปาวๆอย่างหยามใจ
ในขณะที่ชายชุดเขียวได้แต่ขมวดคิ้วขุ่น ถามนางด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ
" องครักษ์อย่างนั้นเหรอ ? "
" ย่อมต้องเป็นองครักษ์ซิ หรือเจ้าจะปล่อยให้ข้าพเจ้าเผชิญกับเหล่าสามสิบคนโฉดเพียงลำพัง ! " นางยื่นหน้าเข้าไปกระซิบกระซาบ ยักคิ้วหลิ่วตาเป็นสัญญาณติดๆ
ทำเอาชายหนุ่มได้แต่เกาหัวแกรกกราก ไม่อาจเอ่ยถ้อยคำปฏิเสธใดได้
" นักพรตน้อยวิชาดึงดูดกระบี่ของเจ้านับว่าน่ามองไม่น้อย ในที่นี้มีกระบี่อีกยี่สิบเล่ม ลองดูว่าวิชาของเจ้าสามารถดึงดูดกระบี่ได้ครบถ้วนหรือไม่ ! "...คุณชายหยวนตรงเข้าไปคว้ากระบี่จากชายข้างกาย แล้วระเบิดคำสั่งให้เหล่าพวกพ้อง กำอาวุธโรมรันชายชุดเขียวโดยพร้อมเพรียง
" ฮ่า ฮ่า ฮ่า…พวกพี่ชายนี่ชอบเล่นของมีคมกันเสียจริง มิน่าเล่าแผ่นดินถึงไม่เคยว่างเว้นการนองเลือด "
ชายชุดเขียวกล่าวหน้าระรื่น ขณะเหนี่ยวรั้งเอวเด็กสาวไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะพานางเผ่นพลิ้ว เคลื่อนหลบยี่สิบกระบี่ที่รุกไล่เข้ามา
มันเลี่ยงหลบซ้าย ยักย้ายร่างไปขวา ขยับเท้าราวลอยลมไร้น้ำหนัก แม้จะมีเด็กสาวในวงแขน มันยังพลิ้วไหวแคล่วคล้องดั่งภูตพรายไร้ร่าง จนกระบี่นับสิบได้แต่กรีดเฉือนอากาศ ฟาดฟันห่างทั้งคู่โดยไม่อาจแตะระคาย
กระบวนท่าร่างชายชุดเขียวเคลื่อนคล้อยงดงาม ประหนึ่งเริงรำสำราญไปกับเด็กสาว ท่ามกลางสีเงินยวงของกระบี่ที่วูบไหวรอบกาย
คุณชายหยวนทั้งที่ตวัดกระบี่รุกไล่ ทั้งตื่นตะลึง ทั้งชมมองจนงมงาย ไม่คิดฝันว่าจะได้เห็นวรยุทธอันลึกล้ำถึงเพียงนี้
" คุณชายหยวน เกรงว่าท่านคงต้องว่าจ้างคนเพิ่มกระมั้ง วิชาของเด็กหนุ่มผู้นี้ตึงมือพวกท่านมากนักนะ " ขอทานเฒ่าตะโกนถาม ทั้งที่กระชับไม้เท้าเตรียมลงมือ
" ข้าเพิ่มให้อีกพันตำลึง พวกเจ้ารีบลงมือโดยไว้ ! "...
สิ้นเสียงบอกราคา ขอทานทั้งหมดพากันโห่ร้องเข้ามา พร้อมกวัดแกว่งไม้เท้าล้อมไว้ทุกทิศทาง
" มันมากันใหญ่แล้วนะ เจ้าไม่คิดจะลงมือตอบโต้บ้างเลยรึ ? " เด็กสาวแว้ดเสียงสูง เมื่อรู้สึกว่าตนกำลังตกอยู่กลางวงล้อมของคนโฉดชั่ว
" อืม !.. อาจารย์ไม่ให้ข้าลงไม้ลงมือกับผู้ใด "
" ห่ะ !...แต่พวกเรากำลังจะถูกหั่นเป็นชิ้นเนื้ออยู่แล้วนะ ! "
" คิก คิก คิก…ไม่ย้ำแย่หรอกน้องชาย ข้าพเจ้าถูกเรียกว่าเมฆาในสายลมมาตั้งแต่จำความได้แล้ว ไม่มีผู้ใดจับตัวข้าพเจ้าได้หรอก "
เสียงเริงร่าทอดร่างไปกับสายลมโชยผ่าน โลดละลิ่วหิ้วเด็กสาวผ่านยี่สิบกระบี่เก้าไม้เท้า ทะยานกายแตะยอดหญ้าเผ่นโผนออกไปทางแนวป่ารกครึ้ม โจนแล่นทิ้งห่างกลุ่มคนที่กำลังโวกเวกโวยวาย
" ฮ่า ฮ่า ฮ่า …ไม่มีปีกก็โบยบินได้ เห็นมั้ยเล่าน้องชาย ฮ่า ฮ่า ฮ่า …"
เสียงหัวเราะสดใสสะท้อนก้องเข้าไปในใจนาง ชั่วแล่นที่อยู่ในอ้อมอกชายแปลกหน้า เด็กสาวคล้ายลอยละเมอในฝัน หลงลืมทุกสรรพสิ่ง เพียงรู้สึกถึงสายลมพัดผ่านใบหน้า
สัมผัสเพียงความอบอุ่นที่แนบกาย…