"ท่านมาจากเขตแดนใดหรือ?"
"ข้าเกิดและอาศัยในแดนสุวรรณ แต่ไม่รู้อะไรในดินแดนนี้มากเท่าไร"
ณ นอกเพิงนักวาดที่เป็นผืนหญ้าซึ่งลาดชันไม่มากนัก สายลมเย็นพัดพาความสบายต่อร่างกายมาให้ ขณะแสงอาทิตย์ให้ความอบอุ่นไม่ต่าง ระหว่างนั้นนักวาดร่างใหญ่ก็ถือไม้เท้าเดินบนถนนอิฐสู่หอศิลป์ ขณะอัศวินหนุ่มผมขาวกำลังถือผืนผ้าใบใส่กรอบ ที่สาวเจ้าวาดรูปเอาไว้เดินตามพร้อมสนทนา
"ข้ารู้ว่าท่านไม่โกหกเรื่องที่มองไม่เห็น แต่ท่านรู้ว่าใบหน้าข้าเป็นแบบไหนได้ยังไง?"
"นั่นเพราะข้ามองท่านด้วยหัวใจยังไงล่ะ"
"เอ๋?"
อิโระชะงักชั่วครู่ ขณะเผลอแสดงสีหน้าแปลกใจ จนความเย็นยะเยือกหายไป
"ฮิฮิ ข้าล้อเล่น ที่จริงข้าใช้เสียงสะท้อนให้เห็นเป็นภาพในความคิดน่ะ"
จูโนเผลอยิ้มและหัวเราะชอบใจออกมา เมื่อเห็นท่าทีของเด็กหนุ่มคู่สนทนา
"แต่ท่านเห็นสีสันได้ยังไงล่ะ?"
"สีสัน ถ้าหากข้าบอกว่าตัวข้ามีญาณล่ะ?"
"ท่านก็ไม่ได้เห็นทุกอย่างไปเสียหมด ข้าคิดว่าไม่น่าใช่"
"หืม ช่างสังเกตนี่ท่านอิโระ ที่จริง ข้าเรียกมันว่าสัญชาตญาณ ข้าเลือกสีสันของภาพวาด ตามบางสิ่งที่บอกข้าว่ามันควรเป็นเช่นนั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ถูกไปเสียทุกที มีบางครั้งที่ข้าเลือกสีผิดด้วย"
"แต่ท่านก็เลือกสีสำหรับภาพวาดของข้าได้ถูกทั้งหมดเลย ประหลาด"
อัศวินผมขาวหยิบภาพวาดที่ถือไว้ขึ้นมาพิจารณา จนมั่นใจว่าภาพนักรบหนุ่มชุ่มเลือดบนผืนผ้าใบไม่ต่างอะไรจากตน
"บางทีนั่นอาจเป็นญาณแท้จริงของข้ากระมัง"
"คงเป็นอย่างนั้นแหละ"
"ว่าไปแล้ว มีเหตุผลอะไรให้ท่านมาที่ทางวิถีเงาสีเงินนี่ไหม?"
"นั่นชื่ออะไรน่ะ?"
"แปลกจังที่ท่านไม่รู้ ท่านอยากเข้าใจไหมล่ะ?"
จูโนถามอีกฝ่ายด้วยความอยากรู้เห็น อัศวินหนุ่มผู้เยือกเย็นจึงตัดสินใจตอบอย่างไม่ยากเย็น
"ข้าอยาก"
"ทางวิถีเงาสีเงิน เป็นชื่อของเขตบริเวณนี้ ท่านเดินมาหอศิลป์ข้าผ่านถนนอิฐสายหลักใช่ไหม?"
"ใช่ นิลกาฬพาข้ามาตามถนนอิฐนั่น"
"คนที่นี่เรียกถนนนี้ว่าทางวิถีสีเงิน เป็นทางที่พาทุกคนไปยังจุดใหญ่ทั้งหลายในเขตนี้ ตั้งแต่ลานหญ้ากว้างไกล หมู่บ้านที่ผู้คนอาศัย ป่าใหญ่ให้ร่มเงา จนถึงอาคารหอศิลป์"
"ข้าเดาว่าฉายาเงาสีเงินคงมาจากป่าใหญ่ ที่ให้ร่มเงาบนถนนสีหม่นใช่ไหม?"
"ใช่แล้ว เพราะทุกคนสนใจในป่าใหญ่ที่ให้ความร่มเย็นเป็นอย่างดีเลยได้ชื่อนี้ แต่ว่า ท่านยังไม่ตอบคำถามข้าเลยนะว่าอะไรพาให้ท่านมาสถานนี้แต่แรก?"
"เหตุผลที่ข้ามาทางวิถีสีเงินเหรอ?"
อิโระครุ่นติดอยู่พักหนึ่ง ขณะเดินตามจูโนสู่อาคารหอศิลป์ตรงหน้า เมื่อได้คำตอบในใจก็พูดออกไป
"ข้าได้ข่าวว่าที่นี่มีทหารจากกองทัพพยัคฆ์รัตนโผล่มาเรื่อย ข้าเลยสงสัยว่าสถานนี้มีอะไร แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบเลย"
"เพราะมีบางอย่างสังหารพวกเขาให้ตายลงไปใช่ไหม?"
"ใช่"
"ไม่เป็นไรหรอก ท่านอิโระ ข้าเชื่อว่าสักวันท่านจะได้คำตอบเอง"
คู่หนุ่มสาวเดินเข้ามาถึงด้านในหอศิลป์ ผ่านโถงทางเดินขาวพร้อมแสงส่องผ่านช่องลม กับรูปวาดตามผนังได้ไม่นาน นักวาดตาบอดก็หยุดไม้เท้าลงตรงบริเวณที่ผนังค่อนข้างโล่ง มากพอให้แขวนรูปที่อีกฝ่ายยกมาไว้ได้
"ท่านอิโระ ข้าขอรูปวาดของข้าได้ไหม?"
"ได้สิ"
อิโระยื่นผืนผ้าใบลงสีคืนให้นักวาด เธอหยิบวัสดุสีใสประหลาดออกจากใต้เสื้อ ติดไว้กับขอบกรอบภาพวาด แล้ววางภาพนาบผนังขาวของหอศิลป์ ให้ภาพวาดของอัศวินหนุ่มผู้หมองหม่นถูกแขวนไว้แก่ผู้มาเยือนเชยชม
"เท่านี้ รูปวาดนี่ก็สมบูรณ์อย่างแท้จริงแล้ว"
"ถ้าท่านหมายถึงว่าให้ผู้คนได้เห็นด้วยน่ะนะ"
จูโนพยักหน้ารับอย่างไม่ลังเล ก่อนหันเหหาคู่สนทนาให้ได้เห็นหน้าตนชัดเจน
"ท่านอิโระ ข้ามีสิ่งหนึ่งที่สงสัย แต่ข้าไม่มั่นใจว่าถามท่านได้ไหม?"
"ถามข้ามาเถอะ ผลลัพธ์เป็นยังไงท่านก็ได้รู้เอง"
"ท่านโกรธแค้นอะไรกับกองทัพพยัคฆ์รัตนหรือ?"
คำถามนั้นทำอิโระขมวดคิ้วสงสัย จนถามออกไปตามใจคิด
"ทำไมท่านถึงสงสัยล่ะ?"
"ข้ารับรู้ท่าทีที่ท่านมีตอนเผชิญเด็กผู้หญิงคนนั้น ท่านพยายามเก็บความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ แม้จะไม่แสดงออกมาข้าก็รับรู้ได้ เด็กคนนั้นก็เช่นกัน ความรู้สึกที่ทำให้นางกลัวได้เช่นนั้น ข้าอยากเข้าใจว่ามันคือสิ่งใด"
ความเงียบงันเข้าปกคลุมบรรยากาศจนน่าอึดอัด อัศวินเกราะสีหม่นยืนนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดผ่านสีหน้า แม้ว่าจะขบคิดบางอย่างจนแววตาแสดงความไม่สมประดีออกมา ขณะนักวาดยังจ้องรอฟังคำตอบอย่างสงสัย แม้เธอจะมองไม่เห็นก็ตาม
"ข้าไม่ตอบได้ไหม?"
"ได้สิ หากท่านไม่สบายใจที่จะให้คำตอบ ข้าก็ไม่ขัดอะไร"
"ขอบคุณที่ท่านเข้าใจ"
ทั้งสองหันมองภาพวาดบนผนังหอศิลป์ ชื่นชมความงามที่นักวาดสลักสีเอาไว้ แม้เจ้าตัวจะไม่เห็นภาพตรงหน้า ก็รู้ว่าเป็นสิ่งน่าพอใจ จากท่าทีของอัศวินหนุ่มผู้จ้องมองอย่างสนอกสนใจ จนสังเกตว่าอีกฝ่ายละสายตาหาตนด้วยเหตุผลบางอย่าง
"ท่านมีอะไรหรือเปล่า? ท่านหญิงจูโน"
"ข้าเพียงสงสัย ตัวท่านมีสถานใดเป็นปลายทางในใจไหม?"
"ไม่เลย ไม่มี ข้าแค่ร่อนเร่พเนจรตามเส้นทางที่คิดว่าควรไป ไม่มีปลายทางไหนเลย"
"หากท่านไม่รู้ว่าจะไปทางใด สนใจจะไปกับข้าไหม? ข้ามีบางสิ่งอยากให้ท่านได้เห็น"
"ข้าสนใจ นำทางข้าไปเลย"
จูโนเดินนำเข้าไปในเส้นทางวกวน จนถึงหน้าประตูหนึ่งซึ่งปิดสนิท ทว่าเมื่อเธอหยิบบางอย่างออกมายื่นหน้าแถบกระจกด้านข้าง บานประตูกลับเปิดออกให้เห็นห้องทรงเหลี่ยมสีโลหะขนาดใหญ่ กับประตูรางเหล็กที่เปิดออกเกิดเสียงกระทบให้พวกเขาเข้าไป ทำให้อิโระสังเกตบางอย่างได้ คือแท่นวงกลมนูนเหนือพื้นห้องที่สลักตราวงกลมสีทอง อย่างตราบนเกราะตน
ทว่าก่อนเขาจะคิดอะไรมากไปกว่านี้ นักวาดก็ขยับฝีเท้าเหยียบบนแท่นนั้นจนยุบลงไป พร้อมกับที่เสียงประตูรางเหล็กดังหลังปิดลง และห้องเหล็กกำลังเคลื่อนขึ้นไปสู่ด้านบน
"เรากำลังไปไหน?"
หนุ่มผมขาวเอ่ยถามอย่างสงสัย ขณะแหงนมองตะแกรงเหล็กรอบห้องที่มีช่องให้เห็นผนังด้านนอก
"ชั้นบนสุดของหอศิลป์นี้"
ประตูรางเหล็กเปิดออก ให้เห็นห้องทรงวงกลมกับแสงไฟตะเกียงสลัว ที่อยู่นอกตะแกรงเหล็กขนาดใหญ่ เมื่อพวกเขาพากันเข้าไป ก็ได้เห็นแท่นศิลาประหลาดสีเทา กับเสาที่ชูสูงขึ้นมาให้เห็นชัดในสายตา
"ท่านเคยเห็นสิ่งนี้ไหม?"
"เสานี้ข้าเคยเห็นผ่านตา แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร"
"สิ่งนี้ถูกเรียกว่าเสาเชื่อมทาง มันถูกใช้เดินทางไปยังประตูอื่นใดที่เหมือนกันได้ สิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นในแดนสุวรรณหลายทศวรรษที่ผ่านมา ทว่าเพราะเหตุผลบางอย่าง มันถูกปิดใช้งานถึงทุกวันนี้"
สาวใหญ่นักวาดหยิบบางสิ่งออกมา เป็นเหรียญตราศิลาขรุขระขนาดเท่าฝ่ามือ ที่มีแสงส่องสว่างออกมาจากลายสลักประหลาดบนด้านหนึ่ง เธอยื่นมันหาแผ่นกระจกเหนือแท่นเสาเชื่อมทาง จนแสงสีฟ้าส่องออกมาไม่ต่างจากเหรียญตราศิลา พาอิโระที่มองอยู่แสดงอาการแปลกใจ
"เสาเชื่อมทางถูกเปิดใช้งานได้ด้วยสิ่งนี้ ที่เรียกว่าศิลาอักขระ มันสามารถใช้เดินทางไปยังประตูใดที่ยังใช้งานอยู่ได้ ไม่ว่าไกลเพียงไหน เพียงแค่มีศิลาอักขระและอยู่ที่เสาเชื่อมทาง ท่านก็ไปเยือนประตูอื่นได้ดังใจ"
"แต่ประตูนี้ทั้งหมดในแดนสุวรรณถูกปิดใช้งานไม่ใช่เหรอ?"
"ใช่แล้ว แต่เราออกตามหาเสาเชื่อมทางในแดนสุวรรณ แล้วเปิดใช้งานมันได้"
"ท่านจะออกเดินทางเหรอ?"
"ข้าปรารถนาออกเดินทาง เพื่อตามหาสีสันในแดนสุวรรณมาตลอด ทว่าเพราะสายตาที่หายไป ทำให้ข้าไปไหนได้ไม่ไกลนักจากหอศิลป์ หากแต่ว่าถ้ามีเพื่อนร่วมทาง ข้าคงไม่หวั่นเกรงเท่าไรนัก"
เมื่อพูดดังนั้น จูโนก็ยื่นมือข้างว่างหาหนุ่มคู่สนทนา พลางเบนดวงตาเปี่ยมความสงสัยหันหาตามกัน
"ในฐานะที่ท่านไม่มีจุดหมายปลายทางใด ท่านว่าอย่างไรล่ะ?"
อิโระยืนนิ่งไม่แสดงสิ่งใดพักใหญ่ เสมือนไม่มีความรู้สึกนึกคิดใดในใจ แต่ในที่สุดก็ตอบออกไปอย่างเยือกเย็น
"ข้าตกลง"
แต่หลังตอบตกลงได้ไม่นาน เขาก็ชะงักเพราะนึกอะไรได้
"แล้วหอศิลป์ท่านล่ะ? ไหนจะนิลกาฬอีก?"
ทันทีที่เขาเอ่ยคำถาม เสียงร้องของแมวก็ดังจากแท่นกลางห้อง เรียกสายตาชายหนุ่มให้หันมองเจ้านิลกาฬ ที่กำลังหลับตาและกระดิกหางไปมาให้เห็นชัดเจน
"ว่าตามจริง มีบางครั้งที่นิลกาฬเป็นผู้ดูแลหอศิลป์นี้แทนข้า และเขาก็ทำได้ค่อนข้างดี ข้าคิดว่าคงไม่เป็นอะไร"
"ดูนิลกาฬจะเป็นแมวที่ฉลาดนะ"
"ไม่เช่นนั้นเขาจะนำทางให้ข้าได้หรือ?"
จูโนเผลอหัวเราะขบขันเล็กน้อย ขณะนิลกาฬเชิดหน้าเสมือนว่าภูมิใจ อิโระที่เห็นสถานการณ์จึงยืนนิ่งขบคิดพักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจลูบหัวแมวดำเป็นการชื่นชม จนเจ้าตัวขยับหัวเข้าหามือผู้มาเยือนมากขึ้น กระทั่งอีกฝ่ายหยุดลูบไปเอง
"อย่างนั้น เราจะออกเดินทางกันวันไหนล่ะ?"
"วันนี้ ข้ามิมีสิ่งใดต้องเตรียมไป ข้าปรารถนาแสวงหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้าเท่านั้น"
"ขออภัยข้า แต่ท่านมั่นใจนะว่ามีเงินตรามากพอ?"
อัศวินหนุ่มแสดงอาการกังวลใจจนเสียความเยือกเย็น เมื่อเห็นทีท่าวางใจเกินไปของนักวาด
"อย่าได้กังวลเลย ข้ารู้ว่าต้องทำอะไร ไปกันเถอะ ท่านอัศวิน"
"ทางลงอยู่อีกฟากท่านหญิง"
อิโระชี้นิ้วหาห้องเหล็กที่พาตนขึ้นมา ขณะจูโนกำลังเดินไปอีกฝั่งแทน ทำให้นิลกาฬที่เห็นร้องทักเบา ๆ กระนั้นนักรบหัวขาวก็ไม่แสดงท่าทีอะไร เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็นภาพใดในสายตา
"โอ้ ขออภัยที่ข้าไปผิดทาง"
"ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านอยากได้เพื่อนร่วมทาง"
คู่นักวาดกับนักรบพากันกลับไปที่ห้องเหล็กประตูรางอีกครั้งเพื่อลงไป ก่อนแมวดำขนปุยยกขาหน้าขยับไปมา เสมือนเป็นการร่ำลาทั้งสอง พร้อมกับที่ประตูปิดลง และห้องเหล็กพาทั้งสองลงไปยังด้านล่างอีกครั้ง
เมื่อพวกเขาลงมาด้านล่าง ก็ใช้เวลาไม่นานออกมาจากหอศิลป์ ทำให้อัศวินยืนรอเพื่อคิดอะไรพักใหญ่
"แล้ว เราจะไปทางไหนล่ะ?"
"หากจะเดินทางไปแสนไกลในแดนสุวรรณ ทางวิถีสีเงินจะพาเราออกจากป่าไปนอกสถานนี้เอง"
อิโระกับจูโนพากันเดินตามทางอิฐกลับเข้าไปในป่าร่มไม้ ทว่าเมื่อก้าวได้สักพักกลับไม่พบนักค้าชุดดำข้างทางจากก่อนหน้า กระนั้นก็ไม่ใส่ใจอะไร เพราะคิดว่าน่าจะขึ้นรถม้าออกจากป่านี้ไปแล้ว
นักวาดก้าวเท้ามาถึงสุดทางของป่าใหญ่ ก่อนหยุดไม้เท้าในมือไว้ อัศวินเกราะสีหม่นจึงถามด้วยความแปลกใจ
"มีอะไรเหรอ?"
"ข้างหน้านั้น ในหมู่บ้านเล็กนั่น บางอย่างกำลังมา"
"บางทีท่านอาจคิดผิดที่ช่วยเด็กคนนั้นไว้"
"หรือไม่ก็เป็นเรื่องดีที่ให้พวกเขาได้รู้ว่าเกิดอะไรในสถานนี้"
อิโระเริ่มระแวดระวังรอบข้างขณะเดินเข้าไป ในหมู่บ้านที่เงียบงันจนเหมือนไร้คนอาศัย ขณะจูโนยังไม่แสดงอาการใด เดินต่ออย่างไม่รู้สึกกังวลแต่อย่างใด จนในที่สุดพวกเขาก็พบว่าอะไรกำลังรออยู่
สิ่งที่อยู่หน้าทางเข้าหมู่บ้านเล็กในป่าใหญ่ คือทัพทหารพยัคฆ์รัตนกับอัศวินอย่างที่เผชิญก่อนหน้า ทว่าคราวนี้พวกเขามาพร้อมนักรบสวมเกราะดำหนา ประดับประดาด้วยสีเหลืองทองตลอดหัวจรดเท้า ทำให้สองผู้มาเยือนหยุดชะงัก
"กองทหารพยัคฆ์รัตน"
อัศวินหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอาฆาตขึ้นพร้อมเตรียมชักดาบ ก่อนนักวาดยกมือขึ้นห้ามไว้
"ช้าก่อน ข้าจะคุยกับพวกเขาเอง"
เมื่อเห็นว่าสาวเจ้าต้องการเช่นนั้น อิโระก็ไม่ขัดใจ ปล่อยเธอเดินนำเข้าหากองทัพผู้มาเยือนทางวิถีเงาสีเงิน กระทั่งอัศวินพยัคฆ์รัตนผู้นำทัพเบนความสนใจมา
"สวัสดี ท่านผู้มาเยือนทางวิถีเงาสีเงิน มีอะไรให้ข้าได้ช่วยท่านไหม?"
"ตอนนี้กองทัพของเรากำลังตามหาใครบางคนในบริเวณนี้อยู่น่ะ"
"ใครกันหรือ? เป็นคนแบบไหน? เผื่อข้าเคยเห็นในสายตา"
"เห็นว่าเป็นคนที่ตัวสูงไม่มากเท่าไร สวมเกราะนักรบสีหมองประทับตราสีทอง มีผ้าคลุมสีน้ำเงินเขียวปิดหน้ากับตัว พกดาบยาวติดตัว ไม่รู้ว่าอยู่แถวนี้หรือเปล่า"
ทว่าหลังสนทนาไม่นาน อัศวินก็สังเกตว่าผู้มีรูปลักษณ์ตามกล่าว กำลังยืนหลังสาวใหญ่ร่างสูงที่กำลังสนทนาด้วย
"ขอบคุณที่ท่านพยายามช่วย แต่ดูเหมือนเราจะเจอเขาแล้ว"
"ช้าก่อน หากท่านหมายถึงชายที่อยู่ด้านหลังข้า เขาเป็นมิตรของข้าเอง"
"ขออภัยด้วย เพื่อนของท่านสร้างความเสียหายเลวร้ายให้กองทัพเรา เราปล่อยไว้ไม่ได้"
ทว่าเมื่ออัศวินชุดเขียวจะเดินเข้าไป นักวาดตาบอดก็ขยับฝีก้าวขวางไว้ทันที
"บางที คนของพวกท่านอาจมาเพื่อทำอะไรเลวร้าย และเขาเป็นคนที่หยุดเอาไว้ได้ในป่านี้ ที่มิมีสิ่งใดชั่วช้าให้กังวลใจ ท่านคิดจริงหรือว่าสถานนี้จะมีอะไรน่ากลัวให้คนของท่านมาเยือน?"
"ข้าขอโทษนะท่านหญิง"
อัศวินเกราะหนาไม่รอช้า รีบพุ่งเข้าไปด้วยกำลังและความเร็วให้อีกฝ่ายพ้นทาง จนอิโระที่ยืนนิ่งตลอดมากระทั่งเห็นทีท่าไม่ดี เริ่มก้าวเท้าพร้อมวางมือขวากระชับดาบเสียบปลอกเตรียมพร้อม
ทว่าอัศวินกลับถูกจับเกราะแขนตรึงไว้ กระทั่งเกิดเสียงโลหะบิดผิดรูป เมื่อถูกฝ่ามือของจูโนจับไว้
"ได้โปรดเถอะ อย่าทำสิ่งใดไม่น่าอภิรมย์ในสถานไร้พิษภัยนี้เลย"
อัศวินพยัคฆ์รัตนขยับแขนตนกลับมาอย่างช้า จนเห็นว่าเกราะที่สวมนั้นเป็นรอยบุบสลาย กลายเป็นลายนิ้วมือประทับชัดเจน แม้เขาจะไม่บาดเจ็บอะไร ก็แสดงท่าทีหวาดกลัวจนลนลานออกมา แม้ว่าจะพยายามเก็บอาการก็ตามที
"ถอยทัพ! ทุกคนถอยทัพเดี๋ยวนี้!"
ผู้นำทัพทหารทะยานหนีจากหน้าฉากการเผชิญ พาทหารที่เหลือตกอยู่ใต้ความสับสนมึนงง ขณะบางคนรีบวิ่งตามหัวหน้าไปอย่างไม่ลังเล เสมือนรู้ตัวว่าควรทำอะไรต่อไป
"เฮ่ย! พวกแกจะไปไหน! เป็นบ้าอะไรกัน?"
นักรบสวมเกราะดำทองถามด้วยความไม่สบอารมณ์ แต่ในที่สุดก็ตัดใจจากคนหนี และหันกลับมาที่หญิงตรงหน้า
"ไอ้พวกใจเสาะ แค่ผู้หญิงคนเดียวยืนขวางจะไปมีพิษสงอะไร? จัดการนาง!"
นักรบเกราะทองเหลืองชี้หอกในมือขวาสั่งทหารที่ยังเหลือ พวกเขาจึงกระชับอาวุธเตรียมปะทะ ขณะแม่สาวตาบอดยังไม่ไปไหน ทำให้อิโระตัดสินใจวิ่งเข้าไปเพื่อขัดขวาง
!!!!!!
เสียงโลหะตัดฟันดังขึ้นก่อนใครได้ตั้งตัว พร้อมการปรากฏของสะเก็ดไฟในสายตา หลังสามทหารถูกฟันร่างฉีกเลือดกระเซ็น โดยคมอาวุธโลหะใบเพลิงขนาดใหญ่ที่ชุ่มเลือด และยังมีไอร้อนระเหยเรื่อยให้ได้เห็นในสายตา
จูโนยืนนิ่งต่อหน้าทุกคนที่กำลังตกใจ ด้วยคทาในมือขวาเธอมีดาบโลหะใบเพลิงยื่นออกมา เป็นอาวุธที่เธอใช้จัดการสามเหยื่อก่อนหน้าอย่างง่ายดาย ประเคนความตายให้ศัตรูกลายเป็นศพ เสมือนรับรู้ทุกสิ่งตรงหน้า แม้ว่าดวงตาสีเพลิงอันน่ากลัวนั้นจะไม่เห็นภาพใด พาอิโระที่เห็นทุกสิ่งตลอดมาแสดงอาการตกใจไม่ปิดบัง ด้วยไม่คาดหวังภาพในสายตา
"ดูเหมือนพวกเจ้าจะไม่เข้าใจ ว่าแท้จริงแล้วศึกเป็นอย่างไร"
จูโนแสยะยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย ขณะนัยน์ตาสีเพลิงแดงอันว่างเปล่า แสดงความสมเพชเต็มแก่ออกมา แก่เหล่าทัพทหารศัตรูตรงหน้า ที่เธอพร้อมฆ่าไม่ว่าเวลาใดนับจากนี้
"เอาเถอะ เดี๋ยวก็รู้"
"ฆ่านาง!"
นักรบสวมเกราะประดับตระการตาออกคำสั่งอีกครั้ง ทำให้ทหารจำนวนมากกว่าก่อนหน้าพากันบุกโจมตีในทีเดียว กระนั้นพวกเขากลับถูกดาบด้ามยาวในสองมือของนักวาดฟาดปัดออกไป ไม่มีใครได้โอกาสโจมตี
เมื่อไม่มีใครเข้าใกล้เธอได้ นักดาบหญิงก็กระชับด้ามยาวของอาวุธในสองมือ ลงแรงฟันร่างทุกคนที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกัน จนเลือดไหลพุ่งเป็นน้ำพุเมื่อเหยื่อล้วนล้มกระเด็น มีเพียงเธอผู้ยืนเป็นสง่ากลางกองซากทหารและลานเลือดเท่านั้น
ทหารที่ยังหลงเหลือเกิดชะงักเพราะความสยองขวัญอันประจักษ์ ขณะแม่สาวตาบอดก้าวเท้าเข้าหาพวกเขาเรื่อย เหยียบย่ำแอ่งเลือดจากทุกคนที่ตายลงไป ทำให้คนที่เหลือตัดสินใจได้ในทันใด วิ่งหนีไปโดยทิ้งทุกสิ่งไว้ข้างหลัง
"ทหารพวกนี้พึ่งหวังไม่ได้สักคน ได้เสีย! ข้าจัดการเอง!"
นักรบเกราะดำทองชี้หอกหาศัตรู พานักวาดตาบอดกระชับหอกตั้งท่ารอปะทะ ทำให้เขาพุ่งอาวุธในสองมือใส่ด้วยความเร็วสุดกำลัง หมายมั่นแทงอีกฝ่ายให้สิ้นสภาพในทีเดียว
จูโนที่ยืนนิ่งตลอดมาขยับฝีก้าวเมื่อปลายหอกศัตรูเข้าใกล้ ซัดอาวุธในมือให้ใบหอกนั้นทิ่มลงพื้น พร้อมลงฝีเท้าเหยียบไว้ไม่ให้ขยับ ก่อนตวัดฟันอีกฝ่ายจนอาวุธหลุดมือและเกราะเสียหาย เธอจึงอาศัยจังหวะนักรบเสียท่าพุ่งเข้าไป ใช้ฝ่ามือกำคออีกฝ่ายตรึงขึ้นกลางอากาศให้ไร้ทางสู้ ก่อนกระซิบอย่างเบาบางกับเหยื่อตน
"นั่นละรุกฆาต"
"แก แกมันสัตว์ประหลาดแบบไหนกัน!"
นักรบผู้สิ้นท่าเอ่ยถามด้วยเรี่ยวแรงที่ยังเหลือ ขณะเธอผู้ชนะขยับลูกตาหันหาดังว่ามองเห็น ก่อนโยนอีกฝ่ายขึ้นฟ้าด้วยพละกำลังอย่างใจเย็น แล้วพุ่งอาวุธในมือขวาขึ้นไป
!!!!!!
คมดาบใบเพลิงแทงทะลุร่างนักรบสิ้นท่า ปล่อยเขาค้างเอาไว้กลางอากาศ ขณะเลือดยังไหลพุ่งออกมาทั่วบริเวณเป็นสีแดง กระนั้นก็ไร้ซึ่งหยดใดสัมผัสนักวาดตาบอด ผู้ยังมองเหยื่อบนฟ้าด้วยแววตาน่ากลัวกว่าสิ่งใด
"กับคนอย่างเจ้า ไม่มีคุณค่าใดให้ได้รู้หรอก"
ในที่สุดจูโนก็กระชากอาวุธจากร่างไร้วิญญาณของศัตรูคนสุดท้าย ให้ตรงหน้ากลายสุสานแก่ผู้รุกราน ขณะอัศวินหนุ่มเดินเข้ามาอย่างไม่เชื่อสายตา ว่าทุกชีวิตถูกฆ่าโดยฝีมือเธอ ก่อนดาบใบเพลิงในมือเธอหายไป เหลือไว้เพียงคทานำทาง
"กำลังของท่าน กล้าแกร่งเหลือเกิน"
"ข้าเคยฝึกฝนการต่อสู้มาก่อน จากนักวาดเก่าผู้เคยเป็นเจ้าของหอศิลป์ เขาทำให้ข้ารู้วิชาดาบ การเอาชนะด้วยพละกำลัง แต่เหนืออื่นใด เขาสอนให้ข้าได้เข้าใจศิลปะ นั่นละที่ข้าชื่นชมอย่างแท้จริง"
เสียงประตูเปิดดังจากด้านหลังทั้งสอง อิโระผู้ไม่ไว้ใจจึงจับดาบอีกครั้ง ขณะจูโนเพียงหันกลับอย่างวางใจ ขณะผู้คนในหมู่บ้านล้วนเปิดประตูออกมา และชายหนึ่งในนั้นเดินเข้าหาเธอ
"ขอบคุณท่านนักวาดที่ช่วยจัดการทหารพวกนั้นให้ เราไม่รู้เลยว่าจะตอบแทนอย่างไรดี"
"มิเป็นไรหรอก เพียงสถานนี้ปลอดภัยข้าก็ดีใจ อะไรทำให้พวกท่านเป็นกังวลหรือ?"
"กองทหารพยัคฆ์รัตน พวกนั้นขึ้นชื่อเรื่องสร้างความเดือดร้อนให้แดนใดที่ไปเยือน พวกข้าก็ไม่รู้เท่าไรนัก แค่พยายามหลบซ่อนไม่ให้พวกนั้นรับรู้ตอนมาเยือน พวกนั้นมากันหลายครั้งแล้วก็หายไป ก่อนจะกลับมา จนถึงวันนี้ที่ท่านช่วยเรานี่แหละ"
"ที่พวกนั้นหายไปในบางที อาจต้องยกความดีความชอบให้อัศวินผู้นี้ ที่มาด้วยกันกับข้าก็ได้"
ชาวบ้านหนุ่มหันหาอิโระด้วยความสงสัย ก่อนเอ่ยถามต่อไป
"หมายความว่ายังไง? ท่านนักวาด"
"อัศวินนี้ คือผู้ที่เอาชนะเหล่าทัพทหารพยัคฆ์รัตนที่มาเยือนทางวิถีเงาสีเงิน เขาต่อกรกับพวกมันเพราะรู้ว่ามีพิษภัยที่จะนำเข้ามาในสถานนี่ เพียงแต่ครานี้ข้าเป็นคนจัดการเสียเอง"
"ข้าไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้ง ข้าแค่มีเหตุผลของตัวเองที่ทำแบบนั้น"
อิโระพูดตัดบท กระนั้นชาวบ้านกลับหยิบบางอย่างออกมา ได้เป็นแหวนเงินประดับมณีสีฟ้าอ่อน อย่างสีดวงตาเขา แล้วยื่นให้ดังต้องการอีกฝ่ายรับไว้
"แต่ท่านก็ช่วยหมู่บ้านเราไว้หลายครั้งแล้ว เพราะอย่างนั้น แม้มันจะไม่มากมายนัก ก็รับคำขอบคุณของเราไว้เถอะ"
นักดาบหนุ่มรับแหวนประดับเอาไว้พิจารณา แม้ว่าจะรู้สึกถึงความแปลกประหลาดบางอย่างจากมันได้ ก็ไม่เข้าใจว่าคืออะไร จึงตัดสินใจถามออกไป
"นี่แหวนอะไร?"
"ข้าไม่รู้นักหรอก เห็นว่าเป็นของประดับที่ได้จากพ่อค้า ข้าไม่มีสิ่งอื่นใดจะใช้ตอบแทนได้ เลยอยากให้เป็นแหวนนี้"
"ก็ ขอบคุณ"
อิโระมองแหวนในกำมือด้วยความแคลงใจ แต่ในที่สุดเก็บมันลงไป
"ท่านอัศวินมีนามว่าอะไรเหรอ? ข้ากับทุกคนจะได้จดจำว่าท่านเคยทำอะไรไว้ให้"
อัศวินผมขาวยืนนิ่งครุ่นคิดพักใหญ่ เพราะแท้จริงตนไร้นามใดให้คนจดจำ ทำเหล่าชาวบ้านจ้องมองด้วยความลุ้นระทึก กระนั้นเมื่อรู้ว่าควรพูดอะไร จึงเอ่ยฉายาที่ทุกคนจะเข้าใจออกไป
"เรียกข้าว่าอัศวินแห่งชาลิกา"
ทุกคนที่ได้ยินชื่อนั้นนอกจากจูโนต่างหยุดชะงัก เสมือนรับรู้อะไรที่ไม่ดีเท่าไรนัก แม้แต่ผู้ให้แหวนประดับกลับแสดงทีท่าลังเลออกมา ก่อนพยายามตั้งสติให้อยู่กับการสนทนา
"อัศวินแห่งชาลิกา งั้นเหรอ? อย่างไรเสีย ข้าก็ขอบคุณท่านทั้งสองที่ช่วยเราเอาไว้ ขอให้พวกท่านเดินทางอย่างสุขสวัสดิ์ ลาก่อน ท่านนักวาดและนักรบ"
ทุกคนในหมู่บ้านต่างพากันโค้งคำนับ แทนคำขอบคุณแก่สองผู้ปกป้องของสถานนี้
"ด้วยความยินดี"
จูโนโค้งรับขณะอิโระยืนนิ่งเฉย ก่อนพวกเขาพากันเดินออกไป บนทางอิฐสู่ลานหญ้านอกหมู่บ้าน
"อัศวินแห่งชาลิกา ดูชื่อนั้นจะแบกรับน้ำหนักเอาไว้นะ"
นักวาดเอ่ยขึ้นเปรยถามระหว่างเดินตามทาง
"ใช่ เป็นน้ำหนักที่ข้าต้องรับเอาไว้ ไม่ว่ายังไงก็ตาม"
อัศวินหนุ่มเอ่ยรับอย่างหนักแน่น ขณะยังเดินตามแม่สาวใหญ่หน้าตน จนในที่สุดเธอก็หยุดลง
"ท่านอิโระ ข้าขอถามอะไรก่อนไปไหนไกลกว่านี้ได้ไหม?"
จูโนหันหน้ากลับมา ให้อีกฝ่ายได้เห็นความสงสัยที่สุมในดวงตาสีแดงอันว่างเปล่า กับผมยาวอันยุ่งเหยิงและเสื้อทับสีดำที่พัดตามแรงลม โดยสิ่งที่ทำให้จับจ้องมากสุดหาใช่อื่นใด นอกไปจากรอยยิ้มอันสดใสที่เป็นธรรมชาติเหนืออื่นใด
"ท่านหวังว่าจะพบสิ่งใดในการเดินทางนี้เหรอ?"
"ข้า ไม่เข้าใจ"
อิโระตอบกลับไปด้วยความลังเลตามคิด
"ข้าหวังจะพบสีสันในการเดินทางไปเยือนในแต่ละสถาน เป็นความฝันข้าตั้งแต่เยาว์วัย ท่านมีสิ่งใดที่คาดหวังไหม?"
ระหว่างคู่หนุ่มสาวกำลังพูดคุย เสียงรถม้าก็ดังขึ้นจากด้านหลังอัศวิน จนทั้งสองพากันหันมองว่าใครมา เป็นพ่อค้าสวมโค้ตดำกับหมวกสามเหลี่ยม บนรถลากพร้อมม้าดำประจำตัว ที่กำลังหยุดลงเมื่อเห็นทั้งสองยืนนิ่งกลางทาง พลางขยับหมวกขึ้นเล็กน้อย แล้วแสดงทีท่าสงสัยในอะไรบางอย่าง
"โอ้ ท่านเองหรือจูโน? แล้วก็ อา ท่านคงเป็นอัศวินที่มาด้วยกันตอนนั้นสินะ? รูปลักษณ์ท่านแตกต่างจากที่ข้าคาดหวังเอาไว้พอสมควร แต่เอาเถอะ ดูเหมือนกำลังเดินทางไกล พวกท่านจะไปไหนล่ะ?"
"เรากำลังตามทางวิถีเงาสีเงินออกจากที่นี่น่ะ ท่านแอนคู"
"บังเอิญดีจริง ข้าก็กำลังเดินทางออกจากที่นี่พอดี มีราคาโดยสารสำหรับติดรถลากข้าไป อยู่ที่ยี่สิบออรัม ว่าอย่างไรล่ะท่านหญิงท่านชาย?"
"ข้าไม่เกี่ยงเรื่องราคาหรอก ท่านอิโระว่าอย่างไรล่ะ?"
"ก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องเสียกำลังเดินไกล"
"พวกท่านเลือกได้ดี มาเถอะ ขึ้นท้ายรถลากได้เลย มีของวางเอาไว้ ขอให้ระวังหน่อยก็แล้วกัน"
นักวาดขยับไม้เท้าควานหารถลากแล้วเป็นฝ่ายปีนขึ้นไปก่อน จากนั้นจึงยื่นมือให้นักรบหนุ่มจับขยับขึ้นตามไป ทำให้รถลากออกตัวอีกครั้ง ทันใดนั้นจูโนก็เกิดชะงักเพราะนึกอะไรได้ จึงหันไปหาอิโระที่นั่งไมไกลกัน
"จริงสิ ท่านอิโระ ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลยนะ"
"คำถามอะไรเหรอ?"
"ท่านคาดหวังจะพบสิ่งใดในการเดินทางนี้น่ะ?"
เมื่อได้ยินคำถามย้ำ อิโระก็แหงนหน้ามองฟ้าสีคราม พลางคิดตามคำพูดคู่สนทนา แล้วบอกตามคิดออกมา
"ยังไม่มีหรอก แต่ข้าเชื่อมั่น ว่าสักวันข้าจะได้พบมันเอง"
"เช่นนั้น ข้าก็หวังว่าท่านจะพบสิ่งที่ปรารถนาเช่นกัน"
แล้วรถลากก็ดำเนินต่อไป ใต้ฟ้าสีครามยามเที่ยงวัน กับแสงตะวันอันสาดส่องลงมา พาพวกเขาสงสัยว่าจะได้เผชิญสิ่งใดต่อไป ในการเดินทางซึ่งไร้จุดหมายปลายทางนี้