webnovel

เสน่ห์รักเกมแค้น ตอนที่ 1

"แกยังมีหน้ากลับมาเมืองไทยอีกเหรอในเมื่อแกทำให้พ่อเสียหน้ากับไมตรีเมื่อห้าปีก่อน หรือแกลืมไปแล้วว่าแกทำให้พ่อขายหน้ามากแค่ไหน"

เสียงทรงอำนาจของประมุขแห่งบ้านชยาวัตดังทั่วไปทั้งบ้านเมื่อได้พบว่าผู้ที่มาเยือนเป็นใคร...เจ้าลูกชายตัวดีที่เคยทำให้เขาต้องขายหน้ากับเพื่อนรักของเขาเมื่อห้าปีที่ผ่านมา เขาตั้งใจจะหมั้นหมายลูกชายคนเดียวไว้กับลูกสาวของเพื่อนรัก แต่แล้วทุกอย่างก็พังทลายเมื่อลูกชายของเขาตัดสินใจหนีงานหมั้นและบินไปเรียนต่อยังต่างประเทศทันที โดยทิ้งจดหมายไว้ให้ดูต่างหน้า มีใจความว่า

'ผมขอโทษที่ผมตัดสินใจบินไปเรียนต่อทันทีในวันนี้ แต่ผมยอมไม่ได้ที่จะให้พ่อจับคลุมถุงชน โดยเฉพาะกับยายมิ้นต์ลูกสาวของอาไมตรี ผมเรียนตามตรงว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงลักษณะที่ผมชอบเลยแม้แต่นิดโดยเฉพาะใบหน้าที่สวมแว่นป้าๆ ตลอดเวลาของเธอ

ผมสัญญาว่าผมจะตั้งใจเรียนและผมขอร้องให้พ่อเลิกจับคู่คลุมถุงชนให้ผมอีก เพราะต่อให้พ่อจับผมคลุมถุงชนกับยายมิ้นต์อีกกี่ครั้งผมก็ไม่แต่ง'

ในครั้งนั้นพรตจำได้ว่าเขาโกรธลูกชายของเขามากและจะจำสีหน้าของว่าที่คู่หมั้นของลูกชายเขาได้ดี เขารู้ว่าหญิงสาวแค้นเคืองลูกชายเขามากเพียงใดเมื่อมองเห็นหญิงสาวก้มหน้าใช้นิ้วเรียวยาวจิกแน่นกับผ้าซิ่นสีทองที่สวมใส่เพื่อสะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลผ่านลงมาให้เป็นที่เย้ยหยันสนุกปากของแขกผู้มาร่วมงาน ตรงข้ามกับไมตรีเพื่อนรักและคุณติรกาภรรยาของไมตรีที่ดูปลงและเข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดีกว่าและเอ่ยปากปลอบเขา

'ช่างเถิดพรต เราคงเร่งแกมากไปเท่านั้นเอง ปล่อยให้เด็กได้ตัดสินใจเองเถอะ'

"นับว่ายังดีที่ไมตรีและคุณติเขาไม่เอาเรื่องเอาราวและยังยอมเป็นเพื่อนกับพ่ออยู่ ถ้าไม่อย่างนั้นแกเอ๋ย พ่อของแกจะต้องเสียเพื่อนที่ดีที่สุดไปเลยเจ้าเพชร"

ผู้ที่ถูกเรียกว่า 'เจ้าเพชร' หรือมีชื่อจริงว่า 'เหล็กเพชร'หันหน้าไปยังราวบันไดชั้นล่างที่ผู้เป็นพ่อยืนอยู่พร้อมเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามาในบ้านหลังนี้

"โธ่พ่อ ผมก็บอกแล้วว่าผมหมั้นกับยายมิ้นต์หน้าป้าไม่ได้จริงๆ ในเมื่อเราสองคนแทบไม่ได้รู้จักสนิทสนมอะไรกัน เจอกันบ่อยครั้งก็แค่ตอนเด็ก และยายนั่นก็ไม่ได้มีอะไรที่ตรงสเปคผมเลยแม้แต่นิด ผมอยากเป็นคนเลือกเจ้าสาวของผมเองโดยที่พ่อไม่ต้องมาเลือกให้พ่อเข้าใจผมบ้างสิ"

"ไม่เข้าใจ แกบอกพ่อมาซิว่าหนูมิ้นต์ไม่ดีตรงไหนนอกจากหน้าตาที่แกบอกว่าป้า แกไม่คิดบ้างล่ะตอนนั้นหนูมิ้นต์อายุแค่ยี่สิบห้า เรียนจบปริญญาโทพร้อมกันสองใบ เก่งขนาดนี้แกจะหาได้จากที่ไหน อาจจะแก่เรียนไปบ้างแกก็ไม่ควรจะถือสา ตอนนี้อายุสามสิบ อะไรมันก็เปลี่ยนแปลงกันได้ อีกอย่างชาติตระกูลก็ดี กิริยามารยาทก็ถือว่าดีไม่แพ้ใคร มีความรับผิดชอบในหน้าที่การงานไม่ได้วางตัวเป็นลูกคุณหนูเชิดสวยไปวันๆ แค่นี้ยังดีไม่พออีกหรือไง"

"มันไม่ใช่ก็คือไม่ใช่นะพ่อ ต่อให้แม่นั่นจะเก่งกาจสักแค่ไหนแต่ถ้าคนไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ผมต้องการเลือกแบบที่ผมชอบเอง"

"แล้วแบบที่แกชอบต้องเหมือนแม่นางเอกลูกครึ่งที่แกเคยคั่วอยู่ด้วยตอนเรียนอยู่ก่อนที่แกจะหนีกลับมาเมืองไทยที่ทำตัวเฟลิตกับใครต่อใครไปทั่วแบบนี้เหรอ"

คราวนี้ผู้เป็นลูกชายหันมามองยังผู้เป็นพ่อด้วยอาการอ้าปากค้างเนื่องจากไม่คิดว่าพ่อจะทราบความเคลื่อนไหวของเขาในเรื่องนี้

"นี่พ่อรู้เรื่องของผมได้ไง หรือพ่อส่งใครไปตามสืบผมถึงได้รู้เรื่องนี้"

"พ่อไม่จำเป็นต้องส่งใครไปตามสืบแก ในเมื่อที่ที่แกไปเรียนมีแต่เพื่อนของพ่ออยู่เต็มไปหมด ข่าวคราวฉาวโฉ่ขนาดไหนมันก็ต้องมาเข้าหูอยู่ดี"

เหล็กเพชรทำสีหน้าเบื่อหน่าย นี่เข้าไม่เคยรอดพ้นจากสายตาของพ่อได้เลยสักนิดเดียว ผู้เป็นพ่อมองด้วยสีหน้าเยาะเย้ยก่อนเดินเข้ามาตบไหลลูกชาย

"เอาล่ะ แกจะกลับมาอยู่ที่บ้านพ่อก็ไม่ว่าอะไร ดีเหมือนกัน แกจะได้มาช่วยพ่อบริหารงานในบริษัทด้วย...ส่วนเรื่องหนูมิ้นต์ พ่อจะพยายามเข้าใจและไม่พยายามจับคู่อะไรให้แกอีก แต่ขอให้แกหาเวลาไปขอโทษอาไมตรี อาติรกา และหนูมิ้นต์ด้วยก็พอสำหรับเรื่องที่แกเคยทำเอาไว้...ส่วนห้องของแกเดี๋ยวพ่อจะเรียกให้แม่บ้านมาทำความสะอาดให้ ระหว่างรอห้องแก แกก็ไปนอนพักรอในห้องของพ่อก่อนก็แล้วกัน"

ผู้เป็นลูกชายค่อยยิ้มออกบ้าง ยกมือขึ้นไว้แสดงความขอบคุณ

"ผมขอบคุณพ่อมากครับที่เข้าใจ เรื่องบริษัทผมตั้งใจจะกลับมาช่วยพ่ออยู่แล้ว ส่วนเรื่องนั้นผมจะหาเวลาเข้าไปพบคุณอาทั้งสองตามที่พ่อบอกก็แล้วกัน ตอนนี้ผมขอตัวไปพักก่อน เพลียเต็มที"

พูดจบก็ถือกระเป๋าเดินทางขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน ประมุขแห่งบ้านชยาวัตมองตามไปจนคลาดสายตา ยิ้มกับตัวเองพลางนึกอยู่ในใจ

'ให้มันได้พบกับหนูมิ้นต์ด้วยตัวเองเถอะ มันจะได้รูว่าที่เคยปรามาสเอาไว้ช่างผิดไปหมดจากความคิดของมัน'

---------------------------------------------------

หญิงสาวก้าวลงมาจากบันไดตึกสูงอันเป็นที่ทำงานของหญิงสาวเพื่อเตรียมตัวกลับบ้านหลังจากทำงานมาทั้งวัน หญิงสาวเดินห่างจากบันไดสูงมาได้สักพักก็มีรถเก๋งคันสีขาวที่หญิงสาวคุ้นเคยมาจอดเทียบด้านหน้าของหญิงสาว เมื่อกระจกด้านคนขับลดลงจึงเผยให้เห็นชายหนุ่มผู้นั่งอยู่ที่ประจำตำแหน่งนั้นพร้อมกับส่งยิ้มให้หญิงสาวเช่นเดียวกัน

"วันนี้ผมมาตรงเวลาคุณมิ้นต์ลงมาจากห้องทำงานพอดีเลยนะครับหลังจากที่ผมมาถึงช้ากว่าคุณมิ้นต์ตั้งสามวันจนทำให้คุณมิ้นต์ต้องยืนคอยผม"

หญิงสาวที่ถูกเรียกว่า 'มิ้นต์' หรือมีชื่อเต็มว่า มินตรา คลี่ยิ้มกว้างแสดงอารมณ์ขันต่อคำพูดของชายหนุ่มที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีก่อนจะเอ่ยตอบเขาอย่างอารมณ์ดี

"มิ้นต์แค่แซวเล่นเองนะคะพี่วุธ ไม่คิดว่าพี่วุธจะจริงจังถึงขนาดออกจากห้องทำงานเร็วเพื่อมารอรับมิ้นต์ขนาดนี้ นี่แอบออกจากงานก่อนเวลามาหรือเปล่าคะ ระวังนะคนในแผนกจะเอาไปพูดกันได้ว่าคุณวรวุธแอบหนีงานมา"

เขาหัวเราะกับคำแซวของหญิงสาว "ผมเปล่าหนีงานนะครับคุณมิ้นต์ พูดแบบนี้คุณท่านได้ต่อว่าผมแย่ บังเอิญวันนี้เคลียร์งานเสร็จเร็วครับ อีกอย่างคุณมิ้นต์เล่นออกงานช้ากว่าเวลาหนึ่งชั่วโมงแบบนี้ทุกวันผมก็ต้องมารับคุณมิ้นต์ทันอยู่แล้ว" เขาเปิดประตูรถก้าวลงมาแล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูรถอีกด้าน "ไปกันเถอะครับคุณมิ้นต์ ไปแวะทานเค้กก่อนกลับบ้านกันก่อนนิดหน่อยแก้เครียด วันนี้ได้ข่าวว่างานยุ่งมากไม่ใช่เหรอครับ ไปผ่อนคลายสักหน่อยเถอะ รับรองว่ากลับไปถึงบ้านทันเวลาคุณท่านกลับมาทานอาหารเย็นพอดี"

หญิงสาวใช้นิ้วมือเกลี่ยผมที่ปลิวตามแรงลมพัดมาโดนที่ใบหน้าพลางพูดกับชายหนุ่ม "จะดีเหรอคะพี่วุธ มิ้นต์ว่าจะให้พี่วุธช่วยส่งมิ้นต์ไปหารตีที่ร้านกาแฟของรตีหน่อย มิ้นต์นัดไปรับชุดที่ขอยืมไว้พอดี พรุ่งนี้รตีไม่อยู่ด้วยสิเห็นว่าจะต้องไปติดต่อธุระเป็นเพื่อนกับแม่"

วรวุธเม้มปากใช้ความคิดก่อนเสนอความคิดออกมา "เอาอย่างนี้สิครับคุณมิ้นต์ เราก็ไปรับชุดที่ร้านของคุณรตีแล้วแวะกินกาแฟกันที่นั่นก่อนกลับเข้าบ้านดีไหมครับ คุณมิ้นต์จะได้อยู่คุยกับคุณรตีแก้เครียดด้วย"

มินตรายิ้มให้กับความคิดของเขาแล้วพยักหน้าตกลง หญิงสาวก้าวไปยังฝั่งตรงกันข้ามกับคนขับซึ่งวรวุธยืนเปิดประตูให้อยู่ก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งตำแหน่งประจำ เขาปิดประตูให้แก่หญิงสาวอย่างเปามือก่อนจะเดินมาประจำที่ยังฝั่งคนขับแล้วขับออกไปจากบริเวณนั้น

หากตอนนี้มินตราและวรวุธสามารถได้ยินสิ่งที่พนักงานบริษัทซึ่งยืนอยู่บริเวณนั้นพูดถึงคงจะได้ยินประโยคต่างๆ อย่างเช่น

"คุณวุธคงรักคุณมิ้นต์มากสินะ แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้ไหมในเมื่อคุณวุธเองก็เป็นแค่เด็กลูกแม่บ้านที่คุณไมตรีรับมาเลี้ยงแต่คุณมิ้นต์เป็นถึงคุณหนูประจำบ้านวรวัฒนประเสริฐ มันเหมือนดอกฟ้ากับหมาวัดชัดๆ"

"คุณมิ้นต์กับคุณวุธเธอก็ดูน่ารักกันทั้งคู่นะ แต่คงยากที่จะได้แต่งงานกันแน่ ไม่รู้ว่าคุณวุธเธอเป็นฝ่ายแอบรักคุณมิ้นต์ข้างเดียวหรือคุณมิ้นต์เธอก็มีใจรักตอบ แต่ถึงอย่างไรคุณวุธก็คงต้องพยายามมากเหลือเกิน"

---------------------------------------------------

เสียงกระดิ่งดังขึ้นเป็นสัญลักษณ์ว่าประตูกระจกถูกผลักให้เปิดออก หญิงสาวผู้กำลังบรรจงแต่งหน้าเครื่องดื่มสีดำแต่กลิ่นหอมฉุยชวนดื่มละมือเพื่อเอ่ยต้อนรับลูกค้าใหม่ เมื่อมองเห็นว่าเป็นใครรอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นโดยทันที

"ว่าไงยะแม่ตัวดี กว่าจะมาได้ บอกให้ฉันเตรียมขนมไว้ให้รอแกตั้งแต่สี่โมงเย็น นี่เกือบจะหกโมงเย็นแล้วเพิ่งมาถึง ดีนะที่ฉันรู้ว่าแกจะมาช้าเป็นประจำก็เลยยังไม่เตรียมเอาไว้ให้แกตอนนั้น แต่รับรองว่าแกมาตอนนี้ได้กินแน่นอน" เมื่อมักทายเพื่อนรักพอประมาณแล้วจึงหันไปทักทายชายหนุ่มอีกคนที่เดินตามเพื่อนรักเข้ามาด้วย "สวัสดีค่ะพี่วุธ เป็นไงคะเหนื่อยมากไหม รับเป็นเอสเพรสโซเพิ่มช็อทเหมือนเดิมนะคะ เดี๋ยวรตีเตรียมให้"

ชายหนุ่มคนสนิทมินตราพยักหน้าให้แทนการตอบรับ ชวนให้อีกฝ่ายที่ถูกเอ่ยทักทายตอนแรกส่งแววตาจิกกัดให้แก่เจ้าของร้านกับท่าทีสองมาตรฐาน

"แหม ทีกับฉันใส่ฉอดๆ ไม่ถามสักคำว่าจะรับอะไร แต่กับพี่วุธแกรู้ทันทีเลยว่าจะรับอะไรแถมพูดจะเสียงอ่อนเสียงหวาน หมายความว่าไงกันจ๊ะคุณรตี นี่ปฏิบัติกับลูกค้าแบบนี้ทุกคนหรือเปล่าฉันจะได้ฟ้องร้องได้ถูกว่าเจ้าของร้านนี้สองมาตรฐาน"

ไม่ทันขาดคำมือขาวผ่องของเจ้าของร้านปรี่เข้ามาบิดตรงแขนเพื่อนรักจนอีกฝ่ายสะดุ้งรีบปัดมือออก รตีชักมือกลับมาพร้อมตวัดลมเชิงตีสั่งสอนเพื่อนรัก

"แกพูดแบบนี้มันน่าโดนนัก ฉันก็รู้อยู่แล้วไหมล่ะว่าแกต้องมัคคิอาโตเท่านั้น พูดมากจริง พาพี่วุธไปนั่งรอที่โต๊ะเลย นั่งโต๊ะเดียวกันกับยัยลีนั่นแหละตรงมุมร้านน่ะ เดี๋ยวฉันเตรียมกาแฟกับเค้กเสร็จแล้วจะยกไปให้ที่โต๊ะพร้อมกับชุดของแกด้วย"

เมื่อรู้ว่ามีใครมานั่งรออยู่แล้วมินตราจึงชะเง้อมองตามมือเจ้าของร้านที่ชี้ไปก็เห็นหญิงสาววัยเดียวกันใส่เครื่องแบบสีขาวนั่งอยู่ตรงมุมร้านแต่ฝ่ายนั้นหาได้รับรู้ไม่ว่าเธอมาเยือนแล้วเนื่องจากฝ่ายนั้นเอาแต่สนใจอยู่กับเครื่องดื่มตรงหน้า มินตราหันไปพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับแก่เจ้าของร้านแล้วเดินตรงไปที่โต๊ะมุมร้าน เมื่อเดินเข้าไปใกล้ถึงหญิงชุดขาวที่นั่งอยู่แล้วจึงเอ่ยขึ้น

"วันนี้ว่างเหรอจ๊ะคุณพยาบาลถึงได้มาพบเพื่อนๆ ได้"

ฝ่ายที่ถูกทักหลุดจากภวังค์ หันหน้าไปมองตามต้นเสียงพร้อมรอยยิ้ม

"วันนี้ลงเวรแล้ว พอดีรตีโทรมาชวนให้มาช่วยชิมขนม และบอกว่ามิ้นต์จะมาด้วยลีก็เลยตกลงมาเลย ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวันนะจ๊ะ"

"ขยันทำงานแบบนี้คงรวยแย่เลยสิครับคุณลี"

วราลีมองเห็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังมินตราแล้วรอยยิ้มเผยกว้างขึ้น ยกมือขึ้นไหว้ทักทายฝ่ายที่อยู่ด้านหลัง

"สวัสดีค่ะพี่วุธ ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ ลีมีภาระเยอะก็ต้องขยันหน่อย แต่ก็พยายามหาเวลามาพบเพื่อนๆ ให้ได้ตลอดนะคะ"

มินตราซึ่งยืนอยู่ตรงกลางสังเกตเห็นสีหน้าวราลีขณะเอ่ยกับชายหนุ่มคนสนิทของเธอได้ชัดเจน ยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นเล็กน้อยแล้วตัดสินใจพูดขึ้นมา

"อย่าเพิ่งคุยกันมากกว่านี้เลยค่ะ เดี๋ยวรอรตีมาร่วมสมทบกับเราก่อนดีกว่า... ลีนั่งคุยกับพี่วุธไปก่อนนะเดี๋ยวมิ้นต์ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนเดี๋ยวรีบกลับมา" พูดกับเพื่อนสนิทแล้วจึงหันไปคุยกับวรวุธต่อ "พี่วุธนั่งรอที่โต๊ะนะคะเดี๋ยวมิ้นต์รีบกลับมา"

วรวุธพยักหน้าตอบรับแล้วขยับเก้าอี้เช่นเดียวกับวราลีที่ขยับตัวนั่งลงที่เดิมเช่นกัน มินตราขยับตัวเดินไปยังห้องน้ำซึ่งอยู่อีกมุมหนึ่งของร้าน เมื่อเดินไปถึงมุมกำแพงหญิงสาวซ่อนตัวหลบอยู่ที่มุมกำแพง มองสองหนุ่มสาวนั่งคุยกันอย่างสนิทสนม รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า

"ฉันรู้นะว่าลีคิดอย่างไรกับพี่วุธ ฉันเองก็อยากให้พี่วุธได้สมหวังกับคนที่ดีแบบลีเหมือนกัน ฉันอยากให้คนที่ฉันรักทั้งสองคนมีความสุข... อย่าให้ต้องเจอคนเดรัจฉานแบบที่ฉันเคยเจอมาเลย"

---------------------------------------------------

เครื่องดื่มที่อยู่ในมือถูกผลักออกห่างจากปากพร้อมกับสิ่งที่ได้ผ่านเข้าไปในปากก่อนหน้านั้นพุ่งพรวดออกมาจนฝ่ายตรงข้ามกระโดดหลบแทบไม่ทัน เมื่อฝ่ายตรงข้ามพ่นสิ่งที่อยู่ในปากออกมาจนหมดพร้อมกับหยิบกระดาษบนโต๊ะขึ้นมาเช็ดปาก ฝ่ายที่ลุกหนีตรวจสอบสภาพตัวเองว่าไม่มีรอยเปรอะเปื้อนจึงกลับมานั่งที่เดิมพร้อมเสียงผรุสวาท

"แกเป็นอะไรวะไอ้เพชร อยู่ดีๆก็พ่นกาแฟพรวดออกมา ดีนะว่าหลบทัน ไม่อย่างนั้นสูทตัวนี้เปื้อนแน่"

ฝ่ายที่นั่งเช็ดปากจนเรียบร้อยเงยหน้าขึ้นมาคุยกับอีกฝ่าย

"ขอโทษทีว่ะ อยู่ดีๆก็ดันสำลักออกมาได้ทั้งที่ปกติก็ไม่ได้เป็นแบบนี้เท่าไหร่ หรือว่าจะมีใครนินทาหรือเปล่าวะ"

"เดี๋ยวนะ ปกติใครนินทาเขาว่าต้องจามไม่ใช่เหรอ แต่นี่แกสำลักมันเกี่ยวกันตรงไหน"

"เออน่ามันก็เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ ไม่อย่างนั้นอยู่ดีๆ จะสำลักออกมาเหรอ"

ฝ่ายถูกเรียกว่า 'ธี' หรือ 'ชลธี' อดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อได้ฟังคำตอบจากอีกฝ่าย

"ไม่น่าเชื่อนะว่าผู้ชายแมนๆ โผงผางแบบคุณเหล็กเพชรจะมีความคิดงมงายแบบนี้ด้วย ไม่เข้ากับตัวเลยว่ะ"

อีกฝ่ายหน้าเสียไปเล็กน้อย รีบเอ่ยแก้เก้อ

"เออน่าพูดมาก แกเรียกฉันมาหานี่แกมีอะไร"

ชลธีปรับสีหน้าไม่ให้ขำอีกฝ่ายพร้อมใช้มือเลื่อนเข้าไปยังกระเป๋าเสื้อสูท เมื่อเลื่อนมือขึ้นมาเหล็กเพชรเห็นการ์ดสีครีมในมืออีกฝ่าย ไม่ช้าสิ่งนั้นถูกยื่นมาเบื้องหน้าเขา

"แกช่วยไปร่วมงานแฟชั่นโชว์ของแม่เป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ แม่รู้ว่าแกกลับมาจากต่างประเทศมีหรือที่คนอย่างคุณหญิงมารตีไม่อยากจะให้คุณเหล็กเพชร ชยาวัต ทายาทคนเดียวของคุณพรต ชยาวัต นักธุรกิจแนวหน้ามาร่วมในงานนี้ด้วย"

"แต่แกก็รู้นี่ว่าว่าฉันไม่ชอบงานแฟชั่นโชว์พวกนี้เลย มีแต่แห่กันโชว์เครื่องเพชร เหมือนผีตู้เพชรเคลื่อนที่ ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจมากไปกว่านั้น"

"แต่ฉันอยากให้แกไปนะ งานนี้นอกจากงานแฟชั่นโชว์ ฉันยังรู้ว่าแม่นัดให้ฉันไปดูตัวกับลูกสาวเพื่อนรักด้วย ฉันอยากให้แกอยู่เป็นเพื่อนฉัน เผื่อเห็นท่าไม่ดีคนกะล่อนแบบแกจะได้ช่วยฉันออกมาจากงานได้... แกก็รู้นี่หว่าว่าฉันก็ไม่ชอบถูกจับคลุมถุงชนแบบแกนั่นแหละ"

แม้จะฟังคำกล่างของเพื่อนแล้วเหมือนถูกเหน็บก็ตาม แต่ด้วยสิ่งที่เพื่อนและเขาคิดเหมือนกันคือไม่ชอบการจับคลุมถุงชน เหล็กเพชรก็อดคิดตามไม่ได้ นิ่งไปสักพักมือแกร่งถูกเลื่อนขึ้นหยิบการ์ดเบื้องหน้า

"ตกลง ฉันจะไปเป็นเพื่อนแกเอง"

---------------------------------------------------

มือเรียวงามยื่นถุงกระดาษสีชมพูพร้อมการ์ดสีครีมแก่หญิงสาวที่กำลังใช้ส้อมส่งเค้กเข้าไปในปาก ฝ่ายนั้นรีบส่งเค้กสีขาวนวลเข้าไปในปาก เคี้ยวจนหมดแล้วยกมือขึ้นรับสิ่งของตรงหน้าพร้อมอดเอ่ยตำหนิอีกฝ่ายไม่ได้

"บ้าเหรอรตี คนกำลังจะกินเค้กดันยื่นของมาตรงหน้าได้ ไม่รอให้ฉันเคี้ยวเสร็จก่อนล่ะ"

"เอาไปเถอะน่า นี่ชุดที่แกให้ฉันยืมไป ส่วนนี่คือการ์ดงานแฟชั่นโชว์ที่แกต้องไปกับฉัน งานมีวันเสาร์นี้จ้ะ"

มินตราสีหน้างุนงง หยิบการ์ดในมืออีกฝ่ายขึ้นมาเปิดดูก่อนจะเอ่ยมองเจ้าของร้าน

"งานแฟชั่นโชว์เครื่องเพชร... แกจะให้ฉันไปทำไม ไปเดินใส่ชุดราตรี จิบไวน์ เอ่ยทักทายเหล่าคุณๆ ในงานแบบนั้นเหรอ... ไม่ล่ะฉันไม่ไป แกอยากไปก็ไปเถอะ"

"สายไปแล้วจ้ะคุณมินตรา ครั้งนี้เธอต้องไป เพราะเธอต้องไปเดินแบบฟินาเล่ด้วย... ฉันไม่ได้เป็นคนบอกว่าให้เธอเดินนะ แต่คุณหญิงมารตีเจ้าของงานมาให้ฉันช่วยติดต่อเธอด้วยเพราะรู้ว่าเธอเป็นเพื่อนกับฉัน และฉันก็โทรไปขอแม่ของเธอและตอบตกลงไปเรียบร้อยแล้ว"

"แกทำไมไม่ถามฉันก่อนล่ะรตีว่าฉันอยากไปไหม ยิ่งต้องไปเดินแบบด้วยฉันยิ่งไม่อยากไป" พูดแล้วหะนไปทางเพื่อนอีกคน "แกชวนลีไปสิ ลีก็ทั้งสวยและหุ่นดี รับรองใส่ชุดอะไรก็สวย"

หากแต่ฝ่ายที่ถูกเอ่ยถึงกลับแทรกขึ้นมาเสียก่อน

"ลีไม่ว่างด้วยสิมิ้นต์ วันเสาร์มีขึ้นเวรพอดี งานนี้คงต้องขอตัวนะ"

รตีหันไปพยักเพยิดกับฝ่ายที่เธอจับยัดเยียดให้ไปร่วมงานด้วยพร้อมเอ่ย

"เห็นไหมล่ะ ลีเป็นพยาบาล ไม่นัดล่วงหน้านานๆ คิวว่างยาก นี่ที่มาพบเราลองคนวันนี้ได้ก็โชคดีมากนะจ๊ะ... แกไปเป็นเพื่อนฉันเถอะน่า งานนี้แม่ฉันก็จับฉันให้ไปเจอกับลูกชายเพื่อนรักเขาด้วย ฉันรู้เลยว่างานนี้เหล่าแม่ๆ แอบจับคู่กันแน่นอน แกไปช่วยฉันเถอะนะ เห็นท่าไม่ดีแกจะได้พาฉันชิ่งกลับเลย"

"แต่ว่า..."

มินตราพูดไม่ทันจบ ชายหนุ่มคนเดียวบนโต๊ะเอ่ยกับหญิงสาวคนสนิท

"ไปเถอะครับคุณมิ้นต์ ถือว่าไปช่วยคุณรตีเขาหน่อยก็แล้วกัน ถือว่านานๆทีได้ไปเปิดหูเปิดตานะครับ"

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครบนโต๊ะเป็นพวก มินตราเหลือกตามองบน ผ่อนลมหายใจ

"ก็ได้ ฉันจะไปงานนี้ แกมารับฉันที่บ้านด้วยก็แล้วกันนะรตี"