ตอนที่ 12 รุ่นพี่ฉันเองแหละ
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมามองเล็กน้อย แล้วเห็นว่านัยน์ตาที่แข็งกร้าวของเพื่อนร่วมโต๊ะหรี่เพียงเล็กน้อย เธอเหมือนกำลังผิวปากอยู่ด้วยซ้ำ
เสียงพูดของเพื่อนใหม่ฟังปกติ ซ้ำยังเอามือล้วงกระเป๋าข้างหนึ่งด้วย เด็กสาวหน้าสวยหันหน้ามาด้านข้าง แล้วมองไปที่กลุ่มเด็กแว้นที่อยู่รอบตัวด้วยท่าทีเรียบเฉย
ทำไมยัยนี่ยังหัวเราะได้อยู่นะ...
มีตำนานมากมายเกี่ยวกับแก๊งป่วนของโรงเรียน แค่คิดถึงมัน ขาของกรรมการนักเรียนสาวก็อ่อนปวกเปียกแล้ว
เธอคว้าข้อมือฉินหร่านไว้แน่น ข้อนิ้วเกร็ง ปลายนิ้วซีด
ไม่ห่างจากจุดนั้น
“นายน้อยสวี กลุ่มเว่ยจื่อหังกำลังแกล้งเพื่อนร่วมห้องพวกเราต่อหน้าต่อหน้านะ” เด็กหนุ่มมช่างจ้อพูดขึ้นด้วยความกังวลใจ เขางับบุหรี่ในปาก ลูบผมตัวเอง แล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถามไปที่เพื่อนของตัวเอง
สวีเหยากวงเลิกคิ้วขึ้น ท่าทางของเขาดูสงบ แต่ทว่านัยน์ตามีแต่ความเย็นชา “แล้วมันเรื่องอะไรของนายล่ะ...”
ตาของนายน้อยจ้องไปที่แก๊งวัยรุ่นตรงหน้าไม่กะพริบ ตรงกลางวง เด็กผู้หญิงที่หันหลังให้เขายืนอย่างสบายใจ เธอหุ่นค่อนข้างสูง ผอม และไม่ได้มองมาทางเขา
ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง ใบหน้าเด็กที่หันหลังอยู่ดูขาวและแฝงไว้ด้วยแววปีศาจ ท่าทางของเธอเยือกเย็นและหยิ่งผยอง เห็นได้ชัดว่าเธอคนนั้นดูเหมือนอันธพาลไม่มีผิด
ไอความดุดันที่แผ่ออกมาจากเด็กสาวทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้าน
นายน้อยสวีนิ่งไป ไม่น่าแปลกใจที่เพื่อนสนิทเขาลากเขาให้มาที่นี่ เหตุการณ์แบบนี้หาดูได้ยากจริงๆ
“นายน้อยสวี ทำไมยังเฉยอยู่ล่ะ” ผู้ที่ถูกถามไม่ได้ตอบอะไร จึงทำให้ผู้เป็นเพื่อนยิ่งกระวนกระวายมากขึ้น ผมที่สั้นและชี้ตั้งของผู้ถามเผยให้เห็นความมุ่งมั่นของเขา “เว่ยจื่อหัง หมอนั่นลงรถมาแล้วนะ โอเค ถ้านายจะไม่ชอบหน้าเพื่อนใหม่เราก็ช่างเหอะ แต่นายรู้จักยัยกรรมการนักเรียนมาตั้งสองปีแล้วนะ จะปล่อยให้เธอตายจริงๆ นะเหรอ”
สวีเหยากวงดูเหมือนยังเงียบอยู่ เฉียวเซิงไม่ได้คิดอะไรมาก จึงคิดว่าเพื่อนคงเห็นด้วยกับตัวเองแล้ว
หนุ่มช่างจ้อก้าวเท้ามาข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วประกาศขึ้นดังๆว่า “คณะกรรมการนักเรียน พาเพื่อนใหม่มาตรงนี้ แล้วเปิดทางให้เว่ยจื่อหังซะ ”
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มแฝงไว้ด้วยความกังวลมากทีเดียว
ตอนที่ได้ยินเสียงเฉียวเซิง หลินซือหรานหลุบตาต่ำ เธอเม้มปากแน่น ร่างกายเกร็งไปหมด เครื่องแบบนักเรียนขนาดโคร่งของเธอทำให้กรรมการนักเรียนสาวดูผอมแห้งและบอบบางมาก ๆ
เธอจับมือเพื่อนใหม่ไว้แน่น ยกเท้าแล้วเดินไปทางคนที่ประกาศก่อนหน้านี้
หัวหน้าแก๊งคนนี้ขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้ายของเขา ตอนที่เพิ่งย้ายมาที่โรงเรียนสมัยก่อน เขาขึ้นแท่นเป็นหัวหน้าแก๊งอิทธิพลในพื้นที่ทันที
พวกเขาคิดว่า ขาโจ๋ล้างมือในอ่างทองคำไปแล้ว แต่สุดท้าย ปรากฏว่าพวกเขาคิดผิด
ชื่อเสียงของเขาในฐานะขาป่วนประจำโรงเรียนขจรขจายไปทั่ว
ตำนานทั้งหมดที่โรงเรียนอี่จงเล่าต่อกันมามีแต่เรื่องร้ายกาจของขาโจ๋คนนี้ทั้งนั้น เว่ยจื่อหังมีเส้นสายที่ใหญ่มากคอยหนุนหลัง แม้แต่นรกยังไม่กล้าแหยมกับเจ้าคนนี้เลย
แล้วไอ้พวกเด็กธรรมดาๆ แบบนี้จะมากล้าดีต่อกรกับเขาได้อย่างไรกัน
แม้แต่เด็กดีอย่างหลินซือหรานก็ยังได้ยินชื่อเสียของเขามาก่อน
หลังจากได้ยินที่เฉียวเซิงพูด กรรมการนักเรียนรีบดึงตัวเพื่อนใหม่ ลากเธอออกมาจากวง
แต่เท้าของฉินหร่านกลับยึดกับพื้นไว้แน่น
ทำให้ลากตัวเธอออกมาไม่ได้
ขณะที่คีบบุหรี่ไว้ในมือ เฉียวเซิงกระวนกระวายมากขึ้นกับสถานการณ์ตรงหน้า เขาเสยผม “แม่_เอ๊ย ยัยดาวโรงเรียนใหม่เป็นบ้าอะไรวะเนี่ย อยากจะมีเรื่องหรือไง จะต่อกรกับขาโจ๋นั่นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ นายน้อยสวี พูดอะไรมั่งสิ!”
ดาวโรงเรียนคนใหม่คนนี้ช่างยะโสแถมบ้าดีเดือด ราวกับเธอเป็นเด็กแรกเกิดที่ไม่กลัวเสืออย่างงั้นแหละ
เว่ยจื่อหังและพรรคพวกทุกคนต่างมีชื่อเสียที่มหาวิทยาลัยอวิ๋นเฉิง นักศึกษาทุกคนที่นั่นต่างกลัวพวกนี้หัวหด เขาไม่สนใจกฎอะไรทั้งสิ้น และไม่ว่าใครหน้าไหนก็หยุดขาป่วนคนนี้ไม่ได้
หลังจากหลินจิ่นเซวียนเรียนจบไป เว่ยจื่อหังกลัวสวีเหยากวงแค่เล็กน้อย
ทั้งสองก๊วนนี้ไม่ถูกกันเลย และพวกเขาต้องมาประจันหน้ากันแค่ตอนงานรับน้องมัธยมหนึ่งของโรงเรียนอี่จงเท่านั้น
ตอนนั้นฉินอวี่ค่อนข้างดัง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เว่ยจื่อหังและแก๊งรวมตัวกันไปล้อเลียนว่าฉินอวี่เล่นไวโอลินได้ห่วย สวีเหยากวงรีบโต้กลับเขาทันที
ในตอนนั้น การซ้อมไวโอลินของฉินอวี่คือตอนมัธยมสอง
ทุกคนคิดว่าแก๊งเว่ยแค่จงใจหาเรื่อง
ตอนนั้นสวีเหยากวงเพิ่งเป็นเด็กมัธยมหนึ่งที่เพิ่งจะย้ายมาเรียนที่โรงเรียน แต่สุดท้ายเว่ยจื่อหังก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับ
ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น เฉียวเซิงจึงรู้ว่าขาโจ๋คนนี้กลัวเพื่อนสนิทของเขา
แต่ตอนนี้ ยัยเด็กใหม่กลับดื้อรั้นสุดๆ เขาเองช่วยอะไรไม่ได้แล้ว จึงต้องค่อยๆ ถอยห่าง แล้วปล่อยเธอไว้ตรงนั้น เด็กหนุ่มได้แต่สบถออกมาเบาๆ
อยากตายหรือไงวะ?!
หลินซือหรานมองดูตอนที่เจ้าอันธพาลขาใหญ่ลงมาจากรถ หน้าของเธอซีดเผือดหนักเข้าไปอีก แล้วพูดขึ้นมาด้วยเสียงสั่นเครือ “ฉินหร่าน พวกเราต้องรีบไปแล้ว...ไว้ฉันจะอธิบายให้ฟังทีหลัง”
เธอยังคงพยายามดึงฉินหร่านด้วยมือที่สั่นเทิ้ม ทั้งฝ่ามือเหงื่อซึมเป็นเม็ดๆ
ปฏิกิริยาแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติมากๆ สำหรับนักเรียนทั่วไปที่เห็นแก๊งขาโจ๋สุดโหดของโรงเรียน ที่แม้แต่นรกยังไม่อยากจะยุ่งด้วย
เด็กสาวหน้าสวยตบไหล่ของเพื่อนด้วยสีหน้าที่ยังคงราบเรียบ สาวใจกล้ายังคงล้วงกระเป๋าอย่างสบายใจ ขณะที่หรี่ตามองไปที่พวกนั้น
ฉินหร่านยังคงความเป็นบอสที่ทั้งบ้าระห่ำและดีเดือดไว้อยู่
แต่เพื่อนที่มาด้วยกลับไม่รู้สึกสบายด้วย ขาของเด็กสาวอ่อนยวบจนก้าวไม่ออกแล้ว
กรรมการนักเรียนแทบจะลมจับ
วัยรุ่นที่อยู่ข้างหน้ากำลังเดินมาทางพวกเธอ ดวงตาหงส์ในร่างสูงใหญ่ และรังสีที่ดูลึกลับ ผนวกกับควันบุหรี่สีขาวที่ลอยมาจากนิ้วและท่าทางทั้งหมดของชายผู้นี้บอกได้คำเดียวว่า เขาคือปีศาจชัดๆ
พอเห็นว่าเว่ยจื่อหังเดินผ่านตัวเองไปแล้ว เฉียวเซิงถึงค่อยขยับตัวได้ กลุ่มคนที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นคิดว่าเด็กใหม่หน้าสวยคนนี้ตายแหงๆ
สวีเหยากวงมองไปที่ขาโจ๋ ดวงตาใสที่มืดมิดของเขาแลกเปลี่ยนไปครู่หนึ่ง นายน้อยกำลังจะพูดบางอย่าง
แต่ทว่า เขากลับได้ยินฉินหร่านพูดขึ้น “เว่ยจื่อหัง ให้คนมาพาเพื่อนร่วมโต๊ะฉันกลับไปซะ เธอก้าวขา ไม่ออกแล้ว”
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ
ขาโจ๋ชำเลืองไปที่เด็กใหม่คนสวย แล้วโพล่งหัวเราะออกมา เป็นเสียงหัวเราะที่ดูสบายใจจนทำให้ชายคนนั้นดูไม่เหมือนขาโหดสักนิด เขารีบหันไปเลือกลูกน้องที่ดูเป็นเด็กดีให้ส่งตัวหลินซือหรานออกไปอีกฝั่ง
จากนั้นค่อยเดินกลับมาที่เดิมแล้วมองไปที่ดาวโรงเรียนคนใหม่ หัวหน้าก๊วนจอมโหดยิ้ม แววตาฉายความประหลาดใจออกมามากมาย “อะไรเนี่ยพี่หร่าน ทำไมถึงไม่บอกกันเลยว่าอยู่ที่อวิ๋นเฉิง”
ฉินหร่านจัดเครื่องแบบของเธอให้เข้าที่
“มันกะทันหันน่ะ” เธอได้รับจดหมายจากท่านสวีตั้งแต่ปีก่อนแล้ว
หัวหน้าเว่ยดูยังไม่พอใจนัก เขามีหน้าตาหล่อเหลาและหุ่นที่สัดส่วนชัดเจน “ถ้างั้น ทำไมถึงไม่มาตามหาผมล่ะ”
“ฉันเพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้” เด็กสาวคนสวยมองไปทางหลินซือหราน แต่พอเห็นว่าเพื่อนคนดีของเธอยังคงอึ้ง และไม่ตอบสนองอยู่ เธอจึงหันหน้าไปอีกทาง เพื่อเตะเว่ยจื่อหัง ฉินหร่านเลิกคิ้วแล้วพูดขึ้นว่า “บอกลูกน้องนายให้รีบไสหัวไปได้แล้ว พวกนั้นทำให้เพื่อน่รวมโต๊ะฉันกลัวหมดแล้ว”
หัวหน้าแก๊งจึงสั่งให้ลูกน้องรีบแยกย้ายสลายตัว
เห็นได้ชัดว่ากรรมการนักเรียนสาวยังอาการไม่ดี ฉินหร่านจึงเตรียมพร้อมที่จะไปซื้อหนังสือคนเดียว
วัยรุ่นที่ถูกเธออัดน่วมไปช่วงกลางวันยังคงไม่ไปไหน ผมที่ย้อมสีของเขาย้อยตกลงมา โจ๋คนนั้นทำท่าจะคุกเข่า “นายครับ ยัยนี่...ยัยนี่...”
เว่ยจื่อหังที่สวมแจ็กเกตอยู่ ดับบุหรี่ด้วยท่าทางที่ดูเท่ เขาชำเลืองไปที่หมอนั่นอย่างเย็นชา ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจตอนที่ได้ยินคำถาม “นี่รุ่นพี่ฉันเองแหละ”
พอพูดเสร็จ หัวหน้าแก๊งก็ไม่รอให้ลูกน้องตอบอะไรกลับมา
“พี่หร่าน จะไปไหนอ่ะ”
“ไปซื้อหนังสือ” เธอตอบสั้นๆ
“ผมไปด้วย”
พอเสียงของขาโหดเริ่มห่างออกไป หลินซือหรานยังคงยืนขาแข็งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อนใดๆ
เด็กหนุ่มลูกน้องของแก๊งเว่ยที่เธอกลัวนักกลัวหนา ถามเธออย่างระมัดระวังว่า “น้อง จะกลับไปเรียน หรือไปกินข้าว?”
หัวของเธอว่างเปล่าไปหมดแล้ว
กรรมการสาวรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝันไป
ไม่ห่างจากตรงนั้น เฉียวเซิงเองก็นิ่งเงียบ แม้แต่นายน้อยเองก็ทำอะไรไม่ถูกไปพักใหญ่
ฉินหร่านที่ตอนนี้เย็นขึ้นมากแล้ว เพิ่งซื้อหนังสือมาสองสามเล่ม แล้วมือถือเธอก็สั่นอยู่ไม่กี่ที
เด็กสาวคนสวยจึงค่อยๆ หยิบมันออกมาดู
มันคือหมายเลขที่ไม่ขึ้นเบอร์
[มีภารกิจใหม่ที่มีคนอยากให้เธอทำ อยากทำไหม]