ตอนที่ 37 เหล่าผู้แกร่งกล้าหลั่งไหลเข้ามา!
เฟิ่งชิงเกอเหมือนรู้สึกได้ถึงบางอย่าง หันหน้ากลับอย่างรวดเร็ว จึงสบเข้ากับสายตาครุ่นคิดของเขาพอดิบพอดี ใจนางหายวาบ ก่อนจะรีบพูดว่า “พี่มู่หรง ข้า ข้าแค่ร้อนใจ...”
มู่หรงอี้เซวียนยิ้มสง่างาม ตอบด้วยเสียงอบอุ่น “การที่สัตว์เทวะในตำนานปรากฏตัวในแคว้นแสงสุริยันของพวกเราเป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่พวกเราได้เห็นแสงแห่งเทพสาดส่องพื้นดินด้วยตาตัวเอง การถือกำเนิดของสัตว์เทวะ? ว่ากันตามจริง จะได้หรือไม่ได้ก็ไม่เห็นต้องยึดติดเกินไป ทั้งหมดนี้ล้วนต้องพึ่งโชคชะตา”
“ใช่ พี่มู่หรงพูดถูก ชิงเกอใจร้อนไปเองเจ้าค่ะ” นางกลับมาใจเย็นและอ่อนโยนตามปกติ มองเขาด้วยสายตารักใคร่
“เป็นใครกันที่ได้สัตว์เทวะไป!”
บนท้องฟ้าพลันมีเสียงตะโกนทุ้มเจืออำนาจกดดันดังมา น้ำเสียงนั้นแฝงด้วยกลิ่นอายพลังวิญญาณ ดังก้องกังวานไปรอบๆ ป่า
เมื่อรู้สึกถึงคลื่นกลิ่นอายพลังวิญญาณที่แตกต่างจากพลังเร้นลับ ผู้คนที่ยืนอยู่ข้างหลุมตื่นตกใจ และพากันเงยหน้ามอง จึงเห็นเพียงชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเหยียบอยู่บนของวิเศษบินได้อยู่กลางอากาศ เขายืนเอามือไพล่หลังพลางมองจากลงไปเบื้องล่าง ความน่าเกรงขามของผู้แกร่งกล้ากระจายลงมาในพริบตา ก่อนจะปกคลุมไปบนร่างผู้คน
ฝูงชนเพียงรู้สึกว่ากลิ่นอายหนักอึ้งที่ถาโถมมาราวกับมีเขาไท่ชานกดอยู่เหนือศีรษะ หน้าอกก็คล้ายมีหินก้อนใหญ่ทับจนหายใจไม่สะดวก ภายใต้แรงกดดันที่หนักหน่วงสองขายิ่งอยากจะคุกเข่าลงไปอยู่รางๆ
และแน่นอน คนที่มีระดับวรยุทธ์ค่อนข้างต่ำย่อมไม่อาจแบกรับแรงกดดันจากเบื้องบนไหว จึงคุกเข่าลงบนพื้นเสียงดังตึง เลือดลมในอกปั่นป่วน จนกระอักเลือดออกมา
เฟิ่งชิงเกอก็มีเหงื่อไหลออกหน้าผากเพราะแรงกดดันมหาศาลนั้น สีหน้านางซีดเซียว สองขาก็อ่อนระทวยอยู่เล็กน้อย กำลังจะทรุดลงบนพื้น มู่หรงอี้เซวียนที่อยู่ด้านข้างจึงพยุงไว้ ในขณะเดียวกันก็ใช้พลังเร้นลับประคองชีพจรนางเพื่อป้องกันเลือดปั่นป่วน
“ผู้อาวุโส ขอท่านเก็บแรงกดดันไปก่อน แล้วอนุญาตให้ผู้น้อยอธิบายได้หรือไม่?”
มู่หรงอี้เซวียนมองชายวัยกลางคนที่อยู่กลางอากาศ ตอนนี้เขาเพิ่งสังเกตได้ว่าท้องฟ้ารอบๆ ยังมีมาอีกหลายคน พวกเขามีทั้งที่ใช้ดาบบิน ควบสัตว์บินได้ และเหยียบของวิเศษลอยฟ้าอยู่
“อะไรกัน? ไม่เห็นสัตว์เทวะเลย?” ชายชราข้างๆ กันกวาดตามองด้านล่าง ก่อนจะขมวดคิ้วพูดกับชายวัยกลางคนที่กำลังคลายแรงกดดันลง “เก็บแรงกดดันของเจ้าไปซะ ลองฟังดูสิว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นจะพูดเช่นไร ใครกันแน่ที่ได้สัตว์เทวะไป? พูดมาเร็ว!”
อาจเพราะคำพูดของชายชราผู้นั้น หรือเพราะท่าทีไม่นอบน้อบแต่ก็ไม่หยิ่งยโสของมู่หรงอี้เซวียนด้านล่าง หลังจากชายวัยกลางคนเก็บแรงกดดันไป ก็พูดเสียงเข้มว่า “พูดสิ่งที่เจ้ารู้ทั้งหมดมาซะ!”
พอแรงกดดันสลาย ผู้คนเบื้องล่างรู้สึกว่าหินก้อนใหญ่ที่ทับบนอกถูกยกออกไป ในที่สุดก็มีอากาศหายใจ ทั้งร่างผ่อนคลายลง
เผชิญหน้ากับผู้แกร่งกล้าเช่นนี้ ฝูงชนเบื้องล่างไม่มีใครกล้าไม่เคารพ
มู่หรงอี้เซวียนประสานมือทำความเคารพไปทางผู้คนเบื้องบน ก่อนจะกล่าวว่า “ผู้อาวุโสทั้งหลาย ยามผู้น้อยมาถึงที่นี่ก็ไม่พบสัตว์เทวะแล้ว และไม่รู้ด้วยว่าใครเป็นคนที่ได้สัตว์เทวะไป ที่ผู้น้อยพูดเป็นความจริง หากท่านไม่เชื่อ ก็ลองถามหลายท่านด้านนั้นได้ พวกเขายังมาก่อนพวกผู้น้อยอยู่ก้าวหนึ่ง”
สายตาเขามองไปที่คนของอีกกองกำลังหนึ่ง คนพวกนั้นต่างเสียขวัญเพราะแรงกดดันมหาศาลจากเบื้องบนไปนานแล้ว จึงไม่กล้าปิดบัง “ใช่ ใช่ขอรับๆ ตอนพวกข้ามาก็ไม่เห็นสัตว์เทวะแล้ว พวกข้าเองก็ไม่รู้ว่าสัตว์เทวะหายไปไหน หากพวกข้าได้สัตว์เทวะไป คงไม่กล้าปิดบังพวกท่านทั้งหลายแน่นอน”
ผู้ฝึกเซียน! พวกเขาเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญเซียนที่แท้จริง! ต่อให้เขามีความกล้าเป็นร้อยก็ไม่กล้าปิดบังผู้ฝึกเซียน
และตอนนี้ สายตาของชายวัยกลางคนที่เป็นหนึ่งในคนเบื้องบนจับจ้องอยู่ที่ร่างของมู่หรงอี้เซวียน เห็นเขามีราศีไม่ธรรมดา จึงถามไปว่า “เจ้าเป็นใคร?”
…………………………………………………….