webnovel

สุดแสงสีหม่น

วีรภัทราเกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลาง มีป้านุชเป็นคนคอยเลี้ยงดู เนื่องจากพ่อแม่ของเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเมื่อเธอยังเด็ก แต่ก่อนที่เธอจะย้ายไปอยู่กับป้านุช เธอได้อาศัยอยู่กับคุณปู่ณรงค์ที่ใจร้าย และคุณย่ากัลยาณีที่ป่วยหนักเพราะรับไม่ได้กับเรื่องลูกชายของตัวเอง ทำให้เธอจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการปรับตัวเพื่อเติบโตเป็นคนเข้มแข็งและสู้ชีวิตเพียงลำพัง ถึงแม้ว่าลึก ๆ เธอจะอ่อนไหวง่ายกับเรื่องของความรักและความสัมพันธ์กับคนที่อยู่รอบตัวเธอ แต่สิ่งที่เธอยึดมั่นเสมอ แม้เจอกับสิ่งเลวร้ายถาโถมเข้ามา คือเธอจะพยายามไม่หวั่นไหวไปกับมันและเลือกที่จะมองในด้านดี ในช่วงวัยเด็กของวีรภัทรานั้น เธอเจอแต่คนที่ชอบกลั่นแกล้ง แม้ว่าเธอจะมีกัลย์กมลคอยอยู่ข้าง ๆ เธอในช่วงเวลานั้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น จนเธอได้รับความช่วยเหลือจากป้านุชในการย้ายโรงเรียน เธอจึงได้ไปเจอกับเพื่อนใหม่ที่ดีกับเธอมากอย่างพริมา ทำให้เธอรู้สึกว่าโลกใบนี้ยังพอมีอะไรดีอยู่บ้าง จนกระทั่งในวัย 24 ปีของวีรภัทรา เธอถูกป้านุชจับแต่งงานกับอัคราวิชญ์ ลูกชายคนเดียวของคุณหญิงวิไลรัตน์ ซึ่งเป็นรุ่นน้องคนสนิทของป้านุช ทำให้เธอปฏิเสธไม่ได้เพราะต้องตอบแทนบุญคุณ หลังจากเธอย้ายเข้าไปอยู่บ้านเดียวกับสามี เธอใช้ความพยายามทั้งการปรับตัว และความอดทนที่จะต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคและปัญหาที่สามีเธอสรรหามาให้จนฟางเส้นสุดท้ายกำลังจะขาด เธอจึงตัดสินใจว่าจะหนีไปต่างประเทศคนเดียว แต่ว่าเพื่อนสนิทสามีอย่างณัฐชานนท์อาสาเข้ามาช่วยดำเนินการให้เธอ ทำให้สามีเกิดความเข้าใจผิด และไม่แค่นั้นยังแอบไปขอเธอจากสามีเธออีกด้วย เรื่องเลวร้ายจึงเกิดขึ้นต่อเนื่องไม่จบไม่สิ้น ช่วงที่วีรภัทราเหนื่อยล้ากับความหนักหน่วงในชีวิตที่ต้องเจอ ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำมุมมองเธอเรื่องการแต่งงานแบบคลุมถุงชนว่ามันเลวร้ายและย่ำแย่แค่ไหน ไม่เห็นจะเหมือนกับสิ่งที่ป้านุชเคยสัญญาและพร่ำบอกกับเธอไว้เลยว่า จะมีความสุข ตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่าไม่จริงซะแล้ว แต่ยังดีที่มีอาทิมาเป็นยาดีช่วยเติมเต็มและเปลี่ยนมุมมองความคิดการทนอยู่หรืออยู่ทนของทั้งคู่ ท้ายที่สุดแล้วคนในครอบครัวจะใกล้ชิดกันมากขึ้นไหม ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความเข้าใจ การยอมรับ และปรับตัวเข้าหากัน เพราะสิ่งนี้จะเป็นตัวช่วยให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวยั่งยืน

memento_mori_7964 · สมัยใหม่
เรตติ้งไม่พอ
30 Chs

จุดเริ่มต้น

แสงธรรมชาติจากพระอาทิตย์ที่เพิ่งลับขอบฟ้าในยามเย็นได้พัดผ่านไปแล้ว วีรภัทรามองข้างทางผ่านกระจกรถแท็กซี่ ได้แต่ลอบถอนหายใจเบา ๆ แล้วนึกถึงอดีตในงานปาร์ตี้ ที่ตอนแรกป้าอ้างว่าเป็นแค่งานของเพื่อน ๆ ป้า แต่พอมาถึงกลับไม่ใช่ เป็นการพามาดูตัว ซึ่งตอนนั้นก็แสนจะอึดอัด และวันนี้ก็คงเป็นแบบเดิมอีกเช่นเคย ซึ่งตอนนี้แสงไฟสลัวจากห้องบอลรูมที่มีกระจกมองทะลุผ่านเข้าไปในห้องได้ที่ชั้น 2 ได้เปิดขึ้นแล้ว วีรภัทราโดนป้านุชที่เป็นป้าแท้ ๆ ของเธอ ลากขึ้นไป และยังคงพูดเหมือนเดิมว่า ให้มาแต่งตัวในงานเป็นเพื่อนป้า เพราะวันนี้เป็นงานแต่งของลูกศิษย์ เธอผู้ซึ่งอยู่ในกรอบที่ป้าสร้างมาแต่เด็ก จึงไม่มีปากไม่มีเสียง ได้แต่ทำตามที่ป้าบอก และเธอเองก็แคร์ความรู้สึกของคนที่เธอรักมากด้วย ได้แต่ก้มหน้าก้มตาจับมือป้าตั้งแต่เดินลงจากรถจนทะลุไปยังสนามหญ้าด้านหลังของงาน ทำให้ไม่ทันได้สังเกตป้ายชื่อบ่าว-สาว รวมถึงรูปที่ตั้งเต็มทั่วงาน

ขณะที่กำลังจะเดินขึ้นบันได เธอก็เริ่มตั้งสติได้ มองไปรอบ ๆ เห็นบรรยากาศโทนสีขาวบริสุทธิ์ ตั้งแต่บันไดที่ก้าวเดิน ไปจนถึงห้องกระจกด้านบน มีโต๊ะไม้ยาวสีน้ำตาลช็อกโกแลตอ่อน ๆ โคมไฟด้านบนทำมาจากไม้จักสานวางสลับกับใบไม้เขียวขจี ยังไม่ทันที่เธอจะสำรวจหมด ป้านุชก็ลากเธอไปหาช่างแต่งหน้าทำผมที่รออยู่มุมหนึ่งของห้อง แล้วดันให้นั่งบนเก้าอี้เหล็กสีดำที่มีพนักพิงพร้อมเบาะนุ่มวางให้เป็นพิเศษ ยังไม่ทันที่จะแต่งหน้าให้ วีรภัทราก็เบรกและพูดด้วยความสงสัยปนแปลกใจออกมา เกี่ยวกับสถานการณ์ตรงหน้า ป้านุชจึงแถออกไปว่า

"ป้าเห็นว่า ช่างเขาทำงานเนี้ยบดี ป้าชอบ และอยากให้หลานดูสวยเพอร์เฟกต์ที่สุดด้วยวันนี้" ป้าพยายามปรับระดับเสียงพูดให้ดูปกติที่สุด เธอพยักหน้าเข้าใจ แต่ในใจก็ยังคงคิดวนไปวนมาถึงหลักเหตุผลที่ฟังแล้วออกจะแปลกไปสักหน่อย เธอไม่ได้เชื่อสนิทใจหรอก แค่ตอนนี้ถึงงานแล้ว ได้แต่ปล่อยไหลตามน้ำไปก่อน เดี๋ยวค่อยหาจังหวะชิ่งกลับเหมือนอย่างเคยแทน

จากนั้นช่างแต่งหน้าก็จัดเต็มให้เธอในลุคสาวหวานโทนชมพูส้ม ขับผิวขาวของเธอให้สดใสขึ้น ส่วนทรงผมเป็นดัดลอนแสกกลาง ทำให้ดูเป็นกุลสตรีที่อ่อนหวานมากขึ้นไปอีก แรกเริ่มเดิมทีเธอก็รับรู้แค่ว่าต้องมาร่วมงาน แต่พอเห็นชุดเท่านั้นแหละ ดูยังไงก็รู้ว่าเป็นชุดเจ้าสาว ทั้งความเป็นเกาะอก กระโปรงบานยาว ประดับด้วยลายลูกไม้และมีโบว์ผูกเล็ก ๆ ที่เอว สีขาวทั้งชุด ยังมีรองเท้าส้นสูงที่ประดับมุกและคริสตัลล้อมรอบอีก เธอจึงบ่ายเบี่ยงไม่ยอมใส่ ป้านุชเห็นอย่างงั้นจึงพูดแกมบังคับไปในตัวว่า

"หลานวี ป้าเลือกคนที่ดีที่สุดให้แล้วนะ โอกาสที่จะได้เจอคนที่เพียบพร้อมแบบนี้ไม่มีที่ไหนแล้ว ทั้งหน้าตา ฐานะ การศึกษา ความสามารถ คิดซะว่าตอบแทนป้านะ ถ้าหลานวีปฏิเสธตอนนี้ก็เท่ากับบอกให้คนอื่นรู้เลยว่าไม่มีหัวคิด ทั้ง ๆ ที่มีป้าเป็นครู แล้วป้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน คิดให้ดี ๆ ก่อนจะทำอะไรลงไป ป้าอยากเห็นหลานมีความสุขจริง ๆ" ป้าเอื้อมมือไปแตะไหล่เธอเบา ๆ

แล้วก็จับมือเธอแน่น ๆ อีกครั้ง พูดต่อว่า "แล้วเพื่อนสนิทผู้หญิงคนนั้นก็ลืมไปซะ หลานอาจจะเข้าใจผิดว่านั่นคือความรัก แต่บอกเลย ป้าผ่านอะไรมาเยอะ เห็นอะไรมาก็มาก ไม่ใช่หรอก เชื่อป้าสิ ไม่ใช่ว่าป้าไม่ยอมรับ แต่หลานคิดดี ๆ นะว่า เพื่อนคนนั้นทำให้หลานมีความสุขได้จริง ๆ เหรอ หรือแค่เป็นเพื่อนที่เผอิญเข้ามาอยู่ในเวลาที่หลานอ่อนแอแค่นั้น เขาฉวยโอกาสนั้นหรือเปล่า" หลังพูดจบก็เดินออกจากห้องไป และปล่อยให้เธอได้คิดเอง

เธอกำลังวนเวียนคิดตามคำพูดป้า นั่งเหม่อลอยจนไม่รู้ว่าใครเดินเข้าออกห้องนี้บ้าง ใครพูดคุยอะไรกันบ้าง จนกระทั่งทีมงานที่จัดงานแต่งเดินมาตามถึงในห้อง เพื่อเตือนเวลาเริ่มงานว่าอีก 10 นาทีจะเริ่มแล้ว ทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกดึงสติให้กลับเข้ามาอยู่ในงานอีกครั้ง และเป็นจังหวะเดียวกับที่ป้าเดินกลับมาหาเธอ

"ได้คำตอบยังหลานรัก" ลูบหัวเธอเบา ๆ และมองเธอด้วยสายตาที่เอ็นดู

เธอลุกขึ้นพูด "ป้าคะ วีคิดว่า วีจะไม่แต่งค่ะ วีไม่เห็นด้วยกับการคลุมถุงชนแบบนี้ แม้เหตุผลของป้าจะดีมากก็ตามค่ะ" พูดจบ กำลังจะก้าวขาเดินไปยังประตู เพื่อเดินออกจากห้อง แต่ไม่ทันที่จะได้ผลักประตู อยู่ดี ๆ ก็มีบอดี้การ์ดจากไหนไม่รู้ประมาณ 10 คนมาล้อมพื้นที่ทุกทางไม่ให้ออก

เธอแสดงสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ หันขวับไปหาป้าเธอทันที "ป้าคะ นี่มันอะไรกันคะ" เพราะตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน

"ไม่มีอะไรหรอก ป้าก็แค่บอกทางแม่ฝ่ายชายให้เตรียมบอดี้การ์ดไว้ เผื่อกรณีฉุกเฉินน่ะ" ป้าตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเหมือนไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรที่มาทำกันแบบนี้

"ป้ากำลังจะบอกว่า วีต้องแต่งงานอย่างเดียว ไม่สนว่าวีจะคิด จะรู้สึกยังไง ใช่ไหมคะ" เธอพยายามทำน้ำเสียงให้ปกติที่สุด ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนโดนมีดปักลงกลางใจ ทั้งยังกลั้นน้ำตาคลอที่กำลังจะเอ่อล้นออกมาในทุกขณะที่เธอพูด

"ใช่ ป้าสัญญาเลยนะว่า ผู้ชายคนนี้ดีที่สุดแล้ว และเขาจะเป็นคนที่ทำให้หลานมีความสุขที่สุด" ป้าใช้น้ำเสียงเฉียบขาด ทำให้เธอรู้สึกถึงการไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากยอมรับชะตากรรม

"ค่ะป้า" ถึงเธอจะตอบตกลง แต่ในใจเธอก็ค้านอยู่ตลอดเวลา เธอไม่เคยเห็นด้วยกับการแต่งงานแบบคลุมถุงชน คนเราไม่ได้รักกัน จะมีความสุขได้ยังไง ดีพร้อมให้ตายยังไง แต่ถ้าไม่ได้มาจากความรัก จะอยู่กันยังไง เธอได้แต่ลอบถอนหายใจอยู่คนเดียว

ป้าที่กำลังฉีกยิ้มอย่างโล่งใจกับตัวเองคิดว่า หลานวีตกลงปลงใจแล้ว แต่ก็รู้สึกได้ไม่นาน หันมาอีกทีเห็นเธอใช้มือขวาหยิบปากกาหัวแหลมจ่อไปที่คอเธอ ป้าตกใจสุดขีด และพยายามพูดโน้มน้าวเธอให้วางลง แต่เธอก็ยังคงดื้อและพูดด้วยถ้อยคำที่รุนแรงกับป้า กล่าวหาป้าว่า ไม่มีหัวใจ ไม่สมกับที่เธอรักป้า เธอแสดงสีหน้ารังเกียจจนป้าเริ่มหวั่นใจมากขึ้น ป้ายกมือคู่ขึ้นปรามอย่างช้า ๆ หวังให้เธอสงบลง แต่กลับเป็นการเพิ่มเชื้อไฟ ทำให้เธอเริ่มหวาดกลัว และกำลังถอยหลังช้า ๆ พลางระแวดระวังรอบด้านซ้ายขวา แต่ถอยหลังไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ชนเข้ากับบอดี้การ์ดที่รอจังหวะอยู่ด้านหลัง เธอเผลอสบตาแค่วิเดียว ก็โดนดึงปากกาออกจากมือ ทำให้เธอตกใจอย่างมาก พยายามแย่งคืน แต่ก็ไม่ได้มันมา เพราะบอดี้การ์ดตัวใหญ่กว่าเยอะ ทำให้เธอหงุดหงิดมาก เดินวนไปวนมา คิดว่าจะเอายังไงดี สุดท้ายนั่งลง เพราะเหนื่อย พอป้าเห็นท่าทีสงบลง ป้าเลยเข้าไปกอดพร่ำบอกถึงความหวังดีที่มีให้เธอ และจะไม่ผิดหวังที่ป้าเลือกให้ เธอได้แต่นั่งอยู่นิ่ง ๆ ไม่ปริปากพูด ปล่อยให้น้ำตาไหลเป็นทางอย่างห้ามไม่อยู่ ซึ่งตอนนี้สมองเธอไม่รับรู้อะไรแล้ว ได้แต่ปล่อยให้ป้าจัดการแก้ไขทั้งหน้าผม และการแต่งตัวที่พาเธอเดินไปไหน ทำอะไรก็ได้เหมือนหุ่นยนต์

จนเวลา 10 นาทีของอิสระหมดลง เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ตั้งสติและบอกกับตัวเองว่าตอนนี้เธอจะต้องลงไปทำหน้าที่หลานที่ดีให้กับป้าผู้เลี้ยงดูเธอมาแต่เด็ก เธอลุกขึ้น ก้าวเดินออกไปจากห้องอย่างสง่างามสมกับเป็นสาวสวยหุ่นดี

"อ้าวเจ้าสาวเดินออกมาต้อนรับแขกกันแล้ว" เสียงตะโกนอื้ออึงจนหน้าเวียนหัว เธออยากจะบ่นออกไป แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากปั้นหน้ายิ้มอย่างมีความสุขต่อหน้าแขกที่มาร่วมงาน เพื่อรักษาหน้าป้า ส่วนป้าได้แต่ยิ้มหน้าบาน แล้วก็เดินไปหาแขกเหรื่อทั่วงาน ปล่อยให้เธอยืนเกร็งหน้าแบคดรอปรูปแต่งงานคนเดียว ในภาพเป็นภาพที่ป้าและว่าที่แม่สามีดึงรูปมาจากไอจีส่วนตัวของทั้งคู่ แล้วมาตัดต่อรวมกัน เป็นการนำเสนอธีมถ่ายพรีเวดดิ้งแนวใหม่กันเลยทีเดียว

"เจ้าบ่าวไปไหนเหรอครับ" ชายหนุ่มหน้าตาดีรูปร่างสูงโปร่งเหมือนนายแบบ บุคลิกแบบผู้บริหาร พร้อมชุดสูทเนี้ยบสีครีมเดินเข้ามาทัก เธอได้แต่ยืนอึ้ง ทั้งไม่รู้จักเขา ทั้งไม่รู้คำตอบ จนกระทั่งคุณหญิงวิไลรัตน์ แม่ของว่าที่สามีเธอเดินเข้ามา เธอจึงถึงบางอ้อเลยทีเดียว

"อ้าว ลูกนนท์มาถึงที่งานนานแล้วเหรอ แล้วตาคินน์ล่ะ อยู่ไหนแล้ว ไม่ได้มาด้วยกันเหรอ" คุณหญิงวิไลรัตน์มาถึงก็ถามหาลูกชายทันที ตอนนี้กลายเป็นการรวมตัวของเหล่าคนตามหาเจ้าบ่าว 2022 ไปแล้ว

"สวัสดีครับคุณแม่ ผมเพิ่งมาถึงครับ ผมเพิ่งเลิกงานแล้วก็ตรงดิ่งมาที่นี่เลย ยังไม่ได้คุยกันเลยครับ" ตอบกลับไปอย่างสุภาพ

"แล้วก็เมื่อสักครู่ผมถามเจ้าสาวอยู่นะครับ แต่เธอนิ่งไปเลย ก็น่าจะไม่รู้เหมือนกันหมดนะครับ" ณัฐชานนท์ตอบเพิ่ม

"เห้อ... ตาคินน์นะ วันงานยังเถลไถลไปไหนอีก" หญิงวัย 50 ที่ภูมิฐานและรูปลักษณ์ยังคงเปล่งประกาย ดูดีสมกับเป็นคุณหญิงประจำตระกูลผู้ดีเก่ายืนทอดถอนหายใจปนเซ็งกับเรื่องที่ลูกชายทำตัวไม่น่ารัก ไม่ให้เกียรติเจ้าสาวในงานนี้เลย

"สวัสดีค่ะคุณหญิง" เธอชั่งใจอยู่สักพัก ก่อนจะทักทายอย่างที่เคยทำ

"สวัสดีจ้ะ หนูวี ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรมากนักหรอก เรียกฉันว่า คุณแม่เถอะ เราจะเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้วนะ" คุณหญิงวิไลรัตน์ยิ้มและตอบกลับอย่างใจดีเสมอ ทำให้เธอลดความเกร็งลงเล็กน้อย เพราะก่อนหน้านี้ที่เจอ ก็ในฐานะหลานของป้าเฉย ๆ ไม่ได้เกี่ยวดองกัน แต่ตอนนี้สถานะกำลังจะเปลี่ยนไปเป็นลูกสะใภ้ จึงทำให้เธอเกร็งกว่าที่เคยเป็น

"ค่ะคุณแม่" เธอตอบเสียงอ่อนลงอย่างคนไม่มั่นใจ ก็ใครจะไปมั่นใจกับการแต่งงานที่ป้าเธอจัดแจงให้เล่า ถ้าเธอได้รู้จักและคบหากับลูกชายของคุณหญิงมาก่อน ก็อาจจะสบายใจกว่านี้ก็เป็นได้ เธอได้แต่บ่นในใจ

ยังไม่ทันได้คุยต่อ เสียงโทรศัพท์ของณัฐชานนท์ก็ดังขึ้น มือขวาล้วงเข้าไปหยิบมือถือจากด้านในของเสื้อสูทฝั่งซ้าย ก่อนจะรับเขาอ่านชื่อคนที่โทรมาตามปกติ พอรู้ว่าเป็นอัคราวิชญ์ก็รีบรับสาย ถามถึงเวลาที่จะมาถึงงาน พอรู้เรื่องราวและคุยเสร็จ ก็รีบเดินมาบอกให้คุณหญิงและเจ้าสาวทราบว่า ลูกชายตัวแสบและเจ้าบ่าวสุดหล่อกำลังขับรถเดินทางมา

"คินน์บอกว่า กำลังเดินทางมาอยู่ครับ อยู่ระหว่างทาง อีกไม่เกิน 10 นาทีน่าจะถึงงาน" พอบอกเสร็จ เขาก็ขอตัวไปรอรับหน้างาน

"ไปหาเพื่อนแม่กัน" คุณหญิงชวนเธอเดินไปทักทายแขกตามโต๊ะจัดเลี้ยงระหว่างรอเจ้าบ่าว

ขณะที่อัคราวิชญ์ หรือคินน์กำลังขับรถออดี้ อาร์เอส 5 คูเป้ ควอตโตร สีขาว ดูสะอาดตามาเกือบถึงปากประตูเข้างานแล้ว อยู่ดี ๆ ก็มีรถนิว เอ็มจี ไพล็อต สีดำมันวาว ขับมาตัดหน้า เขาเบรกรถไม่ทันชนดังปัง จนคนในงานหันมองหาต้นเสียงกันขวักไขว่ ณัฐชานนท์วิ่งมาที่หน้าประตูต้นเสียงที่ได้ยินเมื่อกี้ พอมาถึงเห็นสภาพรถกระโปรงฝาหน้าเปิดควันโขมง ส่วนรถของอัคราวิชญ์ก็บุบยับพอตัว ณัฐชานนท์รีบวิ่งไปที่ประตูฝั่งคนขับทันที เห็นเขาหัวกระแทกที่พวงมาลัยรถสลบอยู่ จึงรีบเคาะประตูเสียงดังให้ตื่น เขาที่กำลังมึน ๆ อยู่ ได้ยินเสียงแว่ว ๆ ทางฝั่งประตู ก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นช้า ๆ พิงที่เบาะนั่งรถแล้วหันไปมอง พอเห็นเพื่อนแสดงสีหน้าร้อนใจก็ปลดล็อกประตูให้ ณัฐชานนท์รีบเปิดประตูอย่างเร็ว กลัวเพื่อนเป็นอะไรไป ยิ่งเห็นเลือดไหลออกมาจากหน้าผาก ซ้ำยังเปรอะเปื้อนไปบนชุดสูทสีขาว เขาก็รีบประคองเพื่อนออกจากรถ แต่ก็ไม่ลืมที่จะถ่ายหน้าเพื่อนไว้และถอดกล้องหน้ารถเก็บไว้เป็นหลักฐานด้วย

ขณะที่ณัฐชานนท์พาอัคราวิชญ์ไปขึ้นรถตัวเอง เพื่อไปหาหมอ ทั้งคู่ค่อย ๆ ประคองกันมาได้ไม่กี่ก้าว ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งจ้องมาแบบไม่เป็นมิตร กำลังเดินเข้ามาประชิดตัวอย่างเร็ว มาถึงก็ผลักไปที่ไหล่เขา ทั้งคู่ไม่ทันระวัง เลยล้มลงไป ทำให้ณัฐชานนท์โมโหจัด

"คุณเป็นใคร" ณัฐชานนท์ข่มอารมณ์และพูดด้วยเสียงกดต่ำ ดุใส่ผู้หญิงที่เดินเข้ามาหาเรื่อง

"ฉันเป็นใคร คุณไม่จำเป็นต้องรู้ แต่ฉันขอเตือนแกนะ คนที่แกกำลังจะแต่งด้วย แฟนฉัน ห้ามยุ่ง เข้าใจ" กัลย์กมลสะบัดหน้าใส่ณัฐชานนท์

แล้วหันไปใส่อารมณ์กับอัคราวิชญ์แทน สีหน้าเธอออกแดงก่ำ บ่งบอกถึงอารมณ์โกรธจัดจนลมออกหู สติขาดผึง ชี้หน้าต่อว่าผู้ชายที่กำลังมาแย่งแฟนเธอไป ส่วนเขาที่ยืนมึนอยู่ ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไป ได้แต่ยืนนิ่งเฉย จนณัฐชานนท์อารมณ์เสียแทน จากที่จะเจรจากันอย่างใจเย็น และมีเหตุผล แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า เหมือนโดนจุดไฟกลางภูเขาไฟที่เงียบสงบมานาน

"ได้ เดี๋ยวเรามาเคลียร์กัน คุณรอตรงนี้" ณัฐชานนท์ชี้ไปที่ตัวกัลย์กมลเชิงออกคำสั่ง จากนั้นก็รีบพยุงพาอัคราวิชญ์ไปหาคนขับรถของคุณแม่วิไลรัตน์ แล้วบอกให้พาไปโรงพยาบาล

พอรถตู้ฮุนได สตาเรีย เอสอีแอล สีดำเคลื่อนออกไป ณัฐชานนท์ก็เดินไปหาวีรภัทราที่กำลังง่วนกับการทักทายแขกผู้ใหญ่กับคุณแม่วิไลรัตน์ พอคุณแม่ทราบเหตุผล ก็รีบพาเธอไปหายัยผู้หญิงวีนแตกด้วยกัน เพื่อให้เธอช่วยยืนยันคำพูดที่ผู้หญิงคนนั้นอ้างว่าเป็นแฟนเธอ พอเธอเห็นหน้าอดีตแฟนตัวเองก็หน้าถอดสีนิด ๆ ซึ่งเธอเป็นอย่างนั้นไม่นาน เพราะเธอยังจำได้แม่นที่แฟนของเธอนอกใจไปคบหญิงอื่น และตอนนี้เธอเองก็ไม่มีทางเลือกมากนัก เธอมองด้วยหางตาไปที่แฟนเก่า ก่อนหันกลับไปตอบณัฐชานนท์อย่างจริงจัง

"ใช่ค่ะ แต่เป็นแค่อดีต ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว"

"โอเคครับ งั้นคุณเตรียมโดนฟ้อง ข้อหาขับรถชนเพื่อนผมจนบาดเจ็บ และมาก่อความวุ่นวายที่นี่ได้เลย" ณัฐชานนท์ไม่รอช้า กดโทรหาทนายส่วนตัวของเขาทันที พอเธอได้ยินแบบนั้น ก็ตกใจมากที่แฟนเก่าเธอทำกว่าเหตุ ทั้ง ๆ ที่มีอะไรก็ควรจะมาลงที่เธอ ไม่ใช่คนอื่น เธอมองแฟนเก่าแบบผิดหวังสุด ๆ

หลังจากณัฐชานนท์วางสายจากทนายแล้ว เขาก็หันไปบอกกัลย์กมลด้วยน้ำเสียงเข้มจนเหมือนกินกาแฟสดไม่ใส่น้ำตาล "เรียบร้อยครับ รอตรงนี้ได้เลย ไม่เกิน 5 นาที ตำรวจจะมา"

กัลย์กมลไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร เลยทำหน้าทำตาไม่รู้ไม่ชี้ ไม่สนไม่แคร์ใด ๆ ทั้งสิ้นกลับไป ยิ่งเพิ่มความน่าโมโหเข้าไปอีกจนวีรภัทราทนไม่ไหว เอ่ยขึ้นมาว่า

"มน เราว่า เราคุยกันรู้เรื่องตั้งแต่วันนั้นแล้วนะ ทำไมมนไม่จบสักที" วีรภัทราทนไม่ไหวจนต้องพูดออกมาอย่างหงุดหงิดใจ

"ทำไมจะไม่ได้ ใครบอกว่าเราจบ มีแต่วีคิดไปเองทั้งนั้น" กัลย์กมลเถียงกลับมาอย่างไม่รู้สึกผิด

"ไม่ใช่แล้วป่ะ เราเห็น เรามีหลักฐาน มนนอกใจก่อน เลือกคนนั้นก่อนที่เราจะตัดสินใจเรื่องแต่งงานซะอีก ทำไมต้องกลับมาหาเรื่องกันด้วย" วีรภัทรากำมือแน่น แล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเครือ ๆ จนเกือบจะร้องไห้ออกมา

"คิดเอง สรุปเอง" กัลย์กมลยังคงยืนยันคำพูดของตัวเอง

"ไม่ได้คิดเอง ผู้หญิงคนนั้ันเป็นคนเดินมาบอกเราเอง ก่อนวันที่เราจะไปเคลียร์กับมน" วีรภัทราทนไม่ไหวแล้วกับความหน้าด้านหน้าทนจนโพล่งความจริงที่เธอรับรู้มา

"แล้วไง ก็แค่นิดหน่อยป่ะ คิดมากเกินไปแล้ว" กัลย์กมลยักไหล่กลับ ทั้งยังสวนคำพูดกลับมาอย่างไม่ลดละ

"พอ ๆ ผมว่าพวกคุณเลิกเถียงได้แล้ว โน่นตำรวจมาละ" ณัฐชานนท์เห็นว่าคุยแบบนี้ ยังไงก็ไม่จบ จึงช่วยตัดบทให้ ทำให้ 2 คนนั้ันเลิกเถียงแล้วกลับมาสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

"สวัสดีครับคุณตำรวจ ผมขอแจ้งจับผู้หญิงคนนั้นที่เอารถมาชนเพื่อนผมจนได้รับบาดเจ็บ" ณัฐชานนท์แจ้งเหตุเรื่องรถชนอย่างละเอียดยิบ พร้อมยื่นหลักฐานวิดีโอกล้องหน้ารถ และกล้องวงจรปิดที่ประตูเข้างาน รวมทั้งรูปถ่ายของอัคราวิชญ์ที่ได้รับบาดเจ็บ พอตำรวจเห็นหลักฐานพร้อมขนาดนี้ ก็เดินไปเชิญตัวผู้หญิงคนนั้นไปโรงพักทันที จากนั้นเขาเดินไปที่รถบีเอ็มดับเบิลยู 8 ซีรีย์ คูเป้ เอ็ม850ไอ เอ็กซ์ไดรฟ ขับตามไปที่โรงพัก เพื่อไปเคลียร์คดีด้วยตัวเอง ส่วนวีรภัทราเดินวกกลับเข้าไปในงาน

วีรภัทราเดินไปหาคุณแม่สามี และพยายามทำตัวปกติให้คนในงานไม่สงสัย แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาคุณแม่สามีเธอที่กำลังจับจ้องอยู่ จนเธอต้องขออนุญาตพาท่านเดินออกไปจากกลุ่มเพื่อน เพื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ในมุมที่ไม่มีคนเดินผ่าน พอท่านทราบเรื่องทั้งหมด ก็รีบโทรหาลูกชายตัวดีด้วยความเป็นห่วง

"ครับแม่" อัคราวิชญ์รับสายอย่างอ่อนล้า

"เป็นไงบ้างลูก" เสียงปลายสายของลูกชาย ทำให้คุณหญิงถามกลับไปอย่างกังวลใจ

"ไม่เป็นอะไรมากครับ ทำแผลเสร็จก็กลับบ้านได้แล้ว" พออัคราวิชญ์ได้ยินน้ำเสียงเป็นห่วงปนกังวลจากคุณแม่สุดที่รัก ก็รีบรายงานตัวให้ท่านทราบทันที พอท่านได้ยินแบบนั้นแล้ว ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

"ดีแล้วลูก เดี๋ยวแม่จะส่งคนเอาชุดใหม่ไปเปลี่ยนให้นะ รอก่อน แล้วก็กลับมางาน พร้อมนายสันต์ล่ะ" คุณแม่รีบดักคอลูกชายของเธอทันที ก่อนจะวางสายยังกำชับลูกชายให้กลับมาที่งานพร้อมคนขับรถที่บ้าน แถมยังขู่เล็ก ๆ ว่าหากรักแม่ก็ต้องมางานนี้ ทำตามที่บอก อัคราวิชญ์ได้แต่อ่อนใจ และรับปากไป แม่เขารู้ดีว่าหากเป็นคนที่เขาเลือกรักแล้ว จะทุ่มเททำให้อย่างเต็มที่

คุณแม่วิไลรัตน์หันมาหาลูกสะใภ้ จับมือ พลางบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง ได้แต่งงานแน่นอน แต่ในใจวีรภัทราที่กำลังกระโดดโลดเต้นดีใจที่งานวันนี้ล่ม ก็ต้องมลายหายสิ้นไป เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายจากคุณแม่ เธอได้แต่ยิ้มบาง ๆ กลับไป ทั้ง ๆ ที่น้ำตาไหลพรากท่วมใจไปแล้ว จากนั้นคุณแม่ก็เดินไปบอกให้พิธีกรแจ้งคนในงานว่า ลูกชายติดธุระนิดหน่อย ไม่เกินครึ่งชั่วโมงตามมาแน่นอน ทุกคนไม่เสียเวลาที่มาร่วมงานวันนี้แน่

วีรภัทราที่ยืนเคว้งคว้างอยู่โดดเดี่ยวในพื้นที่เงียบ ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของผู้ชายเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ พอเธอหันกลับไปก็เจอะเข้ากับณัฐชานนท์ เขากลับมาหลังจากเสร็จธุระเรื่องคดีความเมื่อกี้ เธอแสดงสีหน้าลังเลที่จะถามจนเขาจับได้เลยเอ่ยขึ้นมาก่อน

"เรียบร้อยดี เรียกค่าเสียหายได้เยอะอยู่ ปัญหาจบด้วยดีนะ คุณไม่ต้องกังวล แล้วก็เรายังไม่ได้แนะนำตัวกันดี ๆ เลย ผมณัฐชานนท์ หรือนนท์ครับ" เขาตอบกลับข้อสงสัยของเธออย่างเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งยังแนะนำตัวเสร็จสรรพ

เธอยังรู้สึกขัดเขินทำตัวไม่ถูก ได้แต่บีบมือตัวเองเบา ๆ ก่อนจะตอบกลับ "ฉันวีรภัทรา หรือวีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ"

"ครับ เราเข้าไปในงานกันดีกว่าไหม เดี๋ยวแขกในงานจะสงสัยเอาได้" ณัฐชานนท์ทักท้วงขึ้นมา

"ค่ะ" แล้ววีรภัทราก็เดินนำเข้าไปในงาน รวมตัวกับคุณแม่สามี, คุณป้า, และณัฐชานนท์ก็ยืนอยู่ขนาบข้างกัน

ผ่านไป 1 ชั่่วโมง อัคราวิชญ์จะต้องถึงงานแล้ว แต่ก็ยังไร้วี่แวว จนคุณแม่สามีร้อนใจ โทรตาม แต่ว่าโทรเท่าไรก็ไม่มีคนรับสาย จึงโทรไปหาคนที่เอาเสื้อผ้าไปให้ที่โรงพยาบาล แต่ก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า ดำเนินการเรียบร้อยดี จนตอนนี้ใจคอของคุณแม่เริ่มจะไม่ดีซะแล้ว จึงคุยกับณัฐชานนท์ให้ลองติดต่อดู แต่ก็ไม่มีคนรับสายเหมือนกัน แต่อยู่ดี ๆ ก็มีข้อความแปลก ๆ ส่งมาจากมือถือของอัคราวิชญ์ว่า

"แกคิดว่า เรื่องนี้จะจบง่าย ๆ เหรอ!" ทั้ง 4 คนตกใจหนักมาก คิดไม่ตกว่าจะทำยังไงดี ควรแจ้งความดีไหม หรือยังไง อาจจะเป็นการล้อเล่นของอัคราวิชญ์เฉย ๆ ก็ได้ คิดสลับไปมา ทั้งดีร้ายปนกัน สุดท้ายพวกเขาตัดสินใจว่า...

หวังว่าคุณผู้อ่านทุกท่านจะชื่นชอบนะคะ ^^

memento_mori_7964creators' thoughts