娱乐圈头条 หัวข้อข่าว แห่งวงการบันเทิง
ผู้แต่ง กว๋านเอ่อwr
ผู้แปล เติ้ง ลี่เฟิน
บทที่ 1 เกิดใหม่
“…...ทวีปยุโรปบริเวณเขตเทือกเขาพิเรนีส ได้มีรถแข่งกลุ่มหนึ่งวิ่งอยู่ริมแม่น้ำการอน สร้างความลำบากใจให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจของฝรั่งเศสไม่น้อย……” น้ำเสียงหวานไพเราะของผู้ประกาศข่าวหญิงดังออกมาจากโทรทัศน์ บนหน้าจอแผ่นใหญ่ที่ด้านหลังของเธอได้ปรากฏหัวข้อข่าวของวันนี้ขึ้น
ท่ามกลางความมืดในตอนกลางคืน รถแข่งแต่ละคันขับผ่านไปอย่างรวดเร็ว เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งกำลังไล่ตามและด้านหลังก็มีรถตำรวจเช่นกัน “…… ทางด้านตำรวจสันนิฐานว่ารถแข่งกลุ่มนี้ได้มุ่งหน้ามาจากทางเหนือของประเทศ ส่วนผู้เป็นเจ้าของรถนั้นยังไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างแน่ชัด……”
เมื่อเสียงของผู้ประกาศสาวเงียบลง ภาพบนจอด้านหลังของเธอก็ถูกขยายใหญ่ขึ้น เสียงไซเรนและเสียงใบพัดของเฮลิคอปเตอร์ที่ถูกปิดเอาไว้ในตอนแรกก็ดังขึ้นมา รวมทั้งเสียงคำรามของกลุ่มรถแข่งที่วิ่งผ่านกล้องทำให้ห้องทั้งห้องมีแต่เสียงดังโหวกเหวก
แน่นอนว่ากำแพงบางๆ ไม่สามารถกันเสียงดังๆ ได้ เจียงเซ่อลุกขึ้น ห้องรับแขกก็ไม่ได้กว้างแต่ไอ้ตัวรีโมทควบคุมเสียงหายไปไหนก็ไม่รู้ ทำให้โทรทัศน์ก็ยังมีเสียงรถแข่งดังออกมาอยู่เรื่อยๆ
ในตอนที่ฉากภาพเปลี่ยน สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นรถสีขาวคันหนึ่งในกลุ่มรถแข่งวิ่งผ่านไป จากที่กำลังจะปิดโทรทัศน์ก็ชะงักนิ่งทนที แต่แล้วประตูห้องด้านหลังก็ถูกเปิดออกดัง ‘ปึง’ ตู้หงหงตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ
“ดึกขนาดนี้แล้วยังจะเปิดเสียงดังอีก พรุ่งนี้ฉันจะสอบกลางภาคอยู่แล้วไม่รู้หรือไง!”
พอเจียงเซ่อหันไปมอง เด็กสาวที่สวมชุดกระโปรงนอนสีแดงก็ปิดประตูกลับอย่างไม่พอใจ แรงสั่นสะเทือนทำเอาแลคเกอร์เคลือบหน้าต่างไว้หลุดออกมา
เธอปิดโทรทัศน์แล้วเดินกลับห้อง ช่วงเวลาปลายเดือนพฤษภาคมถือว่าร้อนมาก พัดลมเครื่องหนึ่งค่อยๆปล่อยลมเย็นๆ พัดลงที่นอน
เธอขึ้นเตียงนอน สายตาจ้องมองไปที่โคมไฟสีเหลืองนวล เธอว่าเธอรู้จักรถสีขาวคันสวยคันนั้นที่ขับอยู่ข้างหน้าสุด มันคือรถของเพ๋ยอี้
“เซ่อเซอ”
เสียงเรียกของคุณแม่เจียงเซ่อทำลายความคิดของเธอลง ประตูถูกเปิดออก และโจวฮุ่ยที่เป็นแม่ของเจียงเซ่อก็ยื่นตัวเข้ามา นิ้วเธอชี้ที่โคมไฟหัวเตียง
“สามทุ่มกว่าแล้วนะ”
เธอพยักหน้าแล้วเอื้อมมือไปดึงสายสวิตซ์ไฟ ทั้งห้องมือสนิทเมื่อไฟถูกปิดลง
ท่ามกลางความมืด แต่แสงไฟวับวาวจากข้างนอกก็ยังพอให้ได้เห็นสีหน้าของโจวฮุ่ยที่ดูลังเล
“หงหงกำลังจะสอบกลางภาคแล้ว ช่วงนี้ค่าไฟก็แพง เดือนนี้ค่าแรงของคุณอาตู้เองก็ไม่ค่อยดีนัก พัดลมเปิดพอให้เย็นแล้วก็ปิดซะ......”
เจียงเซ่อได้ยินอย่างนั้นก็ตอบกลับ “รู้แล้วค่ะ”
โจวฮุ่ยปิดประตูไม่พูดอะไรอีก
ทั้งห้องมืดสนิท มันเป็นห้องที่ไม่มีแม้แต่หน้าต่าง เจียงเซ่ออดไม่ได้ที่จะพลิกตัว
เธอไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาสักพักแล้ว แต่หัวข้อข่าวที่ได้ยินในวันนี้ทำเอาเธอรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย
เมื่อครึ่งเดือนก่อนเธอยังเป็นเฝิงหนานที่แสนร่ำรวยแห่งตระกูลเฝิง แต่พอวันหนึ่งตื่นขึ้นมากลับพบว่าเธอได้กลายเป็นเจียงเซ่อไปเสียแล้ว
คุณปู่ของเธอ เฝิงจงเหลียง แต่ก่อนท่านเคยไปรับราชการทหารในตอนที่หัวเซี่ย (ชื่อประจีนสมัยก่อน) กำลังวุ่นวาย เฝิงลงเหลียงก็ได้พาครอบครัวอพยพไปอยู่ที่ฮ่องกง เขารับซื้อร้านเหล้าและทำธุรกิจนี้มาโดยตลอด ตระกูลเฝิงก็ถือได้ว่าเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาในสังคม
แต่พอเฝิงจงเหลียงแก่ตัวลงเขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนที่ตนจากมา เขาจึงขอให้เพื่อนเก่าที่เคยทำงานด้วยกันช่วย พาเขาและเฝิงหนานกลับมาอยู่ที่หัวเซี่ย
ถ้าเทียบเฝิงหนานกับเจียงเซ่อแล้ว ต่างกันราวกับฟ้ากับเหว
โจวฮุ่ยแม่ของเจียงเซ่อหลังจากหย่ากับสามีนิสัยไม่ดีของตนเมื่อครั้งล่าสุดแล้วเธอก็พาเจียงเซ่อลูกสาวออกมาและได้แต่งานใหม่กับตู้ชางฉวินและมีลูกเพิ่มมาชายคนหญิงคน
พ่อเลี้ยงของเจียงเซ่อทำงานอยู่ในโรงงานแห่งหนึ่ง เขาทำมันมายี่สิบกว่าปีแล้วแต่ก็ยังเป็นได้แค่พนักงานชั้นล่าง เขาได้เงินเดือนแค่เล็กน้อยแต่กลับต้องเลี้ยงดูทั้งครอบครัว
อย่างไรเสียตัวเธอก็ไม่ได้ใช้นามสกุลตู้ และนั่นยิ่งทำให้ตัวเจียงเซ่อรู้สึกอึดอัดและทำตัวไม่ถูก ตู้ชางฉวินไม่ได้ชอบเธอนัก ยิ่งไปกว่านั้นคือสองพี่น้องต่างพ่อก็ไม่ได้ดีกับเธอ
ปีนี้เจียงเซ่ออายุได้สิบเจ็ดปี และแน่นอนตอนนี้เธอกำลังเรียนอยู่มอหก แต่เธอดูไม่ได้สนใจกับการเรียนนัก ในใจเธอคิดแค่อยากจะเอาใบหน้าสวยๆของตัวเองเข้าวงการบันเทิง และได้เป็นดาราที่โด่งดัง
สถานการณ์แบบนี้มันเป็นมาได้กว่าครึ่งเดือนแล้ว เจียงเซ่อเป็นคนสังเกตและปะติดปะต่อเรื่องด้วยตัวเอง
เธอไม่รู้เลยว่าตอนที่เธอกลายเป็นเจียงเซ่อแล้วในตัวเฝิงหนานจะเป็นใคร คิดอยู่นานแค่ไหนก็ไม่ได้ข้อสรุปเสียที เธอถอนหายใจพลิกตัวอีกรอบ และเสียงเตียงมันก็ดังขึ้นทุกครั้งที่เธอขยับตัว
แล้วตู้หงหงก็เคาะกำแพงกลับมาอย่างแรง
“จะพอได้หรือยัง?”
บ้านของครอบครัวตู้ตั้งอยู่ในเมืองหลวงที่ค่าครองชีพค่อนข้างแพง ทั้งครอบครัวของฝั่งตู้ชางฉวินมีหกคนและพื้นที่แค่สิบห้าตางรางวาในตึกเก่าๆ คงแบ่งไม่พอหรอก พื้นที่ทั้งหมดถูกตู้ชางฉวินแบ่งออก เขาเอาแผ่นไม้มากั้นให้เป็นส่วนๆ และห้องของเจียงเซ่อก็อยู่มุมสุดของพื้นที่ทั้งหมด มันตั้งได้แค่เตียงเดี่ยวหนึ่งเตียงและเก้าอี้หนึ่งตัว ไม่มีหน้าต่าง ทั้งที่เป็นกลางวันแต่ถึงจะยกมือขึ้นมาก็คงไม่เห็นอะไรสักอย่าง
ข้างบนเป็นที่นอนของตู้ชางฉวิน เขาทำเป็นที่นอนของคู่สามีภรรยา ดังนั้นเพดานห้องของเธอจึงต่ำมาก
ตอนที่เจียงเซ่อลืมตาขึ้นมาก็แทบไม่อยากจะเชื่อว่ายังมีสถานที่ที่เก่าขนาดนี้ในเมืองหลวง
ตู้หงหงยังคงด่าไม่หยุด เจียงเซ่อไม่สนใจหลับตาลง เธอมีใบหน้าที่สวยราวกับว่าพระเจ้าได้สร้างเธอมา และนั้นก็คงเป็นเหตุผลหลักที่เธออยากจะเข้าวงการบันเทิง พื้นที่เล็กๆ ที่เหลืออยู่ในห้องของเธอมันเต็มไปด้วยโปสเตอร์ดารา ไดอารี่ที่อยู่ใต้หมอนของเธอเองก็เต็มไปด้วยเรื่องราวและความฝันของเด็กสาว
ความฝันของเจียงเซ่อถูกปลุกโดยเสียงไอ
ตู้ชางฉวินที่อยู่ข้างบนกำลังไออย่างหนัก เหมือนเขาเป็นหวัดมาหลายวันแล้ว ได้ยินโจวฮุ่ยพูดเบาๆว่าให้เขาลางานสักวันและไปหาหมอที่โรงพยาบาลแถวๆนี้ดู แต่ตู้ชางฉวินกลับตอบกลับอย่างไม่พอใจ
“เงินล่ะ? เธอรู้หรือเปล่าว่าลางานหนึ่งวันจะโดนหักเงินเดือนไปตั้งเท่าไหร่? คนทั้งบ้านกำลังรอเงินเดือนของฉันเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เธออยากจะให้หยุดก็หยุดงั้นหรือ?”
เจียงเซ่อขยี้ตาและตื่นขึ้นมา
ตู้ชางฉวินยังคงด่านู้นบ่นนี่ และหนึ่งในนั้นก็เกี่ยวกับลูกติดของโจวฮุ่ยภรรยาของเขา
“อายุสิบเจ็ดแล้วยังไม่คิดจะอะไรสักอย่าง ใช้เงินเป็นอย่างเดียว ตอนฉันอายุสิบเจ็ดก็ไปทำงานที่โรงงานแล้ว เหมือนยัยนั่นเสียที่ไหน?”
โจวฮุ่ยไม่ได้ตอบอะไรอีก ตอนเจียงเซ่อตื่นขึ้นมา ก็เห็นใบหน้าหงุดหงิดของตู้ชางฉวิน ที่พอลงบันไดมาเห็นเธอก็ไม่คิดจะสนใจเดินไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อแล้วออกไปทำงานทันที
“พักนี้คุณอาตู้เขาค่อนข้างกดดันน่ะ”
โจวฮุ่ยกดมุมปากขึ้นเล็กๆ ก่อนจะมองไปที่ลูกสาวตัวเองแวบหนึ่ง เจียงเซ่อที่อยู่ใต้แสงไฟเพิ่งจะอายุสิบเจ็ด เธอเพิ่งจะเป็นสาว โจวฮุ่ย บิดน้ำที่ตู้ชางฉวินใช้ล้างหน้าออกจากผ้าก่อนจะเช็ดลงบนใบหน้าตัวเอง และเดินเข้าห้องครัวไป
“แม่เห็นลูกเรียนมาจนถึงตอนนี้ แต่ก็ดูลูกจะไม่ได้สนใจมันเลย น้องชายกับน้องสาวลูกก็ยังเด็ก……”
เจียงเซ่อเข้าใจคำพูดของแม่เธอดี
ในคาบเรียนวิชาภาษาอังกฤษ เธอใช้ปากกาขีดเขียนวาดรูปบนหนังสือเล่นและเหม่อลอย
ประโยคที่โจวฮุ่ยพูดกับเธอเมื่อตอนเช้าเธอยิ่งทำให้เธอคิดว่าหลังจากจบมอหกแล้วก็คงจะไม่เรียนต่อ ความหมายคืออยากจะให้หาเงินด้วยตัวเอง
ตอนที่เธอเป็นเฝิงหนานเธอไม่เคยต้องเดือดร้อนเรื่องเงินเลย
ในขณะที่คิดอะไรไปเรื่อยเธอก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ
พอหันไปก็พบว่าเป็นหลูเป๋าเป่าที่นั่งข้างๆกำลังเอาปากกามาจิ้มนิ้วของเธออยู่
หลูเป๋าเป่าอายุมากกว่าเธอหนึ่งปี และถือว่าเป็นเพื่อนที่เข้ากันได้ดีคนหนึ่ง เธอมีใบหน้ากลมเล็ก น่ารักมากๆ เธอรู้อะไรหลายอย่างโดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับวงการบันเทิงและดารา เธอค่อยข้างที่จะคุ้ยเคยเป็นอย่างมาก
ยิ่งเพราะเจียงเซ่อต้องการที่จะเข้าวงการบันเทิงและได้อยากจะเป็นดาราดัง เธอมักจะมีเรื่องคุยกับเพื่อนคนนี้เสมอ
หลูเป๋าเป่าชักปากกากลับแล้วเขียนอะไรบางอย่างลงบนสมุดการบ้านอย่างรวดเร็ว ‘คิดอะไรอยู่หรอ เห็นเธอเหม่อมานานแล้วนะ’