webnovel

เวลาคุย (2/2)

"อจินไตยตามหาผู้คู่ควร จิน เป็นพลังที่มาพร้อมกัน"

ธามได้รับเกียรติให้เข้าบ้าน การต้อนรับอบอุ่นคือนั่งจ้องหน้ากับทารกบนเก้าอี้สูง เด็กเล็กแบกบรรยากาศขมุกขมัวเข้ากับคิ้วขมวดเข้ม ข้างกันคือหลินที่ทั้งเอามือถือมาอัดเสียง เปิดคอมพิมพ์บันทึกตาม ถ้าเด็กหญิงไม่มีถุงน้ำแข็งมัดหัวไหล่เป็นเหมือนเครื่องแจ้งเตือน เขาคงคิดว่ากำลังปั่นรายงานการประชุม

"แล้วอจินไตยจะตอบรับคำขอที่เหมาะสมให้ เหรียญของผม แหวนของคุณนาวี สิ่งเหล่านี้เราเรียกว่ารำลึก มันผนึกคำขอไว้กับพลังจิน ความสามารถควบคุมจิตเป็นผลพลอยได้"

"ได้เจอเทพตั้งนานแล้วสิหัวหน้า"

"ไม่ใช่เทพครับ ไม่มีใครรู้หรอกว่าคืออะไร เขาเปลี่ยนรูปไปตามสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของแต่ละคน"

"เหรียญคุณมันรุ่นตั้งแต่ 14-15 ปีก่อนแล้ว"

ช่างสังเกตนักนะ…ธามขมวดคิ้วใส่เธอ เขาอุตส่าห์พยายามเบี่ยงประเด็นแล้วแท้ ๆ ถ้าอีกฝ่ายถามต่อว่าคำขอของเขาคืออะไร บทสนทนานี้คงไม่ไปต่อราบรื่นตลอดรอดฝั่ง

"ปะป๊าขอให้หนูเด็กลงเหรอ" ตวันพูดกับตัวเอง เขายื่นถ้วยพลาสติกที่มีขนมอยู่เต็มมาทางธาม "ป๊อปคอร์นไหมฮับ"

เด็กนรก…

"ไม่ล่ะ ขอบใจ" ธามรีบปฏิเสธ ใครจะรู้บ้างล่ะว่าในนั้นมียาพิษเคลือบไว้รึเปล่า "อาจไม่ตามคำขอตรง ๆ หรอก อจินไตยค่อนข้างจะ…ค่อนข้างจะเข้าใจยาก แล้วก็ขึ้นอยู่กับประกาศกด้วย" ธามเปลี่ยนไปอธิบายความหมายของศัพท์ใหม่ชั่วคราว ประกาศก คำที่สมาคมใช้เรียกผู้คู่ควร "คนที่ตอบได้คงมีแต่คุณนาวีคนเดียว"

หลินเงียบไปพักใหญ่ เมื่อธามหันมองเขาเห็นว่าเด็กหญิงดูไม่สบายใจขึ้นมา เธอสบตาน้อง ๆ อย่างใช้ความคิดก่อนสีหน้าเปลี่ยนเป็นอยากรู้อยากเห็นตามเดิม เธอจะคิดเรื่องเหตุผลเบื้องหลังคำขออยู่หรือไม่ธามไม่ได้เอ่ยถาม

"แล้วรำลึกหัวหน้านี่มันยังไงคะ ไม่ใช่ของคุณเหรอ ไหงมีผียายแก่มาสิงได้"

"ของผมถูกแล้ว" ชายหนุ่มเผลอเหลือบมองมุมหนึ่งของห้อง ทั้งหวาดระแวงและขุ่นเคืองในเวลาเดียวกัน ห้ามลังเล แค่เอ่ยให้ข้อมูลเพียงคำเดียวก็ไกลเกินจะหันหลังกลับแล้ว "แต่มันมีวิธีที่เรียกว่า การเชื่อมรำลึก ย่าบังคับให้สมาชิกส่วนหนึ่งทำ หล่อนจะได้สามารถติดตาม ดักฟัง หรือไปปรากฏตัวในที่ที่ปลายทางอยู่ได้ตลอดเวลา"

หลินถามเรื่องรูปแบบการใช้จินหลังจากนั้น จิตใจของผู้พูดล่องลอยไปกับเสียงเคาะคีย์บอร์ด นึกไปถึงตัวการใหญ่ทีมลักพาตัวที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ ฉัตรเดินยามรอบตัวบ้าน แบกบรรยากาศหลบฉากหน่อย ๆ แต่ไม่ถึงกับเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับอันตรายที่ใกล้มาถึง แต่ธามรู้สึกอยากย้ำเตือนทุกคนอีกที

"เราควรออกจากที่นี่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าย่าจะส่งคนมาตามผมกลับเมื่อไร"

"แด๊ดเตรียมเก็บของแล้วล่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่า เรามีงานสำคัญกว่าที่ต้องทำ"

"นอกจากรีบหนี?"

"ฉันจะเทรนหัวหน้าให้เป็นสปาย"

"เล่นอะไรอีก…."

ปรากฏว่าหลินไม่ได้ล้อเล่น

ลูกน้องเขาเริ่มเปิดคอร์สรหัสลับแบบเร่งด่วน สร้างวิธีการที่เขากับเธอสามารถคุยกันได้โดยไม่ถูกจับ ไม่ว่าจะมีวิญญาณพลังจิตคอยเฝ้าระวังทุกฝีก้าวหรือไม่ พวกเขาตกลงติดต่อกันทางแชท ภายนอกเหมือนคุยเรื่องงานธรรมดา แต่เลขในข้อความถ้าเอาไปเทียบกับหน้าหนังสือสัญญาจะถอดออกมาได้เป็นประโยคที่ต้องการ

ธามจะถูกทิ้งไว้ให้รอความช่วยเหลือที่นี่ เขาอาจจะโดนสมาคมสอบสวนต่อ แต่การที่เขาไม่ค่อยถูกเชื่อใจอยู่แล้วคงไม่สร้างความแตกต่างเท่าไร หลังจากนั้นคือการตีสองหน้า สืบข่าว ศึกษาศัตรู แลกเปลี่ยนข้อมูล

เป้าหมายแรกคือช่วยคุณนาวี เป้าหมายต่อไปคือทำลายสมาคม และทำลายคนที่ขังเขาไว้ใต้ความหวาดกลัว

ทุกอย่างดูเหมือนภาพฝันไปหมด เขาแค่นั่งอยู่ตรงนี้ เอ่ยปากเล่าจุดอ่อนของพลังเท่าที่รู้ พึ่งจะลงมือทำอะไรสักอย่างให้หลุดพ้นจากการถูกข่มขู่ ฟังคู่สนทนาที่ไม่มีรำลึก ไม่มีจิน เป็นแค่คนธรรมดาสามัญ แต่โดดเข้าหาอันตรายชนิดที่เรียกได้ว่าโง่งม

จริงอยู่ หนทางการแก้แค้นย่ายังคลุมเครือ แต่กลับก้าวหน้ามากกว่าธามที่ยอมให้หล่อนกดหัวมาเป็นปี ๆ ตั้งแต่หล่อนเจอเขา ธามไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่จะจินตนาการถึงชัยชนะ พลังเหนือธรรมชาติไม่ต่างจากบ่วงคล้องคอ คำอวยพรกลายเป็นโซ่ตรวนที่เขายินดีแบก

ทำไมนะ…ทำไมเขาไม่ชิงกุญแจตั้งนานแล้ว

"…กระชับข้อความ ถ้าไม่จำเป็นก็เงียบใส่ฉันก็ได้ค่ะ จำไว้ว่าเพลย์เซฟไว้ก่อน"

"โอเค"

"แล้วเดี๋ยวเราต้องทำให้สภาพคุณดูเละกว่านี้นิดนึง ลุคนักโทษจะได้เนียน ๆ"

"เดี๋ยวอะไรนะ—?"

"เจ็บนิดเดียวค่ะเชื่อฉัน แด๊ด!!" หลินตะโกนเรียกลั่นบ้าน

"เดี๋ยว-เดี๋ยวก่อน อย่างน้อย…ผมขอรำลึกคืนได้ไหม?" ธามรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี คำว่า 'เชื่อฉัน' ของเด็กหญิงไม่น่าเชื่อเลยสักนิด

หลินชะงักปากเพื่อเผยรอยยิ้มแหย ดูรู้สึกผิดและไม่มั่นใจจนธามเครียดไปด้วย กังวลขึ้นมาว่าจู่ ๆ เธอจะบอกว่าเห็นเงาขมุกขมัวอยู่ข้างหลังเขา เสียงอ่อนโยนจะกระซิบเหนือศีรษะ หรือหญิงชราจะปรากฏตัวตรงหน้าเดี๋ยวนั้น

ถ้าจะมาก็ต้องมาตั้งนานแล้วสิ ไม่-หล่อนติดพันอย่างอื่นอยู่ หรือว่าแอบฟังรหัสลับ ดูว่าแผนการของศัตรูคืออะไร แล้วเอามาใช้ทำลายทุกคนทีหลัง แต่อาจจะไม่…ธามมีความหวังอยู่แม้เพียงเล็กน้อย

"คุณฉัตรไล่ย่าไปได้ยังไง"

"เขวี้ยงเข้าป่าอ้อย"

ใช้จุดอ่อนเรื่องระยะทาง? ต่อให้เป็นย่าก็อยู่ห่างรำลึกเชื่อมได้แค่ 30-40 เมตร ขอบเขตของเธอมาไม่ถึงในบ้านมั้ง แต่ก่อนอื่น "เขาถือเหรียญติดตัวมาหาผม" เจ้าของถามย้ำกับเด็กหญิงที่อ้ำอึ้ง

หลินโยนเหรียญให้เขาเป็นคำตอบ ธามรีบรับตั้งแต่มันยังอยู่กลางอากาศพร้อมทำหน้าบึ้งใส่เธอ ถึงรำลึกไม่ถูกทำลายด้วยวิธีปกติก็เถอะ แต่ในเมื่อเป็นของสำคัญธามประคบประหงมอย่าง—เดี๋ยว

เมื่อเขาสัมผัสผิวงอนิด ๆ ของมัน หรี่ตาดูของที่พกมานานจนจำรอยขีดรอยตำหนิได้ ธามรู้คำตอบของคำถามตัวเองทันที มัน…ไม่ใช่เหรียญเขา

"ก็ตอนนั้นยังไม่รู้ว่ามันทำอะไรได้บ้างนี่นา เลยไม่กล้าแตะ" เด็กหญิงแก้ต่างให้ตัวเอง "ของจริงยังอยู่ในป่าอ้อย อันนี้ฉันแงะกระปุกมา"

___

บ้านสวนไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ต้องย้ายที่อยู่สักพัก แต่แด๊ดสังหรณ์ใจว่า 'สักพัก' คงหมายถึงได้อยู่ข้างนอกกันนานจนหมดฝน

ชายหนุ่มกำลังขนของใส่ท้ายรถซีดาน ทั้งเสื้อผ้าและเครื่องใช้ส่วนตัวของลูกแต่ละคน กรงใส่ครอบครัวแมวที่เด็กเกินกว่าจะวานให้เป็นภาระเพื่อนบ้าน รวมถึงสิ่งสำคัญกับความทรงจำอีกหลายชิ้น…ถ้าป๊ากลับมาแล้วไม่เห็น ป๊าจะเศร้า

เหลือกระเป๋าอีกใบ กับขนมอีกสองสามถุงที่เขาคิดว่าเก็บในรถดีกว่า เผื่อลูกหิวระหว่างทาง ต้องบอกโรมให้ปลดล็อกประตูหน้าแต่เจ้าของรถพึ่งถูกส่งให้ไปเตรียมข้าวของตัวเองเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ใต้ซุ้มอัญชันถึงเหลือแค่เจ้าบ้านคนเดียว

เสียงฝีเท้าเล็ก ๆ เหยียบลงใบไม้แห้งดังใกล้เข้ามา

"หือ ตวัน ลืมอะไรเรอะ" แด๊ดถามโดยไม่หันไปมอง สายตาค้างอยู่ที่กระเป๋าเสื้อผ้าในมืออย่างลืมไปว่าจะยัดลงตรงไหน

"เปล่า"

"เดี๋ยวนั่งรถโรมมันไปนะ แด๊ดจะขับตามไปทีหลัง"

"ไปหาป๊าก่อนเหรอ"

แด๊ดเหลือบมองเด็กชายเพียงแว็บเดียว สบกับแววสงบนิ่งกว่าที่ใจเย็นรอให้ผู้เป็นพ่อสารภาพ ไม่รู้เขาเผลอแสดงความวู่วามออกสีหน้า ภาษากาย คำพูด หรือว่าอย่างไร ตวันรู้แล้วว่าเขารู้ว่าป๊าอยู่ไหน

สัญญาณจาก gps ที่ติดตัวป๊าไปก่อนเข้าร้านอาหารดับลงตั้งแต่ยังไม่ออกเขตเมือง ทิ้งให้ทั้งครอบครัวต้องวนหาอย่างไร้ความหวัง หนทางเดียวคือต้องไปลักพาตัวผู้ลักพาตัว แต่ในเมื่อปรากฏว่าธามก็ไม่รู้ แด๊ดก็ควรจะไม่รู้เช่นกัน

ดวงตากลมโตใสซื่อมองสำรวจผู้เป็นพ่อ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นกล้องวงจรปิดในห้องสอบปากคำ แต่ที่แย่กว่าคือมันซ้อนทับกับสายตาหวาดกลัว ใบหน้าขาวซีด ขาสั่น ๆ ยืนหยัดท่ามกลางห้องนั่งเล่นพังทลาย เป็นภาพที่กระตุ้นให้แด๊ดอยากขับรถหนีออกไปเดี๋ยวนั้น

"คนเดียวเหรอ" เด็กชายย้ำ

"คนเดียวดีแล้ว"

"พวกหนูก็ห่วงป๊าเหมือนกันนะ"

"บางอย่างมัน…ไม่ใช่ความลับที่แด๊ดจะบอกได้"

ใบหน้ากลม ๆ ทำแก้มป่องไม่พอใจ แน่ล่ะ มันเป็นข้ออ้างที่เหลวไหลที่สุดเลย ตอนนี้ใช่เวลามารักษาความลับไหมหลังพึ่งหวุดหวิดจะตายอยู่รอมร่อ

ผู้เป็นพ่อรู้ตัวว่ากำลังกันลูกออกไป ทั้งที่ทุกคนโตพอจะรู้เรื่องแล้ว สามารถดูแลชีวิตตัวเองเผื่อแผ่ไปถึงชีวิตคนอื่นได้แล้วด้วยซ้ำ การปิดหูปิดตาลูกก็เหมือนปฏิเสธการเติบโตอันล้ำค่า แถมถ้าเขาเป็นอะไรไปอีกคนเด็ก ๆ จะยิ่งเสียใจหนักกว่าเก่า

แด๊ดเชื่อว่าลูกดูแลตัวเองได้ เชื่อว่าลูกทุกคนเข้มแข็งเพียงพอที่จะเอาตัวรอดไหว แต่แค่ความเชื่ออย่างเดียว มันไม่อาจลบภาพฝันร้ายในใจ

_____