"ฝีมืออ้ายอู๊ดนี่บ่เป็นรองใครจริงๆ"
ปัณณ์จ้วงข้าวเหนียวใส่ปากไม่หยุด เขาติดใจในอาหารเหนือตั้งแต่ตอนมาฝึกงานแล้ว และยิ่งมาเจอฝีมือเหนือแท้ๆแบบอ้ายอู๊ดนี่ ปัณณ์ยิ่งมีความสุขกับการรับประทานอาหารเข้าไปอีก
"เป็นไงล่ะครับพี่น้อง เอ็นจอยอีทติ้งล่ะสิ ฝีมือครัวคุณอู๊ด แห่งป่าซาง ขายดิบขายดี ส่งให้คุณกาแฟเขาเรียนเมืองนอกได้สบาย" อู๊ดหันไปมองราณีอย่างภาคภูมิใจ เขาบอกหล่อนแล้วว่าเขาเลี้ยงดูหล่อนกับลูกได้
"แม่น อ้ายอู๊ดเขาขยันแต๊ขยันว่า ยะกับข้าวก่อล้ำลำ" ราณีอดไม่ได้ที่จะชื่นชมผู้ชายคนข้างๆ บางทีหน้าตาก็แปรผกผันกับความสามารถจริงๆ
"แล้วอ้ายอิหยังไปต๊ะต่อนยอนอยู่กะช่างวินเขาเป็นนานสองนาน บ่มาเปิดร้านไปเมินละ"
โต้งยังไม่เลิกล้อลูกพี่เรื่องความเป็นคนเรื่อยเฉื่อยของลูกพี่ วินจึงจัดการเบิ๊ดกะโหลกรุ่นน้องเบาๆแบบหยอกๆไปสองสามที ก่อนจะเอื้อมไปตักลาบหมูมาใส่ในจานของสิปรางค์ เขารู้ว่าหญิงสาวยังคงเขินๆที่จะปั้นข้าวเหนียวจิ้มไปที่จานลาบโดยตรง
"คิงก่อฮู้ว่าเพราะอะหยัง" อู๊ดแอบมองอย่างเขินๆไปยังราณี
"โอย มีแต่เรื่องรักๆใคร่ๆในโรงงาน" ปัณณ์ส่ายหน้า ทำท่าระอาใจ
"บ่ต้องมาอู้จะอั้นจะอี้เลย คุณน้องปัณณ์ ตัวเก่าน่ะมาอันดับนึ่งเลย อ้ายอุตส่าห์มีใจให้ ก่อดันไปฮักอีน้องเอื้อง งามก่อสู้อ้ายบ่ได้" ดนัยมองบน แกล้งทำท่ามีจริตแง่งอนใส่ปัณณ์
อดีตเลขาเพิ่งจะมารู้เรื่องของปัณณ์กับเอื้องคำในตอนหลังนี้เอง เขายังแปลกใจในความจริงจังกับความรักของหนุ่มน้อยจากกรุงเทพคนนี้ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับกรณีของราณีเพื่อนสมัยเรียนของเขาแล้ว
เฮ้อ อีหล้ามันเล่นกับไฟ
ทุกคนเหมือนจะรู้กันดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับราณี แต่ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะรื้อฟื้นขึ้นมา
"เอ้อ แล้วพี่ปรางขึ้นมาอยู่บนนี้ อาหารการกินทำไงอ่ะพี่" ปัณณ์รีบเปลี่ยนเรื่อง ก่อนที่บทสนทนาจะเทมายังเขาและเอื้องคำ ชายหนุ่มกำลังนึกสงสัยอย่างคนอื่นๆว่าสิปรางค์จะใช้ชีวิตอยู่บนดอยได้จริงๆหรือ เขาไม่คิดว่าคนอย่างสิปรางค์จะทำกับข้าวเป็น และการนั่งปูเสื่อนั่งล้อมวงกินข้าวกับพื้นนอกชานกันแบบนี้ไม่น่าใช่วิถีของหญิงสาวผู้พี่ของเขา
"ก็ไม่เห็นมีปัญหานะ วินเป็นคนทำ" หญิงสาวงงว่า มันเป็นเรื่องยากตรงไหน
"เอ่อ ผมก็ว่า ไม่น่าถาม" ปัณณ์ผิดเอง เขาถามอะไรไร้สาระ
สิปรางค์ไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าอายตรงไหนที่หล่อนทำกับข้าวไม่เป็น หญิงสาวไม่เคยนึกเบื่อกับข้าวง่ายๆที่วินเป็นคนทำ หล่อนเข้าครัวเพื่อเป็นลูกมือของเขาในบางครั้ง และชายหนุ่มก็เป็นคนใจเย็นพอที่จะไม่รำคาญความงกๆเงิ่นๆของหล่อน หรือไม่บางวันหากนึกสนุก หล่อนก็ขับรถออกไปเดินตลาดในตัวอำเภอ เลือกซื้อกับข้าวสำเร็จที่วางขายในตัวตลาดมาก็เท่านั้นเอง วินเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย และหล่อนเองก็เป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายด้วย เอ๊ะ หรือเปล่า
"พี่ก็พอจะทำเป็นบ้าง มะปรางเขากินง่าย" วินหาจังหวะเอ่ยขึ้นมาบ้างหลังจากถูกคนนั้นคนนี้แย่งพูดอยู่นาน
แล้วเขาก็หันไปตักน้ำพริกอ่องมาใส่ให้มะปรางของเขาในจานของหล่อน
"แล้วใครทำงานบ้านให้อ่ะพี่ อย่าบอกนะว่าอ้ายวินก็เป็นคนทำ โอย ผมนึกภาพไอดอลของผมกวาดถูบ้านไม่ออกเลย" ปัณณ์ยังสงสัยในชีวิตความเป็นอยู่ของพี่สาว
หรืออันที่จริงเขาถูกปริมสั่งให้มาสืบชีวิตความเป็นอยู่ของสิปรางค์ที่บนดอยนี้ต่างหาก ปริมยังหาโอกาสขึ้นมาเยี่ยมเยียนพี่สาวไม่ได้สักที ช่วงนี้เริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ที่รีสอร์ตของหล่อนเริ่มจะมีการจองที่พักเต็มตลอด
ปกติสิปรางค์เป็นคนที่ไม่เคยสนใจการบ้านการเรือน ตอนอยู่ต่างประเทศครอบครัวของหญิงสาวก็ไปซื้อบ้านเอาไว้ เนื่องจากปริมได้บินตามไปเรียนด้วย บิดาหล่อนจึงได้ส่งคนดูแลบ้านจากเมืองไทยให้ไปอยู่ที่นั่นด้วย
"แหม เธอ จะไปยากอะไร พี่ก็หาคนแถวนี้เค้ามาทำให้สิจ๊ะ"
แน่ล่ะ หล่อนเป็นนักจัดการนี่นา การมีบ้านในฝันหลังเล็กๆกับชายหนุ่มที่หล่อนรักอย่างนี้ ทำให้สิปรางค์เกิดนึกสนุกกับการตกแต่งบ้านขึ้นมากะเขาบ้าง หญิงสาวเลือกเฟอร์นิเจอร์และกระเบื้องตามห้องต่างๆด้วยตนเอง และตั้งใจอยากจะมีบ้านที่มีระเบียงกว้างหน่อยเพื่อที่หล่อนจะได้นอนดูดาวกับผู้ชายของหล่อนได้ทุกวันสมใจ…
"บ้านบนดอยบ่มีแสงสีบ่มีทีวี บ่มีน้ำประปา…
บ่มีน้ำหอมน้ำปรุงอย่างดีแต่หมู่เฮามี ฮื้ม มีน้ำใจ๋…"
หลังจากวงลาบข้าวเหนียวได้เสร็จสิ้นลง ชานระเบียงกว้างเปิดโล่งนั้นก็ถูกปรับเปลี่ยนเป็นผับกลางดอย แล้วเพลงนี้ก็มาจนได้ เอื้องคำมองปัณณ์อย่างชื่นชม หล่อนเฝ้ามองชายหนุ่มฝึกซ้อมเล่นกีตาร์และร้องเพลงมาหลายอาทิตย์ เขาตั้งใจจะมามอบเพลงนี้ให้แก่พี่สาวและพี่เขยผู้เป็นที่รักของเขา หญิงสาวรู้ว่าปัณณ์นับช่างวินเป็นไอดอลคนหนึ่งในการดำเนินชีวิต ชายหนุ่มอยากจะเป็นช่างที่เก่งและเล่นดนตรีเก่งเหมือนพี่เขย
ปัณณ์คิดว่าเพลงนี้มันจะต้องเหมาะกับบรรยากาศแน่ๆและก็ได้ผล ทุกคนตั้งใจร้องเพลงบ้านบนดอยกันอย่างสนุกสนาน จะด้วยเป็นการพยายามปลอบใจ หรืออาจจะอยากล้อเลียนเจ้าของบ้านทั้งสอง …ก็ไม่อาจจะรู้ได้
"อ่า ส่วนผม ก็จะขอมอบเพลงนี้ให้กับลูกพี่สุดหล่อและแฟนคนสวยของเขานะครับ" โต้งจัดการยึดกีตาร์มาจากหนุ่มปัณณ์ทันที เมื่อเสียงเพลงบ้านบนดอยได้จบลง
"ฮิ้ววววว กิ้วววววว"
เสียงโห่ฮาแซวเจ้าของบ้านดังมาจากรอบวง โต้งเริ่มเพลงด้วยเสียงทุ้มๆเบาๆเข้ากันได้ดีกับทำนองหวานๆนั้น
"อ้ายเป็นคนเวียงเจียงใหม่ใคร่ฝากหัวใจหื้อสาวต่างแดน…
มีควายมีไก่ขนหม่นมีงัวปู๊โตน มีห่านคอยาว…"
สิปรางค์นั่งเอนหลังซบไหล่กว้างของชายอันเป็นที่รัก การได้นั่งฟังเพลงเบาๆอยู่กลางขุนเขาท่ามกลางดาวระยิบระยับบนท้องฟ้ามันโรแมนติกชะมัด
หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปจับมือเรียวของชายหนุ่มมาลูบไล้เล่น ผู้ชายอะไรมือส้วยสวย เขาว่ากันว่าพวกคนทำงานช่างทำงานศิลปะจะมีมือเรียวๆแบบนี้ นี่คงเป็นมือของนายช่างสินะ
แล้วในขณะที่ชายหนุ่มกำลังเผลอ หล่อนก็จับมือของเขาขึ้นมาจุมพิตก่อนที่จะจับมือวินไปแนบกับแก้มของหล่อน ชายหนุ่มเขินหน้าแดงก่ำ พยายามจะยึดเอามือของเขาคืนมา แต่สิปรางค์ไม่เขินและไม่ยอมให้มือของเขาคืน ก็หล่อนกำลังมีความสุขอยู่นี่นา แม้ทุกคนรอบวงจะตื่นตะลึงเมื่อเห็นอดีตนายช่างใหญ่ถูกบังคับให้อยู่ในอารมณ์โรแมนติก แต่หญิงสาวคนสวยคนข้างๆก็ไม่สน หล่อนยังคงแนบแก้มของหล่อนอยู่กับมือเรียวยาวนั้น
เขาว่ากันว่า ความสุขจะอยู่กับเราได้ไม่นาน สิปรางค์ก็ได้แต่หวังว่าความสุขที่หล่อนมีอยู่ในวันนี้ มันจะไม่จากหล่อนไปเร็วเกินไปนัก
อาการปวดหัวของหล่อนเริ่มกลับมาเป็นพักๆอีกแล้ว…