webnovel

แฟนเก่า

ฉันจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างรถแท็กซี่อย่างตกตะลึงพรึงเพริด

อา ผู้ชายคนนั้น คนที่กำลังก้าวเดินอย่างเท่ๆออกมาจากประตูบานเล็กของรั้วใหญ่นั่น

"คุณเซน! คุณไม่สบายหรือเปล่าคะเนี่ย"

และหลังจากคนตัวสูงก้าวขึ้นรถแท็กซี่มานั่งที่เบาะหลังเคียงคู่กัน ฉันก็ต้องจ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจเป็นที่สุด อดไม่ได้ที่จะถือวิสาสะเอื้อมมือไปอังหน้าผากขาวๆนั้น เขาต้องเป็นอะไรไปแน่ๆ ตาฉันฝาดไปหรือเปล่า

"ครับ? ผมสบายดีนี่ครับ นี่หน้าตาผมดูซีดเซียวขนาดนั้นเชียวหรือ อย่าบอกนะว่าผมต้องเมคอัพมาด้วย ไม่เอาน่า" คนตัวสูงทำหน้าเหลอหลา ยกมือขึ้นลูบเปะปะไปทั่วใบหน้าตัวเอง

"เปล่าค่ะ ไม่ต้องแต่งหน้าคุณเซนก็หล่อแล้วค่ะ" นี่คือความสัตย์จริง ฉันนึกภาพคุณเซนแต่งหน้าไม่ออกเลย

"แล้วทำไมคุณลินถึงคิดว่าผมไม่สบายล่ะครับ"

"ก็วันนี้คุณเซนใส่เสื้อสีชมพูมา!" ฉันทำเสียงตื่นเต้นที่สุดในโลก

เรากำลังนั่งอยู่บนรถแท็กซี่เพื่อมุ่งหน้าไปยังงานเลี้ยงรุ่นที่จัดขึ้นที่ร้านอาหารสุดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณเชิงสะพานพระรามสาม ฉันแวะมารับเขาที่บ้านด้วยรถแท็กซี่เพราะคิดว่าสะดวกดี เราจะได้สังสรรค์กันอย่างเต็มที่โดยไม่มีใครต้องกังวลเรื่องการขับรถหลังการเมากรึ่ม

ตอนที่เรานัดหมายกันผ่านทางไลน์นั้น คุณเซนส่งข้อความตอบกลับมาหาฉันใจความว่า

'ทีแรกผมว่าจะขี่จักรยานมารับคุณลินให้นั่งซ้อนท้ายไปพระรามสามด้วยกัน เผลอๆจะได้ขี่เลียบริมแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย น่าจะดูโรแมนติกดีนะครับ'

ดู ดูความคิดเค้า ฉันว่าคุณเซนเริ่มจะติดนิสัยพูดจาอะไรเรื่อยเปื่อยไปจากฉันแล้วแน่ๆ

"คุณเซนตัวก็ไม่ร้อนนี่คะ นึกยังไงทำไมถึงใส่เสื้อสีชมพูสดใสขนาดนี้คะ"

"อ้าว ก็คุณลินบอกเองว่างานวันนี้เขาเป็นธีมคู่รัก ให้ใส่เสื้อสีชมพู ว้า ไรเนี่ย หลอกกันเล่นหรือครับ"

"ไม่ได้หลอกเล่นค่ะ วันนี้งานเค้ามีธีมนี้จริงๆ แต่ชั้นไม่นึกว่าคุณเซนจะใส่มาจริงๆนี่คะ"

ฉันก็แค่ส่งต่อข้อความที่ยัยเหมียวประธานรุ่นส่งมาไปให้คุณเซนก็เท่านั้น ยัยเหมียวเธอบังคับให้พวกเราใส่ธีมสีชมพูมางานเลี้ยงรุ่นวันนี้เพื่อคงตามคอนเซ็ปต์ 'ย้อนวัยหวานเมื่อวันวาน' ฉันก็เลยมาในชุดกระโปรงผ้าลินินท่อนเดียวหลวมๆยาวถึงครึ่งเข่า คอจีน แขนกุด และแน่นอนต้องสีชมพู ชุดนี้ก็มาจากร้านหรูของยัยโอปอเพื่อนดีไซเนอร์ของฉันอีกเช่นเคย คืองานนี้ฉันจะมาเผชิญหน้ากับแฟนเก่าอะนะ มันก็ต้องลงทุนกันหน่อย

แต่ไม่แค่ฉันเท่านั้นนะที่ลงทุนกับค่ำคืนนี้ คนข้างๆนี้เขาก็ลงทุนด้วย...

"ก็ทีคุณลินยังใส่สีชมพูเลย แล้วเราเป็นคู่รักกัน เราก็ต้องใส่เป็นคู่ชมพูสิครับ"

"นี่คุณเซนลงทุนซื้อเสื้อสีชมพูเลยหรือคะ เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยนะคะที่ชั้นเห็นคุณใส่เสื้อสีอื่นนอกเหนือไปจากสีขาว ดำ เทา และน้ำเงินเข้ม"

"โห เป๊ะมาก จริงครับ ผมมีเสื้ออยู่แค่สี่สี แล้วนี่คุณลินแอบเข้าไปอยู่ในตู้เสื้อผ้าผมตั้งแต่เมื่อไหร่ครับเนี่ย"

"แหม่ คุณเซนใส่วนอยู่แค่นั้นใครๆเขาก็สังเกตได้มั้ยคะ" เค้าทำเหมือนกับว่ามันสังเกตยากขนาดนั้น หารู้ไม่ ทั้งบริษัทเขาก็สังเกตได้กันหมดแหละค่า

ฉันว่านะ คุณเซนเขามีเสื้ออยู่ไม่กี่ตัวหรอก แถมมีแต่แบบซ้ำๆกันด้วย แม้ฉันจะไม่รู้ยี่ห้อแน่ชัด แต่คิดว่าเสื้อแต่ละตัวของแพงแน่นอน ดูเนื้อผ้าจากไกลๆก็รู้ ก็บ้านฉันเป็นร้านตัดเสื้อนี่นะ

"นี่ชั้นตื่นเต้นมากนะคะ ขอจับหน่อย" อดไม่ได้จริงๆที่จะเอื้อมมือไปแอบสัมผัสเสื้อคอจีนทรงหลวมๆสบายๆนั้น โอว เนื้อผ้านุ่มมือมาก แถมยังเป็นผ้าลินินเหมือนกับชุดของฉันอีก ทำไมใจตรงกันอย่างนี้วะ

"นี่ไปเดินหาซื้อจากไหนมาคะเนี่ย คุณเซนมีเวลาไปเดินช้อปปิ้งด้วยหรือคะ"

"คุณมะพร้าวเค้าสั่งออนไลน์มาให้ครับ ปกติผมไม่ค่อยซื้อเสื้อผ้าเอง"

นั่นไง นึกๆอยู่ว่าไม่น่าจะเป็นไอเดียของตัวเอง แล้วเสื้อที่แขวนๆอยู่ในตู้ทั้งหมดนั่นก็คงเป็นฝีมือคัดสรรของคุณมะพร้าวด้วยสินะ

ฉันถอยหลังห่างออกมาพิงประตูรถเพื่อที่จะสำรวจคนตัวสูงนั้นให้เต็มตา วันนี้เธอมาพร้อมกับเสื้อแขนยาวสีชมพูอ่อน แขนเสื้อถูกพับขึ้นเกือบถึงข้อศอก ชายเสื้อถูกปล่อยออกมานอกกางเกงทรงหลวมสีครีมอ่อน และ… ฮั่นแน่ เปิดกระดุมเม็ดสามเม็ดบนซะด้วย แอบเซ็กซี่นิดๆนะเราน่ะ

วันนี้คุณเซนโคตรน่ารักเลย

"คุณเซนกับเสื้อชมพู... น่ารักอะค่ะ" อดใจเอ่ยชมซึ่งๆหน้าไม่ได้จริงๆ น่าร้ากกกกก

"อ้าวคุณลินครับ ผมรับงานแล้ว ผมก็ต้องเต็มที่สิครับ คุณลินก็รู้ว่าผมเป็นคนจริงจังกับการทำงานแค่ไหน" แม้ปากจะทำเป็นพูดซีเรียส ส่วนสายตาก็มองเหม่อออกไปที่หน้าต่างรถ แต่โหนกแก้มของพ่อหนุ่มเริ่มแดงแล้วจ้า

"แน้ เขินอะดิ" ฉันอดแซวคุณเสื้อชมพูเค้าไม่ได้ วันนี้วันเสาร์ เราควรโยนบทบาทของเจ้านายและลูกน้องทิ้งไปก่อน ก็ช่วยไม่ได้นะ อยากตกปากรับคำมางานเลี้ยงรุ่นกับฉันเอง

"อ่อ แล้วจะให้บอกว่าผมเป็นใครดีครับ เป็นหนุ่มลูกครึ่งนายแบบจากญี่ปุ่นดีไหม น่าจะเรียกเสียงกรี๊ดได้ดีกว่า เพราะผมคิดว่ารุ่นนี้เค้าคงไม่สนเรื่องของหนุ่มนักธุรกิจรวยรวยกันแล้วมั้งครับ น่าจะโฟกัสกันที่เรื่องรูปร่างหน้าตากันเน้นๆ"

คนเขินหันมาใช้หัวข้อเรื่องของวัยกลบเกลื่อนอีกเช่นเคย แต่ก็โอเค ไม่ว่ากัน ถือเสียว่าเป็นประเด็นของการเตรียมเล่นใหญ่เพื่อให้สมกับที่จะเป็นแฟนหนุ่มของสาวฮอตอย่างฉัน

"แหม คุณเซนไม่ต้องลงทุนปลอมตัวหรอกค่ะ สังคมกรุงเทพมันแคบ วันหนึ่งเขาก็รู้กันอยู่ดีว่าคุณเป็นเจ้านายของชั้น และอันที่จริงชั้นก็ไม่ค่อยชอบหลอกลวงใคร"

"อ่อ แล้วบอกว่าผมมาตามจีบนี่คือไม่หลอกลวงเลยใช่ไหมครับ" ตาเรียวๆนั่นปรายมาทางฉันอย่างเย้ยหยัน

"เอ้อ... ก็จริงเนาะ ฮ่า ฮ่า" ฉันหัวเราะออกมาด้วยความจนมุม

"เนียนนะเราอะ" แล้วจู่ๆพ่อหนุ่มเสื้อชมพูเค้าก็เอานิ้วมาดีดต้นแขนของฉัน

"อุ๊ย!" ฉันสะดุ้ง คืออะไร? วิธีการแสดงความหนิดหนมเรอะ ฉันหันไปเขม่นตามองเจ้าของนิ้ว ก็เจอสายตาขี้เล่นกำลังจ้องมาเช่นกัน ดูท่าทางเค้าอารมณ์ดีผิดปกติแฮะ

"นี่แน่ะ" ฉันออกแรงทั้งหมดดีดนิ้วกลับไปที่ต้นแขนของเชิ้ตสีชมพูนั้นบ้าง

"โอ๊ย!" เสียงร้องจากพี่ชมพูดังลั่นรถ จนพี่แท็กซี่ต้องหันมามอง

ฉันขยิบตาทำเสียงจุ๊ๆ ก็พบความระยิบระยับกำลังเปล่งออกมาจากตาเรียวของคนนั่งข้างๆ ยัง ยังไม่เข็ดใช่ไหม ยังมาทำหน้าทะเล้น ฉันทำท่าจะขยับเข้าไปดีดนิ้วใกล้ๆอีกที คราวนี้คนเสื้อชมพูนั้นพยายามทำท่าปัดป้องเป็นพัลวัน

ทริปหัวหินคราวที่แล้วนี่เหมือนเป็นทริปละลายพฤติกรรมของเราทั้งคู่ ความรู้สึกเจ้านายลูกน้องหายไปตั้งแต่ตอนไหนฉันก็ไม่รู้...

"แล้วเราต้องมีชื่อเรียกกันเองเป็นพิเศษเหมือนพวกวัยรุ่นไหมครับ เช่น ไอ้ต้าว ไรงี้" หลังจากเล่นไร้สาระเรื่องการดีดนิ้วกันพอหอมปากหอมคอ คุณเซนเค้าก็เริ่มเรื่องไร้สาระเรื่องใหม่

"ฮ่า ฮ่า คุณเซนไปเอามาจากไหนคะนั่น" แหม ทำการบ้านมาดีเชียวนะ

"อ่อ คุณลินอาจไม่รู้จัก อาจเกินวัยไปนิ้ดอะครับ" ดู ดูเค้า วกกลับมาเรื่องวัยอีกจนได้

"หรือจะเอาแบบที่คนรุ่นชั้นเค้าเรียกกันคะ เบบี๋ ดาร์ลิ่ง ที่รัก เค้า ตัวเอง ไรงี้" ฉันเสนอแนะบ้าง

"หรือจะเป็น หนู กับ ป๋า ก็ได้นะครับ ผมไม่เกี่ยงเรื่องอายุจริง"

"หมายถึงคุณเซนแทนตัวเองว่า หนู แล้วให้ชั้นแทนตัวเองว่า ป๋า ใช่ไหมคะ" อือม์ ช่างเป็นคำเรียกที่น่าสนใจ

"โอเค งั้นดีลครับ! จบที่ เค้า กับ ตัวเอง" คนเสื้อชมพูรีบจบเร็วเมื่อเห็นฉันทำท่าจะไปกันใหญ่

แล้วเค้าก็เอียงตัวเข้ามาใกล้ๆฉัน

"คุณลินสบายใจได้เลยนะครับ วันนี้ใครๆเค้าต้องนึกว่าเราเป็นคู่รักหวานแหววกันแน่ๆ"

สายตานั้นมีแววกรุ้มกริ่มแบบแปลกๆ ทำเอาใจฉันหนาวๆร้อนๆ

โอย สายตาแบบนี้ จากพ่อหนุ่มเสื้อชมพูผมปรกหน้าแบบนี้ อันตรายมาก

ใจละลายเลยอ่า...

เรามาถึงที่งานเลี้ยงตอนหนึ่งทุ่มพอดี สถานที่จัดงานเป็นร้านอาหารเล็กๆที่ถูกเหมาทั้งร้านมาเพื่อค่ำคืนนี้ของพวกเราโดยเฉพาะ อาคารชั้นเดียวดัดแปลงมาจากโกดังเก่าริมแม่น้ำนั้นถูกล้อมรอบด้วยกระจกหลากสีและถูกตกแต่งอย่างมีรสนิยม แน่ล่ะ เพื่อนๆสมัยมัธยมของฉันล้วนแล้วแต่มีฐานะดี ก็พวกเราเรียนโรงเรียนแถวสุขุมวิทอะเนอะ

"คุณเซน คนนั้นไงคะ ก้อง"

ฉันแอบกระซิบคนที่ควงมาด้วยความตื่นเต้นเมื่อเดินเข้ามาถึงภายในบริเวณห้องจัดงาน บริเวณที่นั่งถูกจัดวางด้วยโต๊ะยาวเป็นแถวๆสามแถว ผนังด้านหนึ่งของห้องถูกจัดไว้เป็นเวทียกพื้นขนาดเล็กๆ

"งั้นเราเดินเข้าไปนั่งกับคุณลุงก้องเลยดีไหมครับ" คุณเซนพยักพเยิดไปทางอดีตคนรักของฉันที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะแถวกลางกับเพื่อนผู้ชายอีกคนหนึ่ง

"ยังก่อนค่ะคุณเซน เราต้องไม่เป็นฝ่ายเข้าไปหาเค้าก่อน เรานั่งโต๊ะถัดมาจะดีกว่า เลือกที่ตรงข้ามกับก้อง เพื่อให้เค้าเห็นเราถนัดๆ และชั้นก็ต้องทำเป็นไม่เห็นเค้า เดี๋ยวเค้าก็เดินเข้ามาหาชั้นเองแหละค่ะ" ฉันเริ่มวางแผนอันแยบยล

"อ่า ชีวิตช่างลำบากจริงๆนะครับ"

"แน่สิคะ มันก็เหมือนกับการเล่นเกมไงค่ะคุณเซน เราต้องเป็นฝ่ายคุมเกมค่ะ"

ว่าแล้วฉันควงแขนคุณเซนเดินตรงเข้าไปที่โต๊ะด้านข้าง ยังมีที่ว่างอยู่อีกเยอะ เพื่อนๆฉันเขามาสายกันตามประสาคนกรุงเทพ เราจึงมีโอกาสเลือกที่นั่งได้ตามสบาย

แต่ระหว่างทางเดินไปโต๊ะ ฉันก็ต้องหันไปทักทายกับเพื่อนๆคนอื่นๆเรื่อยๆตามรายทาง และก็ต้องปฏิเสธคำเชื้อชวนให้นั่งด้วยอยู่เป็นระยะๆ

หึ หึ คุณเซนคงเห็นแล้วสินะว่าฉันป๊อปปูล่าร์แค่ไหน

"หวัดดีลิน มากับแฟนเหรอ" ยัยปูสาวโสดอีกคนของรุ่นมองด้วยสายตาอิจฉา

"ลิน นั่งตรงนี้ด้วยกันไหม" นายโทนี่จอมปากเสียของรุ่นทำเป็นชวนฉันเสียงใส แต่มองตาก็รู้ว่ากะเอาฉันไปเผากลางวง

"อ้าว ลินมาด้วยเหรอ นึกว่าจะไม่มา เพราะเห็นว่าใครบางคนเค้ามาด้วย อาจจะไม่อยากเจอหน้ากัน" เสียงของเยาวเรศสาวขี้เม้าท์ประจำรุ่นกระทบกระเทียบมา

ไม่ค่ะ ไม่ ฉันไม่นั่งกับพวกนี้หรอกค่ะ ฉันมีแก๊งเพื่อนสนิทของฉันเองนะคะ

แอบเหลือบตามองไปยังคนเสื้อชมพูข้างๆ เขากำลังปฏิบัติหน้าที่ได้ดีทีเดียว ท่าเดินหลังตรงแบบเท่ๆ ยิ้มน้อยๆและเสยผมบ้างเป็นครั้งคราว พร้อมกับพยักหน้าให้ผู้คนที่ผ่านไปมา โอว ช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน นี่คุณเซนเค้าไปฝึกมาจากไหนกันนะ ฝึกหน้ากระจกอยู่นานหรือเปล่า ฝึกทุกวันแน่ๆ ความเฟรนด์ลี่ขนาดนี้ไม่น่ามาจากอินเนอร์ ก็เห็นเวลาอยู่ออฟฟิศนี่เค้าหน้าเฉยจะตายไป

"ยังไงเราก็ต้องจองทำเลตรงนี้ไว้ก่อนค่ะคุณเซน ชั้นเล็งๆดูทิศทางและดูองศาแล้ว มุมนี้ชั้นน่าจะดูสวยที่สุดเวลาที่ก้องเค้ามองมา" ในที่สุดเราก็ฝ่าด่านคำทักทายของเพื่อนๆตามเบี้ยบ้ายรายทางมาจนถึงที่นั่งที่ฉันจดจ้องเอาไว้ได้

หลังจากที่เรานั่งลงเคียงคู่กันที่เก้าอี้ว่างสองตัวนั่นแล้ว ฉันก็แอบมองไปทางแฟนเก่าอีกที เห็นก้องกำลังตั้งใจคุยกับเพื่อนคนนั้นอย่างอารมณ์ดี ไม่รู้เขาได้สังเกตเห็นฉันบ้างหรือยัง

อา ก้องยังดูอบอุ่นสุขุมนุ่มลึกเหมือนเดิม หน้าตาก็เหมือนรูปในเฟซบุ๊ค โอเค ตรงปก ส่วนแววตาคู่นั้นก็เปี่ยมไปด้วยความเข้าอกเข้าใจในทุกๆคนรอบข้างเช่นเคย ผิวสีแทนและผมสีดอกเลาที่แซมข้างๆหูนิดๆนั้นก็ดูดีจังเลย

ส่วนคนข้างๆฉันนั้น...

หันไปก็เห็นเขากำลังมองฉันอยู่ก่อนแล้ว และจู่ๆคุณเซนก็เอามือข้างหนึ่งมาโอบพนักเก้าอี้ของฉันไว้พร้อมทั้งโน้มตัวเข้ามาใกล้ หน้าเรียวขาวนั่นส่งยิ้มหวานมาก่อน และประโยคเสียดแทงใจก็ตามมาด้วยเสียงกระซิบ

"เอาจริงนะ เรื่องแบบนี้ผมว่า... ถ้าเขาจะรัก ยืนเฉยๆเขาก็รัก" แล้วปรัชญาความรักแบบเจ็บลึกก็ปรากฏ

"ถ้าเขาจะรัก ไม่ต้องทักเขาก็ทัก" ฉันต่อเข้าให้

"เหนื่อยพอแล้ว ก็พักดีกว่า" คุณเซนยังไม่ยอมหยุด

"อย่าไปวิ่งตามคนที่เขา ไม่เคยรักเรา" และฉันก็ไม่ยอมแพ้ เรื่องต่อเพลงนี้คอเพลงป๊อปอย่างฉันนี่ถนัดมาก

"เอ๊ะ ทำไมคุณลินรู้จักเพลงวัยรุ่นขนาดนี้ด้วยครับ" คราวนี้คนเสื้อชมพูจ้องหน้าฉันด้วยความแปลกใจ

"ชั้นควรจะถามคุณเซนมากกว่านะคะ" ฉันรู้จักเพลงวัยรุ่นเกือบทุกเพลงแหละจ้า เวลายัยลิสาฟังเพลงเค้าไม่เคยคิดจะฟังคนเดียวหรอก

"อ่อ วันนั้นผมได้ยินพ่อกับเจ้าเรนเค้าเปิดยูทูปฟังกันไปห้ารอบ"

"เอาจริงชั้นว่าคุณเซนฟังแค่รอบเดียวก็ร้องตามได้แล้วมั้งคะ ถึงขั้นจำทั้งชื่อเล่นและชื่อจริงของคนได้ทั้งบริษัทนี่ เนื้อเพลงแค่จิ๊บๆค่ะ"

"จริงครับ" คนความจำดียิ้มแป้น แต่แค่ยิ้มยังไม่พอ ดันเอามือทั้งสองข้างเท้าคางที่โต๊ะอีก ท่าทางกุ๊กกิ๊กขนาดนี้ คนมองมาจากวงนอกคงคิดว่าเรากำลังจู๋จี๋กันอยู่

"คุณราเชนทร์วัยรุ่นเหมือนกันนะคะเนี่ย" ฉันนึกไปถึงเจ้านายเก่า ท่านเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ฟังเพลงกำลังฮิตซะด้วย

"มากครับ เค้ามีอินสตราแกรมสามแอ๊คเค้านท์ มีเฟซบุ๊คสองแอ๊คเค้านท์"

"เอาไว้กดไลค์น้องเรนแน่เลย"

"เฮ้ย ทำไมรู้" พ่อหนุ่มเสื้อชมพูทำท่าแปลกใจอย่างปลอมๆ แล้วนี่จำเป็นต้องเข้ามาแปลกใจใกล้ชิดกันขนาดนี้ไหม ทำไมต้องยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆด้วย เลิกท้าวคางแล้วเรอะ

"ก็ชั้นทำอยู่ไงคะ มีเฟซบุ๊คเพื่อเอาไว้ตามกดไลค์ยัยลิสา แต่รายนั้นเค้าไม่ค่อยโพสต์อะไร"

"เจ้าเรนก็เหมือนกันครับ พ่อผมเคยเอาให้ดู เห็นนานๆทีจะโพสต์รูปปลาที่บ้าน"

ฉันว่าฉันสังเกตเห็นนะ ว่าแววตานั้นดูอ่อนโยนขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อขณะกำลังพูดถึงลูกชาย

"ขอบคุณคุณลินอีกทีนะครับที่ชวนเจ้าเรนไปทำงานด้วย คุณลินรู้ไหมครับ ตอนมาขออนุญาตผม เจ้าเด็กนั่นพูดได้น่าหมั่นไส้ขนาดไหน มันบอก พ่อ ป้าลินเขาบอกว่าผมฝีมือดี บริษัทเราต้องการคนฝีมือดีไปช่วยงาน"

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า" ฉันนึกภาพตามแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ เจ้าเด็กหัวฟ้าเค้าต้องมีฟอร์มกับพ่อของเค้าอยู่เสมออะนะ

"แล้วคุณเซนตอบน้องเรนว่าไงคะ"

"ผมก็บอกสั้นๆ ถ้าคิดว่าเจ๋งพอ ก็ลองดู"

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า" พ่อลูกคู่นี้เขาไม่มียอมกันหรอก แต่ฉันดูก็รู้ ไม่เฉพาะเจ้าตัวลูกที่ภูมิใจมากที่ได้ช่วยงานพ่อ แต่เจ้าตัวพ่อเองก็ภูมิใจมากที่จะได้ลูกมาช่วยงาน

"คุณเซน! สวัสดีครับ"

จู่ๆเสียงอันตื่นเต้นของวิสกี้ก็ดังทักทายมาจากด้านหลังของเราทั้งสองคน ฉันหันไปมอง วันนี้เพื่อนสนิทฉันเขามาด้วยมาดหล่อเหมือนเช่นเคย วิสกี้มาด้วยเสื้อโปโลสีชมพูเข้ม เป๊ะตามธีมของงาน

"อ้าวกี้ มาแล้วเหรอ มานั่งนี่เร็ว แล้วพวกเราคนอื่นๆล่ะ" ฉันกุลีกุจอชี้ไปยังเก้าอี้ว่างๆตรงข้ามฉันกับคุณเซน

"อ้าว คุณวิสกี้ สวัสดีครับ" คุณเซนทำหน้าเลิ่กลั่กเล็กน้อย คงเพราะไม่แน่ใจว่าจะต้องเล่นละครบทแฟนมุ้งมิ้งต่อหน้าเพื่อนรักของฉันด้วยหรือเปล่า

"วิสกี้เค้ารู้เรื่องนี้แล้วค่ะคุณเซน ไม่ต้องห่วงค่ะ ทำตัวตามสบายเลยค่ะ"

ฉันโน้มตัวไปกระซิบเบาๆที่ข้างหูของหนุ่มเสื้อชมพูขณะวิสกี้กำลังเดินอ้อมโต๊ะไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับเรา พลันสายตาฉันก็มองไปทางก้องอีกรอบ คราวนี้ฉันเห็นแล้วล่ะว่าก้องเขากำลังแอบมองฉันอยู่เช่นกัน

โอเคร! เมื่อแฟนเก่ากำลังมองจ้องมา ฉันก็ต้องทำเป็นเริงร่าหัวร่อต่อกระซิกกับแฟนใหม่ ดังนั้นจู่ๆฉันจึงเอนตัวเขาไปหาคุณเซนแล้วหัวเราะคิกคัก ทั้งๆที่เรายังไม่ได้คุยอะไรที่ตลกกันเลย

คุณเซนเธอหันมามองฉันแบบงงๆ แต่เมื่อเห็นฉันขยิบตาพร้อมทั้งทำตาเล็กตาน้อย เธอก็เข้าใจและผสมโรงหัวเราะคิกคักตาม แถมยังเอาหน้าผากของเธอมาชนกับหน้าผากของฉันด้วย เอ่อ...

"เอ้อ อะแฮ่ม" เสียงวิสกี้กระแอมมาจากนี่นั่งตรงกันข้าม ทำให้ฉันและคุณเซนต้องผละออกจากกัน ว้า แอบเสียดายนะเนี่ย...

แต่คงต้องหันไปสนใจวิสกี้บ้าง เดี๋ยวเพื่อนน้อยใจ…

"คุณเซนลำบากใจแย่เลยนะครับวันนี้ ต้องมาทนนั่งอยู่ในบรรยากาศยุคเก้าศูนย์ ไม่นึกจริงๆว่าคุณเซนจะยอมตกปากรับคำ" เพื่อนฉันเริ่มเปิดบทสนทนาด้วยการแซวแบบยิ้มๆ

ความจริงแล้วไอเดียที่ให้ชวนคุณเซนมางานวันนี้น่ะ เป็นไอเดียของคุณวิสกี้เค้า ตอนแรกฉันยังคิดในใจว่าบ้าสิใครจะกล้าชวน แต่คงเป็นเพราะความหล่อของคุณเซนใต้แสงจันทร์ที่หัวหิน บวกกับความเมากรึ่มได้ที่ของฉัน ทำให้ฉันหลุดปากออกไปจนได้ ความจริงที่ฉันยอมไปเดินชายหาดกับคุณเซนในคืนนั้น ก็เพราะคิดอยู่ในใจแล้วว่าจะหาโอกาสหว่านล้อมขอให้เขาช่วยเรื่องนี้ล่ะ ไม่ได้ยอมไปเพราะไวน์แดงขวดที่คุณเซนเอามาจูงใจนะ ไม่ใช่จริงๆ

"เอ้อ นานๆทีมาเจอบรรยากาศย้อนยุคบ้างก็ดีครับ รำลึกถึงวัยหวานในวันวาน" คุณเซนแอบเหลือบตามองฉันด้วยสายตาล้อเลียน ก่อนจะพูดต่อไป

"ตัวเอง เค้าไปเอาเครื่องดื่มมาให้มะ ตัวเองอยากดื่มอะไร เค้าจะได้เอามาให้คุณวิสกี้ด้วย"

พรื่ดดดดด

มันคือเสียงความขำที่กลั้นไม่อยู่จากวิสกี้ ส่วนฉันทำหน้าตาบอกไม่ถูก จู่ๆคุณเซนเธอก็ขึ้นเวย์นี้มาโดยไม่บอกกล่าวกันล่วงหน้า ปรับใจไม่ทันจริงๆ

"งั้นเค้าขอไวน์แดงนะตัวเอง กี้ ตัวดื่มไวน์แดงเป็นเพื่อนเค้าหน่อยนะ" ฉันเล่นกลับไปบ้าง

"ได้ ได้ ผมขอไวน์แดงเหมือนลินแล้วกันครับคุณเซน"

"เค้าไปแป๊บเดียวนะ ตัวเองอย่าเพิ่งชายตามองหนุ่มคนไหนนะ" ยัง ยัง เสื้อชมพูยังเล่นไม่เลิก

"โอ๊ย คุณเซน อยู่กันแค่สามคน ยังไม่ต้องแสดงค่า"

"แหม ต้องซ้อมๆไว้หน่อยครับ" คนตาเรียวพูดยิ้มๆพลางลุกจากเก้าอี้ "เดี๋ยวมานะครับ"

และเมื่อคุณเซนเดินห่างออกไป

"เริ่ดอะ ลินเห็นไหม กี้บอกแล้วว่าคุณเซนเค้าต้องยอมมา ดูจากที่เค้าเอาเสื้อคลุมให้แกที่ผับตอนโน้นก็รู้แล้วว่าเค้าแอบแคร์แกอยู่นะ" คุณวิสกี้เขาก็เริ่มต้นการเม้าท์ทันที

"ชั้นก็งงๆอยู่ว่าทำไมเค้ายอมเล่นด้วย นี่คงหาอะไรทำแก้เบื่อมั้ง เค้าเพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่น อาจจะยังไม่ค่อยมีเพื่อน"

"ดีมากลินที่แกเชื่อชั้น แกมองไปรอบๆสิ พวกสาวๆเค้าซี้ดปากอิจฉาแกกันน่าดู แหม หนุ่มน้อยหน้าใสกิ๊กขนาดนี้" กี้เค้าหน้าตาตื่นเต้นเมื่อมองเห็นบรรดาสายตาของเพื่อนสาวคนอื่นๆของฉันกำลังแอบบมองคุณเซนกันยกใหญ่

"หูยกี้ ตอนอยู่ที่บริษัทนะ ขนาดคุณเซนเธอหน้าเฉยปานนั้น สาวๆก็ยังแอบกรี๊ดเพียบเลย" ฉันสนับสนุนความคิดของเพื่อน

"อือม์ แต่ถ้าเทียบกัน กี้ว่าลินเอาก้องดีกว่า คนอย่างคุณเซนน่ะคงมีสาวๆมาติดเยอะเกินไป รุ่นเราจะไปสู้รบตบมือกับพวกสาวๆพวกนั้นได้ยังไง"

"เดี๋ยวๆคุณวิสกี้ นี่คุณคิดไปไกลเกินป่าวคะ ชั้นกับคุณเซนไม่ได้กำลังจีบกันนะคะ เค้าไม่ได้มาเป็นตัวเลือกให้ชั้นนะคะคุณเพื่อน"

แต่เหมือนคุณวิสกี้เธอจะไม่ยอมฟัง ยังคงมโนไปเรื่อยเปื่อย

"ถึงคุณเซนเค้าจะหนุ่มกว่า แต่คิดดูนะ แกคงต้องต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เค้าทำงานหนักไปอีกนาน ส่วนก้อง มันมีทุกอย่างพร้อมแล้ว แกแค่ไปนั่งเป็นคุณนายจิบไวน์สบายๆ"

"เดี๋ยวๆอีกรอบค่ะ ดิฉันยังไม่เคยบอกเลยว่าดิฉันชอบคุณเซนเขาแบบจริงจังนะคะ ก็แค่กรี๊ดเขาเฉยๆ แล้วอีกอย่าง มียัยลิสาคนเดียวก็แย่แล้วนะคะคุณกี้ ดิฉันไม่อยากรับเลี้ยงเด็กเอาแต่ใจอีกสองชีวิตนะคะ" ฉันส่ายหน้า

"ใคร? เด็กเอาแต่ใจอีกสองน่ะ" เพื่อนฉันเขามีความฉงนกับบุคคลที่ฉันพาดพิงถึง

"ก็คุณเซนกับลูกชายเค้าไง"

"อ่อ อือม์ แต่นี่กี้ซีเรียส คือลินอย่าไปตกหลุมรักคุณเซนเค้าเลยนะ เพียบพร้อมขนาดนั้น เค้าจะจิ้มเอาใครก็ได้ เอาสาวๆสวยๆขนาดไหนก็ได้ และอีกอย่างคุณเซนเค้าก็ไม่น่าจะธรรมดาป่าววะ มีลูกตั้งแต่อายุสิบเจ็ด น่าจะเจ้าชู้อยู่ลึกๆว่ะ" วิสกี้ยังไม่ยอมหยุดมโนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับคุณเซน

"โอย ไปกันใหญ่แล้ว คุณเซนเค้าไม่ได้จีบชั้น เราไม่ได้ชอบกัน วันนี้ชั้นจะมาเอาก้องกลับคืน โอเค้ ก้องค่ะ ก้องเท่านั้นค่ะ" ฉันต้องมั่นคงในจุดยืนของตนเอง วัยขนาดฉันนี่ไม่สมควรจะเพ้อฝันแล้ว วัยนี้เราควรต้องอยู่ในโลกความเป็นจริงกันเสียที

ที่ผ่านๆมาฉันยอมรับว่าฉันเริ่มรู้สึกดีๆกับคุณเซนมากขึ้น อาจเพราะเราก็สนิทกันมากขึ้นด้วย พูดไปก็คือชอบแหละ แต่ชอบแบบเหมือนชอบผู้ชายน่ารักๆคนนึง เหมือนชอบรุ่นน้องที่หน้าตาหล่อๆ เหมือนกรี๊ดดาราเกาหลีอะ แต่มันไม่ใช่อาการของการอยากเข้าครอบครองหรือจะเอามาเป็นแฟนให้ได้ นี่ไม่ใช่เพราะฉันขี้อายไม่กล้าจีบผู้ชายก่อนนะ เพราะในอดีตที่ผ่านๆฉันแทบจะเป็นฝ่ายจีบบรรดาแฟนเก่าของฉันทุกคนเลย

แต่กรณีคุณเซน… มันก็ต้องดูโอกาสความเป็นไปได้ด้วยไหม

"อ้อ โอเค โอเค โทษทีชั้นลืมตัวไปหน่อย ก็วันนี้เห็นคุณเซนแกหล่อวัวตายควายล้ม ชั้นก็กลัวแกจะหลงเค้าอะดิ"

"โนว ตอนนี้ในสายตาชั้นมีก้องเพียงแค่คนเดียว"

ฉันต้องยืนยันไปที่ก้อง ฉันต้องโฟกัสที่ก้องเท่านั้น แฟนเก่าคนนี้มีความเป็นไปได้ที่สุดแล้ว

"โอเค งั้นกลับมาที่ก้อง แกต้องทำทุกอย่างให้ได้ก้องกลับมา พ่อหม้ายเนื้อหอมขนาดนี้ไม่สนไม่ได้แล้ว แล้วมันก็เป็นพรหมลิขิตป่าววะ แบบที่ป้าหมอเคยว่าไว้"

ถึงแม้ฉันจะไม่ได้สนใจเรื่องของการดูดวงนัก แต่สิ่งที่แม่หมอพูดในวันนั้น มันช่างตรงกับสิ่งที่ฉันอยากจะเชื่อ ฉันก็เลยคิดว่าแม่หมอแกดูแม่นมาก ที่แกว่าชีวิตของฉันจะเจอการเปลี่ยนแปลงและเจอทางเลือก ป้าหมอแกหมายถึงแฟนเก่าของฉันคนนี้แน่ๆ

"กี้ แกว่ามันเป็นไอเดียที่ดีจริงๆเหรอวะที่เอาคุณเซนมาด้วย ชั้นกำลังจะได้เจอก้องเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี ชั้นควรจะได้คุยกับก้องเค้าเงียบๆเรื่องความหลังของเราสองมั้ยอะ"

"ลิน ยังงั้นมันดูธรรมดาดาษดื่นไป" วิสกี้เขาคือจอมวางแผน เพื่อนฉันยังคงพยายามโน้มน้าวใจฉันต่อไป

"คุยกันเรื่องความหลังแล้วไงวะ รู้สึกดีๆต่อกัน แล้วก็จากกันไปงั้นเหรอ การเปิดตัวมันต้องอลัง มันต้องเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ มันจะได้มีอิมแพค ก้องเค้าจะได้ฝังใจ"

"เอ้อ ไม่รู้ดิ" ไปๆมาๆฉันก็เริ่มไม่มั่นใจขึ้นมาซะงั้น

นี่ฉันมานั่งในงานได้หลายนาทีแล้ว ก้องเขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมาหาฉันเลย ที่ฉันจินตนาการไว้ก็คือ พอก้องเขาเห็นฉันปั๊บ เขาควรจะปรี่เข้ามาหาฉันเลยป่าววะ

เฮ้อ ครั้งหนึ่งฉันเคยคิดว่าตัวเองเหมาะแล้วที่จะอยู่เป็นโสด ฉันคงเป็นแม่ที่ดีไม่ได้ ฉันรักอิสระเหนือสิ่งอื่นใด ฉันมักจะทำท่ามั่นใจว่าไม่ได้อยากจะมีแฟน และทำเป็นโนสนโนแคร์เมื่อมีคนถาม

หลังเรียนจบมหาวิทยาลัย ก้องเคยอยากให้ฉันกลับไปบ้านที่ต่างจังหวัดพร้อมกับเขา ไปเริ่มต้นทำไร่ไวน์ด้วยกัน แต่ฉันทำไม่ได้ ฉันไม่ได้อยากจะไปอยู่ต่างจังหวัด จะให้ฉันเอาอนาคตของตัวเองไปผูกไว้กับแค่ผู้ชายคนนึงไม่ได้แน่ๆ ฉันรักตัวเองมากเกินไป ตอนนั้นก้องจึงจากฉันไปแต่งงานกับผู้หญิงที่ทางบ้านของเขาหาไว้ให้ ผู้หญิงที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อก้อง ผู้หญิงที่พร้อมจะใช้ชีวิตเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา

ในตอนที่เลิกกันใหม่ๆ ฉันยอมรับว่าเสียใจอยู่พอควร แต่ก็ไม่นาน เพราะชีวิตฉันก็ต้องก้าวเดินต่อไป ฉันเลือกไปเรียนต่อโทที่อิตาลี ไปใช้ชีวิตอยู่ในยุโรปอย่างที่ใจฝัน

แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่ออายุมากขึ้น ทุกครั้งที่ฉันแอบส่องดูหน้าเฟซบุ๊คของก้องแล้วเห็นครอบครัวที่อบอุ่นของเค้า ฉันก็สะท้อนใจลึกๆว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆเขาน่าจะเป็นฉันมากกว่า

และวันนี้ยิ่งเห็นเพื่อนๆวัยเดียวกันอุ้มลูกจูงสามีมา ฉันก็เริ่มรู้สึกอยากมีครอบครัวเป็นของตัวเองบ้าง ความรู้สึกหวงแหนชีวิตอิสระและชีวิตโสดที่เคยมีมาก่อนหน้านี้มันหายไปไหนกัน หรืออาจเป็นเพราะฉันได้ใช้ชีวิตตามความฝันของตัวเองมาเพียงพอแล้ว

ตอนนี้ฉันกลับรู้สึกแค่ว่าอยากมีใครสักคนที่เค้ารักฉัน และฉันรักเค้า และเราก็จะมีครอบครัวเล็กๆร่วมกัน

มันจะสายไปไหมนะ…