webnovel

ลลินค่ะ

เช้าวันจันทร์ หนึ่งวันหลังวันแห่งความรัก

8:15 น. 15 กุมภาพันธ์

'สถานีต่อไป ทองหล่อ… Next Station Thonglor… ทองหล่อ'

เสียงประกาศในรถไฟฟ้าในภาวะเร่งรีบยามเช้าส่งให้หญิงสาววัยเกือบจะกลางคน รูปร่างสมส่วนกะทัดรัดสูงโปร่ง ที่กำลังนั่งฟังเพลงอย่างเพลิดเพลินโดยหูฟังครอบตัวใหญ่นั้นเตรียมตัวขยับลุกจากที่นั่ง ผมสั้นสีน้ำตาลอ่อนเก๋ไก๋ป้ายข้างสะบัดปลายถูกโพกด้วยผ้าซาตินเนื้อบางเบาสีม่วงเข้มสลับเหลืองสดใส สร้อยข้อมือลูกปัดสีเทอคว้อยส์กับชุดแซคสั้นแขนกุดสีเหลืองมัสตาร์ดลายดอกไม้ใหญ่สีม่วง ทำให้หล่อนดูโดดเด่นเกินใครบนรถไฟฟ้าขบวนนี้

เอาล่ะค่ะ เลิกบรรยายได้แล้วนะคะ!

สาวผมสั้นผู้โดดเด่นเก๋ไก๋คนนั้นน่ะ คือฉันเองค่ะ ฉันชื่อลลิน อายุ…เอ่อ… ช่างมันเถอะนะจ๊ะ

แล้วอีกอย่าง จะรูปร่างสมส่วนกะทัดรัด หรือจะสูงโปร่ง เอาให้แน่สิจ๊ะ แต่คิดว่าออกไปทางสูงโปร่งมากกว่านะ อือม์… ไหนลองเปรียบเทียบกับคนอื่นๆดูหน่อยดีกว่า

และเมื่อฉันเหลียวหันไปมองรอบๆตัว คริคริ ก็สูงกว่าค่าเฉลี่ยสาวๆแถวนี้นะ แต่เอ… เหมือนว่าเมื่อก่อนฉันจะสูงกว่านี้นี่นา เอ๊ะ หรือว่า… วัยที่เพิ่มขึ้นจะทำให้กระดูกหดลง รึจะถึงวัยที่ต้องกินแคลเซียมเสริมแล้ว โอววว ไม่นะ! ไม่!

แต่จะว่าไป ลองเช็กราคาแคลเซียมเม็ดในเฟซดูหน่อยก็ดี เผื่อมีโปรโมชั่นช่วงนี้ งั้นเดี๋ยวอย่างแรกที่ต้องทำเมื่อถึงออฟฟิศ ก็คือต้องเช็กเฟซ อ้อ ต้องอย่าลืมเช็กด้วยว่า ครีมบำรุงใต้ตาเมือกหอยทากที่สั่งซื้อส่งมาแล้วหรือยัง แม่ค้าออนไลน์เจ้านี้ไว้ใจไม่ค่อยได้ ชอบงอนลูกค้าเป็นประจำ

เฮ้อ… เมื่อวานฉันปิดเฟซบุ๊กทั้งวัน ก็เพราะมันเป็นวันวาเลนไทน์ มันแสลงใจคนโสดอย่างฉัน

หน้าฟีดของฉันจะโหมกระพือไปด้วยความภาคภูมิใจของบรรดาพวกมีคนมีคู่ พวกที่แต่งงานแล้วก็จะโพสต์รัวๆโชว์ของขวัญไม่ว่าจะเป็นสร้อยเพชร ตั๋วเครื่องบินไปพักร้อน หรือกระเป๋ายี่ห้อหรูที่บรรดาสามีซื้อให้ และแก๊งที่ยังเป็นแค่แฟนกันก็จะกระหน่ำลงรูปคู่ฉลองวันแห่งความรักตามร้านอาหารเริ่ดๆหรูๆ หน้าตายิ้มแย้มราวกับเป็นเดทแรกในชีวิต

เปล๊านะจ๊ะ ฉันไม่ได้อิจฉาพวกเขาเหล่านั้นนะคะ อย่าเข้าใจผิด เจ๊แค่หมั่นไส้เบาๆเท่านั้นค่ะ

ทีนี้เราหันมาดูบรรดาคนโสดทั้งชาวเกย์ชะนีน้อยใหญ่ในวันวาเลนไทน์กันบ้าง พวกเขาจะพากันหายตัวเงียบกริบ หรือไม่ก็โพสต์รูปตัวเองเดี่ยวๆทำท่าคูลๆ ทำนองนั่งอ่านหนังสือจิบไวน์ใต้แสงเทียนอย่างสงบอยู่กับบ้าน ตามด้วยสเตตัสที่แอบเวิ่นเว้อนิดๆ …ประเภท

'ไม่ถึงขั้นโสด แต่อยู่ในโหมดอิสระ ไม่ได้ไร้สาระ แต่แค่มีสถานะที่ไม่ชัดเจน'

'ไม่มีหรอกคบซ้อน มีแต่โสดซ้ำโสดซ้อน'

'ไม่ใช่คนดี ไม่มีเสน่ห์ ไม่ใช่สายเปย์ แต่ไม่เทแน่นอน'

โอ้ ช่างน่าเบื่อมากมาย นางเอกกันเหลือเกิน สายเฟี้ยวอย่างฉันน่ะ! ไม่มีมาแอบน้อยใจในโชคชะตาอันอาภัพรักอะไรแบบนี้แน่นอน

อย่างฉันมันต้องแคปชั่นประเภท…

'อ่อยให้คุ้ม เพราะคนคุมไม่มี'

เพลงมา!

'ฉันไม่ใช่ผู้หญิงเจ้าชู้ ไม่ใช่ผู้หญิงเลิศหรู แต่ฉันเป็นหญิงลั้ลลา ฉันไม่ชอบความขี้เหงา…'

นี่มันต้องเพลงนี้! มันถึงจะเข้ากับผู้หญิงสายแกร่งอย่างฉัน

แหม ฟังเพลงนี้แล้วมันคึกคัก รอค่ำคืนวันศุกร์นี้ชวนวิสกี้เพื่อนรักไปแดนซ์กันดีกว่า

แต่…เดี๋ยวนะ ทำไมฉันได้ยินเสียงทำนองเพลงที่คุ้นหูกว่าแทรกเข้ามา

'ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย…

ตอกติ๊ก ตอกติ๊ก ตอกติ๊ก ตึงตะละลึงตึ๊งตึงตึงตึ่ง ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย…'

เสียงเพลงชาติที่จู่ๆดังขึ้นมาอย่างไม่มีไม่มีขลุ่ยนั้นทำเอาคนบนรถไฟฟ้าต่างลุกขึ้นยืนกันอย่างพรึ่บพรับ

"เฮ้ย กูว่านี่มันแปดโมงครึ่งแล้วนี่หว่า ทำไมเพลงชาติเพิ่งขึ้นวะ" เสียงวัยรุ่นคนแรกพึมพำข้างๆฉัน

"กูว่ากูได้ยินไปทีนึงแล้วนะ ที่สถานีก่อนหน้านี้อ่ะ" วัยรุ่นคนที่สองให้ความเห็น

นั่นสิ เดี๋ยวนี้เค้าเปิดเพลงชาติในขบวนรถไฟฟ้าด้วยรึ ทำไมหนอ เอ้อ…

"ป้าครับป้า"

ใครเรียกใครที่ไหน?

เอ๊ะ มือใครมาสะกิด อ้าว น้องวัยรุ่นข้างๆนี่เอง ฉันลดหูฟังลง ตามด้วยการสะบัดผมเก๋ๆ ก่อนจะหันหน้าไปหาน้องวัยรุ่นสองคนนั่น

"ว่าไงคะ น้องเรียกพี่หรือคะ"

"ป้าครับ ผมว่าเพลงชาติมันดังมาจากในกระเป๋าของป้านะครับ" เหมือนวัยรุ่นคนแรกจะไม่สนเรื่องสรรพนามเรียกขานให้ถูกต้องเท่าไหร่นัก

"เสียงมาจากโทรศัพท์ป้าหรือเปล่าครับ" วัยรุ่นคนที่สองคาดเดา

อ้าว! เหรอ ฉันรีบเปิดกระเป๋า มองเข้าไปเห็นแสงวาบขึ้นที่โทรศัพท์มือถือโชว์เบอร์ที่ไม่คุ้นเคย เอ่อ… ใช่แฮะ แหะ แหะ มันคือเสียงเรียกเข้ามือถือของฉันเอง

ฉันนึกโมโหในใจ รู้ดีว่าใครเป็นคนแกล้งเปลี่ยนเสียงเรียกเข้านี้ เอาเพลงชาติมาเป็นเสียงเรียกเข้าเนี่ยนะ!

แต่ยังไม่ทันได้จะได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา วินาทีนั้นรถไฟฟ้าก็แล่นเข้าเทียบชานชาลาพอดี ฉันเลยรีบผลักตัวเองให้พ้นออกมาจากขบวนรถอย่างรวดเร็วเพื่อหลบสายตาพิฆาตของคนบนรถ ในฐานะที่ฉันไปทำให้พวกเขางุนงงกันเป็นพิเศษแต่เช้าในเรื่องของเพลงชาติ

ฉันกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงดิ่งไปลงบันไดของสถานีรถไฟฟ้าอย่างแน่วแน่ ไม่สามารถเสียเวลาแม้แต่สักเสี้ยวนาทีที่จะหยุดรับโทรศัพท์ได้ เดี๋ยวจะไปไม่ทันเวลาประชุมสำคัญ สงสัยจะเป็นคนที่บริษัทโทรมาตามนั่นล่ะ แต่คอยอีกนิดนะจ๊ะ อีกไม่เกินห้านาทีฉันก็จะถึงออฟฟิศอยู่แล้ว

ในที่สุดฉันก็หอบตัวเองมาจนถึงหน้าอาคารสองชั้นของบริษัทที่ทำงานจนได้ แต่เสียงเพลงชาติในกระเป๋าสะพายก็ยังคงดังไม่หยุด คราวนี้ผู้คนที่ลานหน้าโชว์รูมของบริษัทเราเริ่มหยุดยืนตรง หลายคนยังคงมองหน้ากันเลิ่กลั่กหาที่มาของเสียง บางคนละล้าละลังว่าจะหยุดเดินหรือไม่หยุดดี

ทว่าประเด็นสำคัญคือ ลุงประยุทธ์ ยามประจำบริษัทรีบวิ่งออกมาจากป้อมยามมายืนตัวตรง

สงสารแกจัง

โอเคค่ะ ก็ได้ค่ะ งั้นรับสายหน่อยก็ได้ค่ะ

ฉันจำใจต้องหยุดเดินที่หน้าประตูทางเข้าตึกนั่นเอง แล้วล้วงกระเป๋าสะพายหนังสีสดหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดรับสายที่โชว์เบอร์แต่ไม่โชว์ชื่อ ใครกันนะ

"สวัสดีตอนเช้าค่ะ …ใช่ค่ะ ดิฉันลลินค่ะ ลลิน สินธาค่ะ"

"คะ? อะไรนะคะ? ลิสาต่อยเพื่อน!"

"ตอนนี้เลยหรือคะ …ได้ค่ะ จะรีบไปค่ะ"

ฉันถอนหายใจ ยัยลิสามีเรื่องอีกแล้ว…

วันนี้มีประชุมนัดสำคัญรออยู่ตอนเก้าโมงเช้าซะด้วย แต่ไม่เป็นไร ขาดฉันไปสักคน บริษัทคงจะไม่เจ๊งหรอกนะ ก็ฉันติดธุระสำคัญจริงๆนี่นา

พลันก็มีเสียงเรียกเข้าอีกสาย ฉันรีบกดรับโดยไว …ก่อนที่จะมีใครหยุดยืนตรงเคารพเพลงชาติอีก

"ซิส! จะได้เวลาประชุมอยู่แล้ว ซิสอยู่ไหนคะเนี่ย"

เสียงร้อนรนของคิตตี้หนึ่งในทีมงานผู้ซึ่งเป็นมือขวาของฉันดังมาตามสาย คิตตี้ผู้ร้อนรนกระวนกระวายตลอดเวลา

"คิตตี้ นี่พี่ว่าจะโทรหาอยู่พอดี ความจริงพี่ก็อยู่หน้าออฟฟิศเราแล้วนะ แต่เผอิญมีเรื่องทางบ้านด่วนมาก ต้องรีบไปสะสาง คิตตี้ช่วยออกรับแทนพี่ในที่ประชุมด้วย เดี๋ยวพี่กลับมาแล้วจะเข้าไปหาท่านประธานเอง"

"แต่ซิสคะ! ประชุมสำคัญขนาดนี้ขาดซิสไม่ได้นะคะ" เสียงคิตตี้เริ่มทุรนทุราย

"เออ น่า คิตตี้จ๋า บอกท่านประธานคนใหม่ไปว่า คุณลลินติดธุระด่วนทางบ้านฮ่ะ แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ พี่ต้องรีบไปแล้ว" ฉันรีบกดวางหูอย่างไวก่อนที่คิตตี้จะเริ่มดราม่า

ยังไงฉันก็ต้องไปเคลียร์กับทางโรงเรียน วินาทีนี้คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าหายนะของหลานสาวคนเดียวที่เป็นแก้วตาดวงใจของฉันอีกแล้ว เรื่องของลิสาต้องสำคัญที่สุด!

09:15 น.

กว่าจะเดินย้อนจากตึกทำงานกลับมาที่วินมอเตอร์ไซค์ กว่าจะนั่งผมปลิวฝ่าแดดเช้าอันแรงกล้ามาถึงโรงเรียนของลิสาแถวย่านสุขุมวิท ตลาดก็วายหมดแล้ว ฉันกวาดตามองก็ไม่เห็นใครที่บริเวณสนามหญ้าหน้าโรงเรียนตามที่คุณครูใหญ่แจ้งมา ทั้งครูและนักเรียนที่มามุงดูเหตุการณ์คงจะแยกย้ายกันเข้าห้องเรียนไปแล้ว

ฉันเดินอย่างเร่งรีบไปยังห้องของครูใหญ่ทันที แน่ละฉันรู้จักดีทิศทางของโรงเรียนนี้ ก็ฉันเพิ่งจะมาที่นี่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเพื่อพายัยลิสามาฝากเข้าเรียน ฉันเสียเงินค่าบำรุงการศึกษาไปไม่น้อยเลยล่ะสำหรับการเอาหลานสาวมาเข้าเรียนกลางคันแบบนี้

เริ่มกังวลใจซะแล้วสิ การต่อยหน้าเพื่อนจนได้รับบาดเจ็บนี่มันใช่เรื่องเล็กๆเสียที่ไหน เอ นี่ยัยลิสาอายุถึงสิบห้าหรือยังนะ ยังเรียกได้ว่าเป็นเยาวชนอยู่หรือเปล่าหนอ แล้วคดีทำร้ายร่างกายแบบนี้ต้องไปเข้าสถานพินิจหรือเปล่าเนี่ย เอ๊ะ หรือว่าต้องเป็นบ้านเมตตากันแน่นะ

และเมื่อฉันไปถึงห้องทำงานของคุณครูใหญ่…

นั่นไง นั่งหน้าตาเบื่อโลกอยู่นั่น ยัยผมหางม้าหลานสาวคนสวยของฉัน แล้วเจ้าเด็กผู้ชายหัวฟ้าโหนกแก้มเขียวปั้ดข้างๆคงเป็นคู่กรณีสินะ แหม หน้าตาร้ายเอาเรื่องไม่เบานะเราน่ะ คะเนจากหัวฟ้าแปร๋นขนาดนั้น เจ้าเด็กนี่กินตำแหน่งตัวจี๊ดประจำโรงเรียนแน่ๆ

ฉันรีบยกมือไหว้สวัสดีคุณครูใหญ่ผู้สูงวัยท่าทางใจดี และหันไปยิ้มอย่างอ่อนหวานที่สุดกับคุณครูวัยสาวซึ่งยืนหน้าตาตกใจอยู่ข้างๆ ต้องทำท่านอบน้อมเข้าไว้เผื่อทุกคนจะเห็นใจ

…ทว่าหลังจากฟังคุณครูใหญ่รายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ฉันก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

"ผู้ปกครองของเด็กชายเรนติดธุระไม่สามารถมาได้ค่ะ และท่านก็ไม่ติดใจถือสาหาความ บอกว่าเป็นเรื่องทะเลาะกันของเด็กๆ แต่ทางโรงเรียนของเราเห็นว่าเด็กหญิงลลิสาทำเกินกว่าเหตุแม้จะเป็นการป้องกันตัวก็ตาม หากถูกแกล้งควรแจ้งทางคุณครูมากกว่าที่จะลงมือตอบโต้โดยพลการ จึงถูกทำโทษให้แยกนั่งห้องเดี่ยว และนั่งทำแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์ทั้งวัน ส่วนเด็กชายเรนนั้นมีความผิดที่ไปแกล้งเด็กหญิงลลิสา และทำไม่ถูกที่ไปแตะเนื้อต้องตัวเด็กหญิงลิสาแม้จะเป็นการดึงผมหางม้าเบาๆ จึงถูกทำโทษให้แยกมานั่งห้องร่วมกับเด็กหญิงลลิสา และนั่งทำแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์ทั้งวันเช่นกัน"

"ขอบคุณมากค่ะคุณครู" ฉันยกมือไหว้คุณครูใหญ่สูงอายุจากใจจริง

แล้วก็พาลให้นึกเห็นใจ คุณครูอาจจะต้องเจอกรณีอย่างนี้จากลิสาอีกนับครั้งไม่ถ้วนนะคะ แล้ววันนี้ลิสาก็เพิ่งจะเข้าเรียนเป็นวันแรก!

"จบธุระกันแล้วใช่ไหมฮะ งั้นผมไปละ" อยู่ๆเด็กชายหัวฟ้าก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย

"แล้วลิสาขอโทษเพื่อนหรือยังคะ"

ฉันรีบหันไปทางหลานสาว ไม่ว่างานนี้ใครจะเริ่มก่อน ลิสาต้องเป็นฝ่ายขอโทษ เอ่อ… เราเป็นเด็กใหม่ ยังไงการผูกมิตรกับเพื่อนๆเอาไว้ก่อนน่าจะดีกว่า

"ทำไมหนูต้องขอโทษคะ หนูไม่ผิด หนูไม่ชอบให้ใครมาแตะต้องตัวของหนูแม้แต่ปลายผม" หลานสาวฉันหันมาทำหน้านิ่งเฉย ส่วนนัยน์ตาก็จ้องเขม็งไปยังเด็กชายผมย้อมสีฟ้าแปร๋นคนนั้น

นั่นไง ว่าแล้ว หลานคนนี้เขาไม่เคยยอมใครง่ายๆ ฉันล่ะภูมิใจในตัวหลานสาวจริงๆ อย่าไปยอมให้ใครมารังแกกันง่ายๆค่ะลูก

"แต่เค้าแค่ดึงหางม้าของลิสาเบาๆเองนะคะ แล้วลิสาก็เล่นใหญ่ไปชกหน้าเค้านะคะ ลิสาทำแบบนี้ได้ยังไงกันคะ"

แต่ฉันก็ทำท่าตกอกตกใจเหมือนเป็นเรื่องใหญ่มากแม้ในใจจะเห็นด้วยกับหลานสาว และอยากจะเล่นงานเจ้าเด็กผมสีฟ้านั่นใจจะขาด นี่บังอาจมาดึงผมหลานสาวสุดที่รักของฉันได้อย่างไร หน้าตาร้ายๆของเด็กนั่นดูไม่น่าไว้ใจเอาซะเลย

ทว่าต่อหน้าคุณครูใหญ่ เราต้องเล่นบทผู้ใหญ่ซึ่งมีจิตใจโอบอ้อมอารีเอาไว้ก่อน ฉันต้องทำเสมือนว่านี่เป็นครั้งแรกที่ลิสาเด็กสาวผู้เรียบร้อยทำอะไรแบบนี้ เอ่อ… ทั้งๆที่ลิสาเคยทำอะไรยิ่งกว่านี้มาเยอะ

"ไม่เป็นไรฮะป้า ผมดึงหางม้าเขา เขาต่อยหน้าผม ถือว่าหายกันฮะ" หน้าตากวนๆนั้นหันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้กับหลานสาวคนสวยของฉัน

ป้าเหรอ? น้าจ้า น้าก็พอนะจ๊ะ

แม้จะขัดใจกับสรรพนามผิดๆที่เจ้าเด็กหัวฟ้าเรียกฉัน แต่เสียงห้าวๆแมนๆที่แสดงความกล้าทำกล้ารับนั่นก็ทำเอาฉันใจอ่อนยวบ มองรอยช้ำนั่นแล้วก็เกิดนึกสงสารขึ้นมา จู่ๆป้าก็หันมาเห็นใจพ่อหนุ่มน้อยซะงั้น

เดี๋ยวค่ะพ่อหนุ่มผมรุงรัง หนูโดนชกหน้านะลูก เบ้าหน้าใสๆหล่อๆภายใต้ทรงผมอันปิดหน้าปิดตานั่น ม่วงคล้ำเขียวคล้ำขนาดนั้น หนูต้องมีโวยวายหน่อยมั้ยคะ

ฉันคิดว่าลิสาปล่อยหมัดไปเต็มเหนี่ยวแน่ๆ ฉันรู้จักหลานสาวดี ลิสาปกป้องตัวเองได้

"กรณีนี้ผิดทั้งคู่นะคะ เราตั้งใจจะให้เด็กทั้งสองขอโทษกันและกันอยู่แล้ว เพียงแต่อยากให้ทำต่อหน้าผู้ปกครอง แต่เมื่อผู้ปกครองของเด็กชายเรนไม่มา ดังนั้นเด็กชายเรนและเด็กหญิงลลิสา ครูขอให้เธอทั้งสองกล่าวขอโทษซึ่งกันและกันจ๊ะ"

คุณครูใหญ่ตัดสินด้วยน้ำเสียงที่ทรงพลังและด้วยความเฉียบขาดทำให้เด็กทั้งคู่ยอมทำตามแต่โดยดี แต่ก็ด้วยความกระฟัดกระเฟียดกระเง้ากระงอดเล็กน้อยตามประสาวัยรุ่น

"จบแล้วจริงๆใช่ไหมฮะ ผมไปนะฮะ จะไปเอาหนังสือแบบฝึกหัดเลข" เด็กหัวฟ้ารีบลุกยืนขึ้น

"เดี๋ยวค่ะน้องเรนคะ คือน้า! น้านะคะ" ฉันจงใจเน้นเสียงตรงคำว่า 'น้า'

"น้าอยากจะขอเบอร์โทรศัพท์คุณพ่อหรือคุณแม่หน่อยได้ไหมคะ น้าอยากจะติดต่อไปขอโทษท่านด้วยตัวเอง" อันที่จริงฉันอยากจะโทรไปวีนโวยวายกับพ่อแม่ของเด็กนี่มากกว่า ว่าเลี้ยงลูกยังไงให้ลูกมาแกล้งเด็กผู้หญิง

"ไม่ต้องหรอกฮะป้า ผมไม่ถือสา ก็แค่เด็กผู้หญิงอารมณ์ร้อนคนนึง" สายตาเรียวนั้นปรายมาทางหลานสาวของฉัน

ยัง ยังมาป้า หนักใจแทนพ่อแม่จริงๆ

แต่นี่หนูอายุสิบสี่สิบห้าจริงๆใช่มั้ย พูดจายิ่งกว่าเด็กมหาลัย

"ผมไปล่ะฮะ สวัสดีฮะ"

แล้วพ่อหนุ่มน้อยมาดคูลก็หันมายกมือไหว้สวัสดีฉัน ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องคุณครูใหญ่ไปง่ายๆเช่นนั้นเอง

แล้วนี่คุณครูเค้าไม่คิดจะห้ามปรามหรือเอ่ยอะไรกันบ้างเลยหรือคะ?

"งั้นดิฉันขอชื่อกับเบอร์โทรศัพท์ของผู้ปกครองของเด็กชายเรนจากทางคุณครูใหญ่ได้ไหมคะ" ฉันหันมาทางคุณครูใหญ่ เจ้าเด็กผมฟ้านั่นไม่ให้ก็ไม่เป็นไร ฉันขอจากทางโรงเรียนเลยก็ได้

"เอ้อ คงจะไม่ได้ค่ะ เพราะถ้าเด็กชายเรนไม่อนุญาต เราก็คงจะให้เบอร์แก่คุณลลินไม่ได้ ถือเป็นการรักษาความเป็นส่วนตัวค่ะ แต่ถ้าคุณลลินอยากคุยกับผู้ปกครองของเด็กชายเรน เราให้เบอร์คุณลลินกับเค้าได้นะคะ แล้วแจ้งว่าคุณอยากคุยด้วย"

เอ่อ… เอ้อ คุณครูโรงเรียนนี้เค้าเคารพสิทธิส่วนบุคคลของเด็กๆกันดีจังเลยนะคะ สมกับเป็นโรงเรียนอินเตอร์สินะคะ ให้อิสระเด็กเต็มที่เลย นี่มันคือโรงเรียนในฝันของยัยลิสาชัดๆ

เอาไงดี จะโทรไปวีนดีไหม หรือรอดูทีท่าก่อนดี ลิสาเพิ่งเข้ามาใหม่ ฉันยังไม่อยากให้หลานสาวเป็นจุดสนใจของครูและนักเรียนโรงเรียนนี้จนเกินไป

"ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าทางโน้นไม่ติดใจอะไร ก็ถือว่าแล้วกันไป" ฉันรีบบอก และก็แอบยิ้มในใจ

เด็กนั่นเจอเข้าไปแบบนี้คงไม่กล้ารังแกลิสาอีก ลิสาทำดีมากลูก

"สรุปว่าเดี๋ยวหนูต้องไปนั่งห้องเดี่ยวเลยใช่ไหมคะคุณครู ห้องนั้นไปทางไหนคะ หนูพร้อมแล้วค่ะ ขอบคุณมากค่ะคุณครูใหญ่"

ลลิสาหลานสาววัยใสผู้เก่งกล้าเข้มแข็งของฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยกมือไหว้คุณครูใหญ่ แล้วก้าวเข้าไปยืนประชิดคุณครูเล็ก

"ไปกันเลยไหมคะจะได้ไม่เสียเวลา คุณครูกรุณาเดินนำไปด้วยค่ะ"

"เอ้อ จ๊ะ ไปก่อนนะคะคุณลลิน สวัสดีค่ะ" คุณครูเล็กดูท่าทางประหม่าเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางจริงจังของเด็กใหม่อย่างลลิสา

หลานสาวหันมาโบกมือร่ำลาฉันก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมคุณครูเล็ก

"เจอกันเย็นนี้ที่บ้านนะคะน้าลิน กลับบ้านดีๆนะคะ แล้วเราค่อยไปคุยกันที่บ้านค่ะ"

คือ… เด็กสมัยนี้เขารับผิดชอบตัวเองกันได้ใช่ไหม

แล้วนี่ฉันมาทำอะไรที่นี่? ฉันมีประโยชน์อัลไล?