webnovel

รักครั้งใหม่ ขอไม่ออกแบบ ...บทส่งท้าย

สนามบินสุวรรณภูมิ…

ทั้งคนที่รักฉันและคนที่ฉันรักต่างพากันมารวมตัวอย่างคับคั่งยามเช้าตรู่ อา พลังแห่งความซึ้งเปล่งกันออกมาแล้ว

ฉันมองไปยังหญิงชราท่าทางยังกระฉับกระเฉงที่ยืนอยู่ตรงนั้น คุณลลนาหญิงผู้มากประสบการณ์บนโลกใบนี้ หญิงผู้ที่รู้จักฉันดียิ่งกว่าตัวฉันเอง

คิดไปถึงบทสนทนาของเราในคืนนั้นที่ฉันบอกแม่ถึงการตัดสินใจขั้นสุดท้าย ตอนนั้นแม่ถอนหายใจยาว

'คงเป็นความผิดของชั้นเองที่เลี้ยงแกมาแบบให้ตัดสินใจด้วยตัวเองตั้งแต่เด็ก'

'แล้วแม่ไม่เสียดายแบรนด์ Lalana ของแม่เหรอคะที่จะไม่มีใครสืบทอดแล้ว' ฉันพูดพลางกลิ้งตัวไปบนเตียงของแม่ มือก็ลูบไล้ไปบนผ้าปูที่นอนเนื้อผ้านิ่มละมุนมือแถมด้วยลวดลายหรูหรา แม่ฉันเขารสนิยมดี ฉันเทียบท่าครึ่งของเขายังไม่ได้เลยมั้ง

'ตอนแรกชั้นก็มีความหวังอยู่ที่ยัยลิตา แต่พอเค้าจากไปชั้นก็เริ่มทำใจ มามีความหวังลึกๆอีกทีก็ตอนเห็นแกเริ่มเบื่องานที่บริษัทคุณเซน แต่แล้วก็ต้องมาปลงอีกรอบตอนที่แกมาเล่าเรื่องตำแหน่งอาจารย์'

คุณลลนาเค้าฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่พี่สาวของฉัน พี่ลิตาเค้าเป็นลูกสาวคนโปรดของแม่ ฉันรู้ตัวดี และแม่ก็เคี่ยวเข็ญลูกสาวคนนั้นในทุกๆเรื่อง ซึ่งทำให้พี่สาวฉันโตมาเป็นผู้หญิงที่เพอร์เฟคไปทุกด้าน ฉันไม่เคยน้อยใจเรื่องที่แม่มีสายตาจับจ้องอยู่ที่พี่คนเดียว เพราะฉันก็จะได้รอดตัวไปน่ะสิจ๊า ฮ่า ฮ่า อิสรเสรีตามใจตัวเองสุดๆ

'แม่ก็รู้จักหนูดีกว่าใคร แล้วทำไมแม่ถึงยังจะมีความหวังอีกล่ะคะ' หลังจากพี่สาวของฉันจากไป แม่ก็หันกลับมามองฉันมากขึ้น

'ยัยลินเอ้ย คนเป็นแม่น่ะ ถ้าเห็นหนทางไหนที่ลูกจะไม่ลำบากก็อยากจะให้ลูกไปทางนั้น ถ้าแกมาต่อยอดกิจการของชั้นมันอาจจะยิ่งไปได้ไกล เพราะทุกอย่างมันเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว แต่ในเมื่อแกไม่ชอบ แกอยากเลือกทางของแกเอง แกก็ต้องกล้าหาญพอที่จะยอมรับและอยู่ให้ได้กับผลของการเลือกนั้น'

แม่ก็คือแม่ แม่ที่ไม่อ่อนหวานเหมือนแม่ในละคร แต่เป็นแม่ที่พร้อมจะสนับสนุนฉันในทุกๆด้านเสมอมา หากชาติหน้ามีจริง ฉันก็อยากจะเกิดมาเป็นลูกของแม่อีก

ไม่บ่อยนักที่เราจะนอนคุยกันทั้งคืนแบบคืนนั้น...

ฉันมองหลังที่เริ่มจะค้อมลงนั้นอย่างใจหาย อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงอย่างสุดหัวใจ แม้แม่จะยังคงแต่งตัวแต่งหน้าอย่างสวยงาม แต่ใครๆก็สังเกตได้ว่าปีนี้แม่ดูแก่ลงมาก ฉันเคยได้ยินมาว่าเส้นกราฟความชราของคนอายุย่างเข้าเจ็ดสิบจะเริ่มพุ่งขึ้นอย่างยั้งไม่อยู่

"แม่รักษาตัวดีๆนะคะ งดปาร์ตี้บ้างก็ได้ แล้วก็เพลาๆไวน์ลงหน่อย ไว้รอหนูกลับมาดื่มไปเพื่อน" ก็คงต้องเตือนๆกันหน่อยอะนะ ฉันกอดแม่แน่น แอบซบหน้าลงกับไหล่แม่เพื่อซ่อนหยดน้ำตา

"สัญญานะคะ ต้องรอกันก่อน อย่าเพิ่งรีบร้อนไปหาพ่อ" อดไม่ได้ที่จะกอดแม่แน่นเข้าอีก คงอีกหลายเดือนกว่าจะได้กลับมากอดกันอย่างนี้อีก

นี่ฉันคิดถูกหรือเปล่านะที่จะทิ้งครอบครัวไปอีกครั้ง…

"โอ๊ย เบาๆยัยลิน" แม่เสียงแหวขึ้นมา อุ่ย เผลอไปหน่อย แม่คงเจ็บจริง แต่ก็ยังไม่วายทำตัวเป็นหญิงแกร่ง "จ้า ไม่ต้องมาห่วงชั้น ชั้นดูแลตัวเองได้ แค่แกทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ให้ดีที่สุดชั้นก็ดีใจมากแล้ว"

แล้วแม่ก็พยายามจะผลักฉันออกห่าง …โอเค งั้นเลิกทำซึ้งก็ได้

"น้าลินไม่ต้องห่วงค่ะ ลิสาจะดูแลคุณยายเป็นอย่างดี" คุณลิสาเขาคงจะอยากพยายามทำให้ฉันสบายใจขึ้น หลานสาวคนสวยที่รักฉันจนยอมเปลี่ยนข้างมาเชียร์น้าเซนแทนเชียร์ลุงก้อง

"ลิสาของน้าคือหลานสาวที่ดีงามที่สุดในโลก" ฉันหันมากอดหลานสาวแทน แก้เขินที่โดนแม่ผลักออก "แล้วน้าว่าที่น้าไม่อยู่นี่น่าจะเป็นการลดภาระของลิสาได้เยอะเนอะ"

ก็ปกติหลานคนนี้เขาเป็นคนดูแลทุกอย่างภายในบ้านอยู่แล้ว ฉันกับแม่แทบไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย วันๆก็เน้นแต่ปาร์ตี้กันทั้งแม่ทั้งลูก

"อือม์ ก็จริงค่ะ น้าลินไม่อยู่ลิสาก็หมดคนที่ต้องดูแลไปอีกหนึ่ง" ลิสายอมรับตรงๆ

ต๊าย! ไปเอานิสัยพูดตรงอย่างนี้มาจากใครเนี่ย

"เรามาแปะมือกันเนอะ พอน้าเรียนจบกลับมา ลิสาก็จบมอปลาย แล้วอาจจะอยากไปเรียนต่อเมืองนอกพอดี" ฉันยังคงกอดหลานสาวอยู่ รักสุดใจ อยากส่งเสริมหลานให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด

"ลิสาคงไม่ไปเรียนเมืองนอกหรอกค่ะ เรียนในไทยนี่แหละค่ะ เป็นห่วงคุณยาย เดี๋ยวไม่มีใครดูแล"

เอ่อ… ก็เพิ่งบอกอยู่ไงจ๊ะว่าน้าจะเป็นดูแลเอง นี่น้าลินไงจ๊ะ ไม่ไว้ใจน้าลินเหรอ

"น้าลินทำใจสบายๆ เรียนให้สนุกๆนะคะ ไม่ต้องมีความกังวลอะไร"

ฉันมองใบหน้าสวยๆนั่นอย่างเต็มตาด้วยความตื้นตัน ตั้งแต่พ่อแม่ของลิสาจากไปเราก็แทบไม่เคยห่างจากกันอีกเลย หลานสาวผู้เข้มแข็ง ผู้เป็นพลังใจและพลังกายของคนทั้งบ้าน

ไม่รู้ว่าลึกๆในใจของลิสากำลังคิดอะไรอยู่ แต่นัยน์ตาคู่สวยนั่นไม่มีอารมณ์อ่อนไหวแม้แต่น้อย คุณยายกับคุณหลานเขาก็คงเหมือนกันนั่นล่ะ สายสตรอง!

"จริงค่ะ ลิซ่าไม่ต้องไปไหนหรอก เก่งอย่างนี้อยู่ที่ไหนก็เก่ง ไม่เหมือนบางคน แหม ริจะเรียนในวัยรัก เฮ้อ แล้วนี่จะรอดไหมน้อ" วิสกี้เพื่อนรักที่เคยหยัดยืนเคียงข้างฉันในทุกสถานการณ์ แต่เรื่องไปเรียนต่อคราวนี้หล่อนกลับไม่ค่อยจะสนับสนุน

"แหม คุณเพื่อนรักคะ นี่ไม่ให้กำลังใจกันเลยน้า" ฉันหันมากอดเพื่อนรักเบาๆ ก่อนจะถอยห่างออกมาแล้วยกข้อศอกขึ้นตั้งฉากกำมือเข้าหาตัวเอง ทำท่าจริงจังเม้มปากทำหน้ามุ่งมั่น "ต้องรอดอยู่แล้วสิจ๊ะ สู้ๆ!"

ว่าแต่… เวลาเค้าบอกกันให้สู้ๆนี่ คือให้สู้กับใครหว่า แบบสู้กะตัวเอง หรือให้สู้ชีวิตงี้เหรอ แล้วถ้าชีวิตสู้กลับล่ะ?

"เอาเหอะ เรื่องนั้นมันคือปัญหาของแก แต่ที่สำคัญกว่าคือชั้นจะไปเยี่ยมแกแน่นอนลิน แค่นึกถึงย่านฟิฟท์อเวนิวสุดปังก็ทนรอไม่ไหวแล้ว" ฉันรู้ว่าวิสกี้เขาอยากไปกระทบไหล่กับเหล่าไฮโซนิวยอร์กแถวนั้นมานานแล้ว

"ส่วนหนูก็จะเตรียมชุดวิ่งเริ่ดๆไว้ไปวิ่งอ่อยผู้ที่เซ็นทรัลปาร์คนะคะซิส" คิตตี้่น้องคนสนิทอีกคนก้าวเข้ามากระซิบเบาๆ

น้องผู้ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนกินเพื่อนเที่ยว(ราตรี) ทั้งอดีตผู้ร่วมงานที่ยังคงยึดมั่นในสไตล์การออกแบบของฉันแม้จะเปลี่ยนหัวแผนกไปแล้ว คิตตี้โทรมาเล่าเรื่องการทำงานกับมินตราให้ฉันฟังอยู่บ่อยๆ แม้จะมีความเห็นที่ไม่ตรงกันอยู่บ่อยครั้ง แต่มินตราก็ยังคงรับฟังและพยายามให้โอกาสน้องสาวคนนี้ของฉัน ฉันดูคนไม่ผิดจริงๆ มินตราเหมาะที่จะมาแทนที่ฉัน

"แล้วถ้าซิสเผอิญเจอหนุ่มหล่อๆทางโน้นก่อน ก็เหลือไว้ให้หนูบ้างนะคะ ส่วนหนุ่มหล่อๆทางนี้หนูดูแลให้เอง" คิตตี้ยังไม่หยุดกระซิบกระซาบ

ฉันเลยต้องหันมากอดคิตตี้บ้าง แล้วกระซิบตอบเบาๆด้วยเสียงเข้ม "เออ ฝากจับตาด้วย เห็นแอบกิ๊กกะสาวไหนที่ไหนเมื่อไหร่ รายงานตรงด่วนเลยนะเว้ยเฮ้ย"

"ไม่ต้องห่วงค่ะซิส เรามีเจ้าตัวลูกชายเป็นพวกอยู่แล้ว ตัวพ่อไม่น่ารอด" คิตตี้กระซิบตอบด้วยเสียงเบามากขึ้น พลางหันไปมองยังผู้ชายคนตัวขาวๆที่กำลังเดินปากแดงอย่างเร่งรีบตรงเข้ามาหาพวกเราพร้อมกับลูกชายของเขา หัวสีฟ้าของเจ้าเด็กน้อยนั่นโดดเด่นกว่าใครในสุวรรณภูมิ

อา… เจ้าเรนน้อยผู้ซึ่งปลุกฮอร์โมนความสามารถในการเป็นแม่ของฉันให้ตื่นขึ้นมา!

เรนคงจะไม่รู้หรอกว่าฉันพยายามมากแค่ไหนที่จะไม่ไปรักลูกของคนอื่นเขา ในเมื่อตอนนั้นยังไม่มีใครรู้ว่าแม่ของเรนคือใคร และคุณเซนก็ไม่ยอมปริปากเรื่องนี้ ใครๆก็สันนิษฐานได้ใช่ไหมว่าแม่ของเจ้าเรนยังมีชีวิตอยู่

หลังออกจากบริษัทมา ฉันพยายามที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวของคุณเซนอีก แม้จะยังคิดถึงและยังห่วงใยเจ้าเรนมากมายเหลือเกิน อยากจะรู้ความเป็นไปของเจ้าวัยรุ่นคนนี้ เรนยังขยันทำงานไหม เข้ากับมินตราได้ดีหรือเปล่า ยังรู้สึกแย่ที่ตัวเองไม่เก่งเลขอยู่หรือไม่ ยังคบเพื่อนต่างโรงเรียนเหมือนเดิมไหม ลืมเรื่องการเมืองไปหรือยัง หรือยิ่งมีอุดมการณ์ที่กล้าแข็งขึ้น

แต่สิ่งที่ฉันทำได้ก็คืออยู่ห่างๆแบบห่วงๆ แล้วก็พยายามสอบถามเรื่องราวของเจ้าเด็กน้อยจากลิสาหรือมินตรา และแอบไปส่องเว็บตูนที่เจ้าเรนสิงอยู่ หรือไม่ก็คอยติดตามเฟซบุ๊คของเจ้าเรนเป็นประจำ นี่ฉันถึงกับแอบสมัครแอคหลุมขึ้นมาเพื่อไปตามกดไลค์ให้เจ้าหนุ่มน้อยในทุกโพสต์เลยนะ

"ผมนึกว่าจะมาไม่ทันแล้ว พ่อเค้ามัวแต่แต่งตัวหล่อ แถมยังขับรถหลงทางอีก" เจ้าหัวฟ้ารีบฟ้องทันทีเมื่อมาถึง ส่วนพ่อของเขาดูหน้าตาเลิ่กลั่ก แหม วันนี้มาด้วยเสื้อสีชมพูซะด้วย เสื้อเชิ้ตผ้าลินินตัวที่ใส่ไปงานเลี้ยงรุ่นกับฉันนั่นล่ะค่ะ

แล้วพ่อลูกทั้งคู่ก็หันไปสวัสดีแม่ของฉันและทักทายคนอื่นๆ ก่อนที่เจ้าเรนน้อยจะก้าวเข้ามาโอบไหล่ทั้งสองข้างของฉันหลวมๆแล้วพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ

"โชคดีนะฮะป้า แล้วก็อย่าไปแกล้งเด็กฝรั่งเขานะฮะ พวกนั้นมันตัวโต ป้าตัวผอมนิดเดียว เดี๋ยวจะสู้พวกเขาไม่ได้ อะไรยอมได้ก็ยอมไปก่อน อย่าไปหาเรื่องเขา เราอายุมากแล้วกระดูกมันเปราะง่าย คงต้องระวังรักษาร่างกายหน่อยฮะ"

อ่อ นี่คือคำร่ำลาผสมความเป็นห่วงเป็นใยรึ? แล้วมุกสูงวัยนี่เลียนแบบผู้เป็นพ่อมาล่ะสิ

ฉันอดไม่ได้ที่จะเขย่งตัวเอื้อมมือไปขยี้หัวสีฟ้านั่นด้วยความหมั่นไส้ แปลกที่คราวนี้เจ้าเรนไม่ยักจะเบี่ยงหัวหลบเหมือนเคย คงคิดได้ล่ะสิว่าเดี๋ยวก็จะไม่มีคนมาขยี้หัวเล่นอย่างนี้อีกนาน ฉันนึกจินตนาการไปว่าหากเจ้าเรนต้องเรียนรด.ตัดผมทรงหัวเกรียน หน้าหล่อๆนั่นจะหล่อเหมือนเดิมไหม จำได้ว่าเราเคยคุยถึงเรื่องนี้กันครั้งหนึ่ง

'ผมไม่เรียนหรอกฮะ รด.น่ะ เสียเวลาวาดการ์ตูนเปล่าๆ เดี๋ยวพอถึงเวลาก็ค่อยไปเกณฑ์ทหารเอา' เด็กน้อยตัดสินใจง่ายๆ

'อ้าว นั่นไม่เสียเวลากว่าเหรอ เป็นปีเลยนะ' ฉันแย้งไป "แล้วนี่พ่อกับปู่รู้หรือเปล่าว่าเรนคิดแบบนี้"

'พ่อเขาก็เห็นด้วย ผมบอกเขาว่าผมอยากจะรู้เหมือนกันว่าทหารเกณฑ์มีไว้ทำอะไร มีไว้รบกับหญ้า ฆ่ากับมด ตบกับลาซาด้าจริงหรือเปล่า'

ต๊าย ปากคอเราะร้ายจริงเชียว

'แล้วอีกอย่าง ใครจะไปรู้ เค้าอาจจะยกเลิกการเกณฑ์ทหารในเร็วๆนี้ก็ได้นะฮะ เรื่องนี้น่าจะปล่อยให้เป็นทหารมืออาชีพเขาทำดีกว่าป่าวฮะ ถ้าสวัสดิการดีๆคนน่าจะอยากสมัครเป็นทหารเยอะนะฮะ'

อดยิ้มไม่ได้เมื่อมองหัวฟ้าๆที่อยู่ตรงหน้า เด็กสมัยนี้เขาคิดเองได้อะนะ

"เรนก็อย่าป่วนคุณพ่อกะคุณปู่กะคุณพร้าวให้มากนักนะจ๊ะ น้ารู้นะว่าจริงๆแล้วเราอะเป็นเด็กดี" พูดไปก็อดน้ำตาคลอไม่ได้ คือหลังจากที่ฉันได้รู้เรื่องราวทั้งหมด จากที่รู้สึกเอ็นดูเจ้าเด็กน้อยมากอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ตอนนี้ก็บวกกับความรู้สึกสงสารเห็นอกเห็นใจเข้าไปด้วย

"ป้าก็รีบๆเรียนนะฮะ เรียนจบก็รีบๆกลับมานะฮะ อย่าเถลไถล"

"แน้! รู้นะว่าแอบคิดถึงกัน แต่อย่ามาคิดถึงคนแก่เลยจ้า เอาเวลาไปคิดถึงสาวๆดีกว่ามั้ง" ฉันทำเป็นหยอกเอินแบบขำๆกลับเพราะแอบเห็นดวงตาคู่คมนั่นมีน้ำตารื้นขึ้นมานิดๆ ฉันพยายามจะไม่ดึงเข้าโหมดซึ้ง อยากคีพความคูลให้วัยรุ่นเค้า รู้ว่าเรนเป็นหนุ่มน้อยสายอ่อนไหวที่ไม่กล้าแสดงออก

และก็อย่างที่คิด เจ้าเด็กวัยคูลนั่นรีบเบี่ยงเบนความรู้สึกทันที

"ป๊าว! ผมแค่ห่วงว่าใครบางคนเขาจะแอบใจร้อน ทนรอป้าไม่ไหว" ตาคมๆนั่นหรี่มองไปยังผู้ชายตัวสูงที่ยืนยิ้มกริ่มปากแดงอยู่ข้างๆ

ฉันหันไปยิ้มหวานให้กับคุณพ่อหนุ่มหล่อของเจ้าเด็กน้อย ผู้ชายเพอร์เฟคที่บ้างาน ขี้งอน ชอบตัดบทเข้าสู่โหมดเย็นชา ร้องเพลงไม่เป็นสับปะรด ไร้ความสามารถด้านศิลปะ แถมขี้โม้ และมีอดีตอันร้ายกาจ

แต่พ่อหนุ่มตาตี่คนนี้ล่ะที่เปิดใจกว้างยอมรับความเป็นตัวฉัน และพร้อมจะสนับสนุนฉันในทุกๆการตัดสินใจ

ฉันรู้ว่าคนเราไม่ควรแคร์อดีต แต่ฉันก็ต้องการเวลาบ้างที่จะต้องขอทบทวนจิตใจของตัวเอง ฉันอยากจะรักคุณเซนโดยไม่มีเงื่อนไข อยากจะรักโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ ฉันไม่แน่ใจนักว่าเวลาจะช่วยได้ แต่ฉันก็อยากลองพิสูจน์ดู…

หลังจากร่ำลากันเรียบร้อย วิสกี้เพื่อนรักของฉันก็พาทุกคนกลับโดยมีเจ้าเรนขอติดรถไปโรงเรียนด้วย เปิดโอกาสให้คุณเซนได้เดินมาส่งฉันตามลำพังที่บันไดเลื่อนทางที่จะขึ้นไปยังประตูทางออก

"อย่าลืมนะครับ ผมรอได้ สบายๆ ไม่รีบ" ตาตี่ๆนั่นมองฉันอย่างท้าทายหลังจากโน้มตัวมากระซิบเบาๆที่ข้างหูของฉัน

ฉันเงยหน้าขึ้นจ้องมองคนปากแดงตรงหน้าด้วยแววตาหยาดเยิ้ม แม้จะไม่อยากมั่นใจอะไร แต่ก็มีลางสังหรณ์ว่าเขาจะพูดจริง แม้คุณเซนจะยังมีนิสัยช่างหยอกล้อฉันในเรื่องของวัยวุฒิ แต่สำหรับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเขา ฉันรู้ว่าคุณเซนเป็นคนพูดจริงทำจริงเสมอ

เห็นปากแดงๆนี่แล้วก็…

อยากจะดึงตัวผู้ชายคนนี้เข้ามากอดแล้วก็จูบลาแบบอาลัยอาวรณ์อีกซักห้ารอบเหลือเกิน (แม้ช่วงเวลาสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมาหลังจากได้ปรับความเข้าใจกัน ฉันและคุณเซนก็หาโอกาสร่ำลากันอย่างวาบหวามบนเตียงไปหลายรอบแล้ว)

อา ความรู้สึกก่อนจะจากกันนี่มันช่างโรแมนติกเหลือเกิน

"อ้อ แล้วก็อย่าเกรเรนะครับ ตั้งใจเรียนให้สมกับที่อุตส่าห์ลาออกจากบริษัทของเรา" อดีตเจ้านายของฉันพูดยิ้มๆ

"คุณเซนก็เหมือนกัน อยู่ทางนี้อย่าแอบกินมาม่าคนเดียวบ่อยๆนะคะ เดี๋ยวจะขาดสารอาหารเอา" ฉันแสดงความเป็นห่วงอย่างอ่อนโยนต่อสุขภาพของเขา แต่เหมือนเขาจะไม่สนใจนัก

"เอาจริงนะ นี่มาถึงตอนนี้ผมยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลินจะลาออกจากบริษัทเราง่ายๆแบบนี้"

"แหม ที่ลาออกน่ะเพราะรู้ตัวเองไงคะว่ามันไม่ใช่เวลาของเราแล้ว เราอาจจะเหมาะกับบางที่ในบางเวลาแค่นั้น และเมื่อเวลานั้นมาถึงเราก็ต้องถอยออกมาเพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เค้าได้โชว์ฝีมือนะคะ" ฉันทำท่าเป็นผู้ใหญ่ใจดีสุขุมนุ่มลึก

"นี่ถ้าคนในรัฐบาลของเราคิดได้แบบลิน ประเทศเราคงไปไกลกว่านี้อีกเยอะนะครับ"

เอ่อ… เดี๋ยวนะคะ นี่มาส่งกันที่สนามบิน บรรยากาศมันต้องเป็นแบบโรแมนติกๆไหมคะ นี่จะโยงเข้าเรื่องการเมืองเพื่อ?

แต่โอเค ฉันเข้าใจคุณเซนดี รู้ว่าเมื่อก่อนคุณเซนคงไม่เคยสนใจเรื่องนี้เพราะมุ่งทำแต่งานของตัวเอง แต่เมื่อมีลูกชายวัยใสออกโรงใส่ใจต่อสู้เพื่อบ้านเมือง ในฐานะพ่อก็คงต้องสนับสนุนลูก ฉันเห็นด้วยกับคุณเซนเรื่องนี้ รู้สึกชื่นชมเด็กๆสมัยนี้มาก ช่างกล้าหาญเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงกันในหลายๆเรื่อง ซึ่งแม้จะถูกผู้ใหญ่หลายคนตำหนิถึงความห้าวห่าม แต่ฉันว่าอายุแค่นั้นเด็กเขาก็ทำได้เท่าที่เขาคิด แทนที่จะไปคาดหวังให้เขาต้องทำอย่างที่เราคิด สู้ปล่อยเขาให้คิดเองทำเองตามวัยไม่ดีกว่าหรือ เราเป็นผู้ใหญ่มีหน้าที่แค่คอยเดินเคียงข้างเขา และช่วยคอยประคับประคองยามเขาล้ม ก็แค่นั้น

…แล้วฉันก็เผลอโยงตัวเองเข้าโหมดการเมืองไปกับคุณเซนจนได้

"ลินไม่อยากเป็นพวกคนชราเห็นแก่ตัวหวงอำนาจแบบที่เด็กๆเขาแช่งชักหักกระดูกกันอยู่ทุกวันน่ะค่ะ" ฉันหัวเราะ "อยากชราภาพตายไปแบบที่เด็กๆเค้าสรรเสริญมากกว่าค่ะ"

"นั่นสิครับ บางทีผมเองก็แอบกกลัวอยู่ว่าเราจะเป็นผู้ใหญ่แบบที่เด็กมันไม่ต้องการหรือเปล่า" คนพูดถอนหายใจ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

"แต่ถึงใครจะไม่ต้องการเรา แต่ผมก็ต้องการคุณ"

"…"

เฮ้ย! จากโหมดการเมืองโยงมาโหมดโรแมนติกเฉยเว้ยเฮ้ย! แล้วโยงมาด้วยมุขสามบาทห้าบาทเนี่ยนะ???

เอ่อ… ไปต่อไม่ถูกเลย

"แล้วเอามาด้วยหรือเปล่าครับ ที่ผมทำให้อะ" พ่อหนุ่มช่างโยงทวงต่อด้วยสายตาหวานหยาดเยิ้ม

"แหม เคลมเก่งนะเราน่ะ เจ้าเรนแอบเฉลยก่อนแล้วล่ะค่ะว่าเค้าเป็นคนทำให้เอง" และฉันก็เริ่มตั้งตัวได้

"แต่ไอเดียเป็นของผมนะ จินตนาการสำคัญกว่าความรู้" ว่าไปนั่น ไปเรื่อยเปื่อยเลยพ่อคุณ ไปเอานิสัยแบบนี้มาจากไหนกันนะ

ฉันเปิดกระเป๋าสะพายหยิบการ์ดใบเล็กออกมา กระดาษขาวที่มีเศษผ้าตัดแปะเป็นรูปผู้หญิงทัดดอกชบาและใส่โสร่งแบบบาหลี น่ารักเชียว และที่สำคัญคือเศษผ้าพวกนี้เป็นลายผ้าที่ฉันออกแบบเอง

ในการ์ดใบนั้นมีลายมือโย้เย้เขียนตัวโตๆเอาไว้ว่า

'เก็บการ์ดนี้ไว้ใต้หมอนนะครับ จะได้นอนฝันดีทุกคืน… รักครับ… จาก เซน'

ซึ้งอ่า...

"ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ผมจะได้ไปหานะครับ ไม่อยากรับปาก แต่เจ้าเรนเกริ่นมาแล้วว่าปิดเทอมคราวหน้าจะพาปู่พาพ่อและพาคุณมะพร้าวไป Metropolitan Museum of Art กับ Museum of Modern Art" คุณเซนเขาหมายถึงสองมิวเซียมชื่อดังของเมืองนิวยอร์กที่ใครๆก็อยากไปเยือน เรื่องการจำชื่อเก่งนี่ไม่มีใครเกินคุณปากแดงคนนี้แน่นอน

แล้วคนความจำดีก็ทำท่าลับๆล่อๆ หน้าตากรุ้มกริ่มหันซ้ายหันขวา แล้วก็เอามือป้องปากก้มลงมากระซิบเบาๆที่ข้างหูของฉัน "แต่ผมอาจจะแอบหนีไปหาลินก่อน ไม่อยากมีก้างขวางคอ ลินอย่าบอกเจ้าเรนนะ"

"ได้ค่ะ เดี๋ยวเราแอบไปทัวร์อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพกันสองคนก่อน ไว้แก๊งปู่หลานกับคุณมะพร้าวไปเมื่อไหร่เราค่อยพาพวกเค้าไปอีกที" ฉันทำท่าลับๆล่อๆตอบกลับเช่นกัน

รู้ดีอยู่หรอกว่าคนงานยุ่งอย่างเขาคงจะไม่มีเวลามาคอยเฝ้าตามติดฉัน เราต่างคนต่างมีหน้าที่ที่จะต้องทำตามสิ่งที่ตัวเองได้เลือกแล้ว แล้วก็ฉันคงคิดถึงคุณเซนมากๆ แต่ฉันก็คงผ่านมันไปได้

"เลือกที่จะรัก ก็พร้อมที่จะรอ… คนไกลอย่างพึ่งท้อ คนรอจะไม่ทิ้ง…"

แล้วคุณเซนก็ปิดท้ายการร่ำลาอันแสนจะโรแมนติกในวันนั้นด้วยแคปชั่นที่เอ่อ… เฮ้อ… ไปก๊อปมาจากไหนคะเนี่ย?

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ฉันคิดว่าว่าคนปากแดงคนนี้พูดจริงทำจริงแน่นอน และถึงแม้ท้ายสุดแล้วเขาจะไม่รอ ฉันก็จะไม่โทษเขา เพราะการห่างจากกันในครั้งนี้มันคือการตัดสินใจเพื่อตัวของฉันเอง แล้วฉันจะไปคาดหวังคนอื่นได้อย่างไรกัน

รักครั้งแรกของฉันจบลงตรงที่ฉันจากก้องไปเรียนต่อ ในครั้งนั้นฉันมั่นใจหนักหนาว่าก้องจะต้องรอ แต่ก้องก็ไม่รอ…

ส่วนรักครั้งใหม่นี้ ฉันก็กำลังจะทำเหมือนเดิม ฉันกำลังจะจากคุณเซนไปเรียนต่อ ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่ามันจะจบลงเหมือนเดิมหรือไม่

รู้แต่ว่า… รักครั้งใหม่นี้ ฉันจะไม่ออกแบบมันอีกต่อไปแล้ว

ตอนนี้เราทุกคนต่างก็มีชีวิตอยู่ในโลกสมัยใหม่ โลกที่มันหมุนเร็วเกินจินตนาการและอะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ เราไม่สามารถรับประกันอนาคตได้เลย ไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นกับอะไรได้อีกต่อไปแล้ว ทำได้แค่พยายามปรับตัวปรับใจไปตามสถานการณ์

ช่วงเวลาที่ผ่านมาที่ฉันและคุณเซนต่างเคยห่างหายจากกันไปโดยไม่บอกกล่าวกันและกัน มันพิสูจน์ได้แล้วว่าเราทั้งคู่ต่างมองความรักด้วยสายตาแบบเดียวกัน คือไม่พร้อมที่จะเสียสละทั้งชีวิตเพื่อกันและกัน ต่างคนต่างก็มีชีวิตของตัวเอง ซึ่งฉันก็ไม่รู้จะเรียกได้ว่ามันคือความเห็นแก่ตัวของเราทั้งคู่หรือเปล่า

แต่ฉันคิดว่าหากเราต่างต้องการความรักที่มีอิสระในตัวเอง เราก็ควรเข้มแข็งพอที่จะปล่อยให้มันดำเนินไปตามจังหวะและสถานการณ์ที่เหมาะสมตรงหน้า

ความรักที่ไม่ต้องการการออกแบบอาจเหมาะกับฉันและคุณเซนที่สุดแล้ว…

---------------------------------------------------------จบ--------------------------------------------------