เย็นวันนั้นผมกลับถึงบ้านประมาณหกโมงครึ่ง วันนี้ผมไม่ได้เข้าออฟฟิศตอนเย็นเพราะไปเตะฟุตบอลกับเพื่อนที่โรงเรียนมา ผมว่าช่วงหลังๆนี่ผมออกกำลังกายน้อยไปหน่อย มันมีเรื่องอื่นๆให้ต้องคิดต้องทำเยอะแยะ โลกของผมกว้างขึ้นหลังจากที่ได้เข้าไปช่วยงานพ่อในบริษัท
แต่ขณะที่กำลังจอดจักรยานในโรงรถข้างบ้านผมก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นประตูรั้วค่อยๆเปิดออกอีกที แล้วรถที่มีพ่อกับปู่เขานั่งกลับมาด้วยกันก็ค่อยๆคืบคลานเข้ามาในรั้วบ้าน จนเมื่อรถเข้ามาในโรงจอดรถ ผมถึงเห็นว่าเขาสองคนหน้าตาเครียดกันเชียว คงปะทะคารมกันมาในรถมั้ง พ่อผมเขาชอบกวนประสาทปู่ ก็เหมือนกับที่ผมชอบกวนประสาทพ่อนั่นแหละ
"อ้าว พ่อทำไมปล่อยให้ปู่ขับรถให้นั่งล่ะฮะ" ผมถามด้วยความสงสัยตอนพ่อเปิดประตูรถลงมา
นี่พ่อใช้จักรยานจนขับรถไม่เป็นแล้วเหรอ แล้วนี่ปู่ยังขับรถเป็นอยู่เหรอเนี่ย ทุกทีคุณมะพร้าวจะเป็นคนขับรถให้ปู่ไปไหนมาไหน หรือไม่ถ้าจะไปไกลๆหน่อย ก็จะโทรตามลุงสมานคนขับรถของบริษัทมาขับให้บ้างเป็นครั้งคราว นี่คือข้อดีของการที่บ้านเราอยู่ใกล้บริษัท แต่ก่อนลุงสมานเป็นคนขับรถประจำตัวของปู่ พอปู่เกษียณออกมาอยู่บ้าน ลุงสมานก็ไปขับรถให้พ่อ แต่พ่อเขาให้ลุงสมานขับรถเฉพาะตอนไปโรงงานหรือไปหาลูกค้า ปกติพ่อเขาชอบขี่จักรยานไปทำงานมากกว่า แต่วันนี้ทำไมพ่อกับปู่เขานั่งรถกลับมาด้วยกัน
"แล้วเป็นไงฮะ ปู่ขับรถนิ่มป่าว" ผมแซวปู่โดยการถามพ่อ
"เอ้อ กลับมาแล้วเหรอเรา" แต่พ่อกลับมองผมแล้วทำหน้าแปลกๆแฮะ
ผมหันไปมองที่นั่งฝั่งคนขับก็เห็นปู่กำลังเอื้อมมือไปหยิบถุงขนมที่เบาะหลังของรถลงมาด้วย มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นขนมจากร้านไหน
นี่ปู่ไปซื้อขนมร้านคุณฝนมาเหรอเนี่ย หวังว่าคุณฝนจะไม่รู้นะผู้ชายแก่ๆคนนี้เป็นปู่ของผม นี่ผมก็หวั่นๆตั้งแต่ป้าลินเขาไปซื้อขนมจากร้านนี้มาฝากพวกเราแล้ว ผมกลัวทุกๆคนจะรู้ว่าผมรู้จักกับคุณฝน แล้วทุกคนก็จะรู้ว่าขนมที่กินกันอยู่คือฝีมือแม่เล็ก ซึ่งเป็นแม่ของไอ้คิวเพื่อนนอกโรงเรียนของผม
"ว่าไงเรา เอ้า นี่ ปู่ซื้อขนมมาฝาก"
แม้จะยื่นถุงขนมให้ผม แต่ปู่ก็หน้าตาซีเรียสเชียว แล้วก็เหมือนปู่จะไม่กล้าสบตาผมยังไงไม่รู้
"ทำไมพ่อกะปู่กลับมาพร้อมกันได้ฮะ แล้วพ่อทิ้งจักรยานไว้ที่ทำงานเหรอ"
เมื่อเช้าผมกับพ่อเราขี่จักรยานออกไปจากบ้านพร้อมกัน ความจริงแล้วพ่อต้องขี่ไปอีกทางเพื่อไปที่บริษัท แต่เขาก็ขี่อ้อมไปส่งผมที่โรงเรียนก่อน เขาบอกว่าอยากออกกำลังกายบ้าง ช่วงนี้พ่อเขาดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ซึ่งต่างจากก่อนหน้านี้ตอนที่กลับจากบาหลีใหม่ๆ ตอนนั้นเขาดูหงุดหงิดแล้วก็ซึมๆ ผมก็งงๆ นึกว่าเขาคงกลุ้มใจเรื่องหนีงานไปเที่ยวแล้วต้องกลับมาตามเก็บงาน แต่อยู่ๆเขาก็กลับอารมณ์ดีขึ้นมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ก็หลังจากป้าลินเอาขนมร้านคุณฝนมาฝากให้บ้านเราอะนะ
ผมรู้ดีว่าพ่อกับป้าลินกำลังกุ๊กกิ๊กกันอยู่ นี่ก็กำลังรอดูว่าเมื่อไหร่เขาสองคนจะเฉลยให้โลกรู้ ทำไมต้องทำปิดบังลับๆล่อๆ หรือมันจะสนุกตื่นเต้นดีที่ได้หลบๆซ่อนๆ ความรู้สึกคงเหมือนผมที่ได้ปิดบังปู่ว่าผมคบกับไอ้ไอซ์กะไอ้คิวล่ะมั้ง
แต่ช่างเหอะ เรื่องของพ่อ ไม่ใช่เรื่องของผม ช่วงนี้ผมกำลังยุ่งกับเรื่องที่สำคัญกว่าเรื่องความรักหวานแหววอะไรพวกนี้ เป็นเรื่องที่เป็นความลับสุดยอดที่แม้แต่ไอ้คิวกับไอ้ไอซ์ผมก็ไม่ได้เล่าให้พวกมันฟัง
พูดถึงไอ้สองตัวนี่ ผมชักคิดถึงพวกมันแฮะ หลังๆผมยุ่งมากจนแทบไม่ค่อยได้นัดเจอพวกมัน อีกอย่าง ผมมีเพื่อนรุ่นพี่คนใหม่อย่างพี่เอกซึ่งน่าสนใจกว่าไอ้สองตัวนั่นเยอะ คบกับเด็กมหาลัยก็ย่อมเท่กว่าคบกับเด็กมอปลายด้วยกันอะนะ
"เรารีบกินข้าวเย็นกันเถอะ พ่อหิวแล้ว คุณมะพร้าวครับตั้งโต๊ะเลยครับ" พ่อเดินนำหน้าเข้าบ้าน ตะโกนร้องหาคุณมะพร้าว ไม่ตอบคำถามผมเรื่องจักรยาน
"แล้วทำไมปู่ขับรถกลับมาได้ล่ะฮะ ปู่ไปไหนมาเหรอฮะ" โอเค ในเมื่อพ่อไม่ตอบผม ผมก็หันมาถามปู่ก็ได้
"ใช่ ใช่ ปู่ก็หิวแล้ว รีบกินข้าวเย็นกันดีกว่า" ปู่เขาไม่ยอมตอบคำถามผม แล้วก็รีบตามพ่อเข้าไปในบ้านเช่นกัน
อิหยังวะเลยฮะ คนแก่สองคนนี่เค้าเป็นอะไรกันฮะ ท่าทางพวกเขาเลิ่กๆลั่กๆกันนะฮะ
โอเค กินข้าวก็กินข้าว ผมก็หิวแล้วเหมือนกัน ใช้พลังงานเตะบอลไปเยอะ
แต่ปรากฏว่าเป็นผมคนเดียวที่กินข้าวเยอะกว่าใคร คนแก่ทั้งสองคนที่บอกว่าหิวกันก็ไม่เห็นจะกินเยอะเลยอะ บรรยากาศระหว่างกินข้าวมื้อนี้น่าอึดอัดไงไม่รู้ พ่อกับปู่ดูจะเงียบเป็นพิเศษ เขาสองคนมองตากันเป็นระยะๆ แล้วก็พากันหันมามองผมบ้าง แล้วก็ถอนหายใจกันเป็นช่วงๆ ผมถามอะไรพวกเขาก็เหมือนถามคำตอบคำ
คือปกติเวลาเรากินข้าวกันก็ไม่ใช่ว่าเราจะแย่งกันพูด แต่มันก็ไม่ถึงขนาดแย่งกันเงียบอย่างวันนี้ อย่างน้อยพ่อเขาจะเป็นคนเริ่มต้นหาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาแซวปู่ แต่วันนี้พอเจอโหมดเดตแอร์อย่างนี้เข้าไป ผมก็คิดถึงลิสาจับใจ ลิสาไม่เคยปล่อยให้การสนทนาในวงใดๆหรือในกลุ่มใดๆมีโหมดเดตแอร์
หรือเป็นเพราะกับข้าวไม่อร่อย?
วันนี้คุณมะพร้าวเขาอาจจะไม่ได้ดูควบคุมตอนแม่บ้านทำกับข้าว เพราะเขาไม่ค่อยสบาย เห็นว่าความดันขึ้น เขาก็เลยขอตัวขึ้นไปนอนบนห้อง ไม่มาร่วมวงข้าวเย็นกับเรา เดี๋ยวกินข้าวเสร็จผมคงต้องขึ้นไปดูเขาสักหน่อย หลังๆนี้เหมือนคุณมะพร้าวเขาจะความดันขึ้นบ่อยๆ
"วันนี้เล่นฟุตบอลสนุกไหม"
แล้วในที่สุดพ่อก็ถามคำถามกร่อยๆออกมาตอนที่เรากำลังกินผลไม้ตบท้ายมื้ออาหารกัน
"ชนะไปแปดศูนย์อะฮะ เลยไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ วันนี้เจอทีมกาก" ผมตอบพ่อไปตามตรง ไม่ได้คิดจะโอ้อวด แต่มันน่าเบื่อจริงๆเวลาเจอกะทีมกากๆ
"ขี้โม้ว่ะเรา" พ่อยิ้มน้อยๆ
ดูเขาไม่ค่อยเจริญอาหารจริงๆแฮะ ปกติพ่อเขาชอบกินผลไม้มากๆ แต่วันนี้แทบไม่แตะเลย ท่าทางเขาเหมือนคิดอะไรในใจอยู่ตลอดเวลา หรือว่าวันนี้ที่ทำงานเขาจะทะเลาะกับป้าลินวะ หลังๆมานี่ผมจับทางเขาได้แล้วว่า ทุกครั้งที่เขาดูหงอยๆซึมๆมันมีสาเหตุมาจากป้าลินทุกครั้ง
"ไม่รู้ดิฮะ ก็คนมันเกิดมาเก่ง บางทีมันก็จะน่าเบื่อหน่อยๆเวลาเจอกะพวกกากๆ" ผมยักไหล่ ผมรู้ว่ามันดูน่าหมั่นไส้ แต่ผมก็ชอบทำต่อหน้าพ่อ
"ชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อมากใช่ไหมเลยต้องหาอะไรท้าทายทำ" อยู่ๆปู่ก็เอ่ยขึ้นมาลอยๆ
อ่าว ทำไมวันนี้ปู่มาเวย์ซีเรียส อะไรของปู่อะฮะ
"คือไรฮะ ท้าทายไรฮะ" ผมยังงงๆ ปู่เขาหมายถึงใคร หมายถึงผมเหรอ หรือหมายถึงพ่อ
"ก็เรื่อง…" แต่ปู่ยังพูดทันไม่จบก็โดนพ่อเบรกขึ้นมาก่อน
"พ่อ เราตกลงกันแล้วไงครับ เดี๋ยวผมคุยเรื่องนี้กับลูกเอง" พ่อเขาหันไปทำเสียงเข้มกับปู่
มันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย เขาสองคนไปตกลงอะไรกัน มันเกี่ยวกับผมหรือเปล่า หรือว่า…
พ่อจะแต่งงานกับป้าลิน!
เฮ้ย! ทำไมมันรวดเร็ว เขาสองคนก็ไม่ใช่หนุ่มสาวกันแล้ว ทำไมต้องรีบร้อน
"นี่ผมกำลังจะมีแม่เลี้ยงเหรอฮะ" ผมโพล่งขึ้นมา
แล้วก็เห็นคนแก่สองคนเขาพากันอึ้งกันไป
"ไม่ต้องกลัวผมน้อยใจหรอกฮะ ผมโตแล้ว พ่ออยากมีแฟนก็มีไปเหอะ" ผมทำเสียงเป็นผู้ใหญ่
มันใช่เรื่องไหมที่จะต้องมาคอยงอนพ่อแม่เวลาที่เขาอยากจะมีแฟนใหม่ ดีเสียอีก เขาจะได้มีคนมาดูแลกันและกัน พวกเขาจะได้ไม่เหงา คนเป็นลูกก็จะได้ไม่ต้องมาคอยดูแลเขามากมาย นี่ผมก็ยุให้ปู่หาย่าใหม่ตลอด แต่ปู่ก็ไม่ยอม
"บ้าเหรอ คิดไรไปไกล" แม้พ่อจะทำเสียงเข้ม แต่ผมก็เห็นโหนกแก้มขาวๆนั่นแดงขึ้นมา
"พอๆ ก่อนที่จะไปกันใหญ่ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว พ่อว่าเราพูดเรื่องนี้กันตรงนี้เลยก็ดี" คุณราเชนทร์เขาทำเสียงปรามพ่อขึ้นมา
"แต่พ่อครับ…" คุณเซนเขามีท่าทางสับสน ตอนนี้โหนกแก้มแดงๆนั่นหายแดงแล้ว กลายเป็นคิ้วที่ขมวดขึ้นมาแทน
"มีเรื่องไรกันฮะ พูดกันซะทีสิฮะ" ผมเองเริ่มชักจะหมดความอดทนกับอาการแปลกๆของคนทั้งคู่ละ
"คือ…" แต่คุณเซนเขายังอึกอัก
"คืองี้ วันนี้ตำรวจเขาไปที่บริษัทของเรา" คุณราเชนทร์เขาเลยเป็นคนเริ่มเอง
"แล้วไงฮะ"
"ก็…" แต่แล้วคุณราเชนทร์เขาก็เป็นฝ่ายอึกอักบ้าง
อะไรกันวะเนี่ยคนแก่สองคนนี้ ปกติเวลาผมเห็นพ่อกับปู่อยู่ที่ทำงาน เขาสองคนจะพูดจาชัดเจนเด็ดขาดมาก โดยเฉพาะพ่อ เขาไม่เคยสะดุดเลยเวลาพูดกับพนักงาน ความคิดคุณเซนเขาแล่นไว แล้วเขาก็พูดจาสั่งงานเคลียร์ตลอด ปู่อาจจะพูดน้อยหน่อย แต่ทั้งพ่อและปู่เขาจะมาดนิ่งกันมาก ไม่เคยมีหลุดหรือสะดุดกึกกัก
แล้ววันนี้พวกเขาเป็นอะไรกัน มาเขินอะไรผม
"คืองี้ รอแป๊บ" ว่าแล้วคุณเซนเขาก็ลุกจากเก้าอี้เดินไปที่โซฟาที่เขาวางเป้ของเขาไว้ เปิดเป้หยิบแฟ้มสีทึมๆออกมาจากในเป้ แล้วก็เดินกลับมาที่โต๊ะกินข้าว เขาเปิดแฟ้มกระดาษนั่นออก แล้วหยิบกระดาษสี่ห้าแผ่นออกมาวางแผ่บนโต๊ะ
เชี่ย! นี่มัน…
"เนี่ย คุณตำรวจเค้ามาหาเราก็เพราะเรื่องนี้" พ่อผมเริ่มพูดช้าๆ หน้าตาดูวิตกกังวลนิดๆ เหมือนจะระวังคำพูดมาก
"แล้ว?" ผมยักไหล่ พยายามทำหน้านิ่งทั้งๆที่ในใจก็ตุบๆอะนะ แม่ง เรื่องถึงตำรวจเลยเหรอว้า
"จะแล้วอะไร เค้าก็หาว่าเราหัวรุนแรง เป็นภัยกับความมั่นคงของรัฐน่ะสิ" คราวนี้เป็นปู่ที่ทำเสียงเข้มขึ้นมาโดยที่เขาไม่ต้องหยิบกระดาษพวกนั้นขึ้นมาดู
นี่แสดงว่าปู่กับพ่อเขารู้เรื่องนี้พร้อมๆกัน อ้าว วันนี้ปู่แวะไปที่บริษัทมาเรอะ ไม่เห็นบอกกันเลย ไม่งั้นผมคงไม่ไปเตะบอล เพราะผมอยากจะอวดผลงานของผมที่ป้าลินเขาชมเชยหนักหนาให้ปู่ดูมากกว่า
ผมเอื้อมมือไปหยิบแผ่นกระดาษพวกนั้นมาพลิกๆดู ฮั่นแน่ พวกคุณตำหนวดเขาเลือกพิมพ์มาแต่เฉพาะโพสต์ที่เด็ดๆซะด้วย แปลว่างานผมมันมีอิมแพคจริงๆสิเนี่ย ถึงขนาดทำให้พวกคุณตำหนวดเขาดิ้นกันได้
"ตำรวจมากันกี่คนฮะ ขนกันมาทั้งโรงพักหรือเปล่าฮะ"
"อย่ามาทำพูดเล่น นี่เรื่องซีเรียส" พ่อผมเริ่มทำเสียงซีเรียสประกอบ
"แหม่ กะอีแค่การ์ตูน" ผมยักไหล่ ยิ้มนิดๆอย่างภาคภูมิใจ แกเจ๋งจริงๆว่ะเรน
"เรน! นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เราเป็นเด็กเป็นเล็กจะไปยุ่งกับเรื่องพวกนี้ทำไม" พอเครื่องติด ปู่เขาคงเริ่มตั้งตัวได้ ความอึกอักในตอนแรกก็หายไป ความเสียงเข้มก็มาเป็นชุด
นี่นานแล้วนะที่ปู่เขาไม่ได้ทำเสียงเข้มกับผมแบบนี้ จำได้ว่าครั้งสุดท้าย ก็ตอนครูรายงานว่าผมหนีออกจากโรงเรียนประจำที่หัวหินไปเที่ยวทั้งคืนแล้วกลับมาเอาตอนเช้า
"แล้วทำไมเด็กจะยุ่งกับเรื่องนี้ไม่ได้ฮะ เรื่องการเมืองมันก็เป็นเรื่องอนาคตของพวกผมไม่ใช่เหรอฮะ" แต่ผมก็ไม่กลัวเสียงเข้มของปู่หรอก ผมไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีนี่นา
"มันยังไม่ถึงเวลา ตอนนี้เป็นเด็กมีหน้าที่เรียนหนังสือก็เรียนไปก่อน เรื่องการเมืองก็ปล่อยให้พวกผู้ใหญ่เขาตัดสินใจกันไป ปู่ว่าเรนเอาเวลาไปตั้งใจเรียน ไปทำงานอดิเรกอะไรที่อยากจะทำดีกว่านะ" ปู่ทำท่าจริงจัง
ผมมองปู่ด้วยความผิดหวัง เหมือนปู่จะเป็นคนแก่ยุคใหม่ที่เปิดกว้างพร้อมจะรับฟัง แต่นี่ปู่ก็มาพูดเหมือนผู้ใหญ่เชยๆคนอื่นๆ
ทำไมวะ ทำไมเด็กถึงไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดเรื่องการเมือง ทำไมต้องเป็นผู้ใหญ่เท่านั้น
แล้วก็ทั้งๆที่ปู่ให้อิสระกับผมตลอดมา แล้วทำไมกับเรื่องนี้ปู่ต้องมาบังคับกัน
"เด็กหรือผู้ใหญ่ก็มีสิทธิเท่าเทียมกัน ถ้าเราเห็นว่าอะไรที่มันไม่ยุติธรรม เราก็ควรพูดมันออกมาไม่ใช่เหรอฮะ" ผมพยายามให้เหตุผลไป
"มันก็ใช่ แต่เราคุยกันแค่ในบ้านก็พอ เพราะที่เรนเขียนๆออกสื่อนี่มันดูรุนแรงเกินไป ตำรวจเขาก็เลยเตือนมา นี่ปู่ก็เคลียร์กับเขาไปแล้ว"
"ก็ถ้าตำรวจเค้าคิดว่าผมผิดจริง ปู่ก็ให้ตำรวจมาจับผมเลยสิฮะ"
"เรน! นี่ลูกจะเอาเรื่องตำรวจมาพูดเล่นอย่างนี้ได้ยังไง" เหมือนปู่เขาจะอารมณ์ขึ้นเมื่อได้ยินผมพูดแหย่เรื่องตำรวจ
นี่ปู่ผู้แสนจะใจดีและใจเย็นของผมหายไปไหนแล้ว?
"ตำรวจไซเบอร์พวกนั้นวันๆก็ดีแต่ตามจับเด็กอย่างพวกผม เว็บโป๊เว็บพนันเกลื่อนไม่เห็นจับได้ซักที เค้าว่างกันมากนักรึไง" ผมเริ่มขึ้นเสียงบ้าง หลังๆผมได้ยินข่าวด้านนี้บ่อยๆจนเริ่มรู้สึกไม่ดีกับองค์กรนี้
"เรนอย่าเพิ่งเถียงคุณปู่ ฟังกันก่อน คุณปู่หวังดีไม่อยากให้เรนต้องเข้าไปเดือดร้อนกับเรื่องพวกนี้" พ่อผมพูดขึ้นมาบ้างหลังจากเงียบอยู่นาน เขาพยายามจะประนีประนอมแหละ
"ก็ถ้าปู่พูดไม่ถูก ผมก็ต้องเถียงสิ"
แต่ผมไม่ยอมหรอก ในเมื่อผมไม่คิดว่าผมผิดอะไร ปกติผมกับปู่ไม่ค่อยได้มีเรื่องอะไรเถียงกัน แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องสำคัญของผม เป็นเรื่องที่ผมสนใจ แล้วทำไมปู่ต้องมาห้าม
"เรน พ่อว่ามันก็ไม่ผิดหรอกที่เราจะแสดงออกในสิ่งที่เราไม่เห็นด้วย แต่ที่เรนทำมันเสี่ยงไปหน่อย มันจะนำความเดือดร้อนมาสู่ครอบครัวเรา" พ่อยังพยายามต่อไป
"นี่พ่อคิดเหมือนปู่เหรอฮะ" ผมหันไปมองพ่อด้วยความผิดหวังอีกคน ในเมื่อเราเห็นอะไรที่มันไม่ถูก เราก็ต้องพูดตรงๆ เราต้องเรียกร้องสิทธิของเรา
ผมเคยคิดว่าพ่อผมเจ๋ง พ่อผมหัวดื้อ พ่อผมหัวกบฏ แต่ความจริงพ่อแม่งก็เหมือนกับพ่อสแตนดาร์ดบ้านอื่นๆ
"ปู่กับพ่อจะให้ผมอยู่เฉยๆเหรอฮะ ก็เห็นว่าสภาพบ้านเมืองเราตอนนี้เป็นยังไง ถนนแม่งเป็นหลุมเป็นบ่อกันมากี่ปีก็ยังเป็นเหมือนเดิมเหมือนตอนผมเกิด ถ้ามีรัฐบาลห่วยๆแบบนี้พวกผมจะมีอนาคตได้ยังไง"
เหมือนพ่อกับปู่เขาจะอึ้งไปเหมือนเห็นผมพูดยาวเหยียดขนาดนั้น ปกติเขาคงเห็นผมเหมือนไม่สนใจโลกไม่สนใจอะไรเลย เขาคงนึกไม่ถึงกันว่าคนอย่างผมจะมาสนใจเรื่องการเมือง
"นี่เรนไปเอาความคิดพวกนี้มาจากไหนกัน นี่เป็นเพราะเอกพลนักศึกษาฝึกงานที่ออฟฟิศหรือเปล่า"
เฮ้ย พี่เอกมาเกี่ยวอะไรด้วยวะ นี่พ่อคิดว่าผมไม่มีความคิดเป็นของตัวเองเหรอ
"พ่อคิดได้ไงฮะเนี่ย ไปได้ยินมาไหน พี่เอกไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ซักกะหน่อย"
ผมไม่ได้พยายามจะปกป้องพี่เอก เพราะมันคือเรื่องจริงที่ว่าพี่เอกน่ะเป็นแค่คนโพสต์ แต่เรื่องคอนเท้นต์หรือเรื่องรูปกับข้อความต่างๆมันคือฝีมือผมกับ เอ่อ …ลิสา ทั้งหมด
ยอมรับว่าพี่เอกแกเป็นคนชักชวนพวกเราให้หันมาสนใจเรื่องนี้ในตอนแรก คือไอเดียทีแรกพี่เอกแกแค่จะขอให้ผมช่วยวาดรูปประกอบลายเส้นง่ายๆให้ ผมก็เอาเรื่องนี้ไปคุยเล่าให้ลิสาฟังเล่นๆ ซึ่งหลังๆเราสองคนมีอะไรก็เล่าให้กันฟังแทบทุกอย่าง แต่ก็นะ ลิสาก็คือลิสา รายนั้นไม่เคยทำอะไรเล่นๆ ลิสาจะมาพร้อมกับไอเดียที่ล้ำลึกขึ้นไปอีกขั้นเสมอ ผมเลยนัดพี่เอกไปเจอกับลิสาวันเสาร์อาทิตย์ด้วย แล้วผมกับลิสาเห็นตรงกันว่าความคิดพี่เอกเขาอ่อนเกินไป พวกผมจัดการทั้งหมดกันเองจะดีกว่า ถ้าจะลงแรงออกสื่อทั้งทีก็ต้องตรงๆแรงๆแบบนี้ล่ะ
"พ่อไม่เชื่อ ถ้าไม่ได้ทำเรื่องนี้กับเอกพล งั้นแล้วเรนไปเอาคำหยาบๆพวกนี้มาจากไหนกัน"
พ่อเขาชี้มือไปที่บรรดาเหล่ากระดาษพวกนั้นที่มีรูปการ์ตูนที่ผมวาดอยู่ เขายังไม่คิดว่าผมจะเป็นเด็กกร้าวขนาดนั้น
"อย่าบอกนะว่าเอามาจากเพื่อนต่างโรงเรียน" ปู่เขาเริ่มสงสัยว่าผมจะทำในสิ่งที่เขาเคยห้าม
ซึ่งผมก็แอบทำอยู่จริงๆ ผมยังคบอยู่กับไอ้คิวไอ้ไอซ์โดยที่ปู่ไม่รู้ แต่มันสองคนก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้
โธ่ สมัยนี้แล้ว ปู่กะพ่อคิดว่าโลกของผมมีแค่ที่บ้านกับโรงเรียนหรือไง
"คำด่าในเนตก็มีให้เห็นเยอะแยะไปฮะ" ผมยักไหล่
เหมือนพวกผู้ใหญ่เขาจะไม่รู้กันว่าโลกอินเทอร์เน็ตมันกว้างใหญ่ขนาดไหน คุณอยากจะรู้เรื่องอะไรอะ มันมีคำตอบทุกเรื่องที่เราอยากรู้ อย่างเช่นคำหยาบคำด่าพวกนี้ ผมกับลิสาก็ใช้เวลาพักกลางวันที่โรงเรียนนั่งไล่ดูกันว่าคนอื่นๆเขาใช้คำว่าอะไรในการด่ารัฐบาล ไล่อ่านไปตามคอมเม้นต์ทั้งตามเพจข่าวตามยูทูป มีเป็นตัวอย่างให้เลือกไม่หวาดไม่ไหว
ผมกับลิสาคิดว่าเราเลือกใช้คำด่าพวกนี้มาด่ารัฐบาลก็เพื่อความสะใจ เพราะมันสมควรจะโดนด่าอยู่แล้ว แต่เราก็รู้ว่าในชีวิตประจำวันเราไม่จำเป็นต้องจะต้องหยาบคาย เราสองคนก็พูดจาสุภาพกับผู้คนรอบข้างเหมือนเดิม
แต่ดูเหมือนผู้ปกครองของผมทั้งสองคนนี้เขาจะไม่เข้าใจ เขาพากันนิ่งงันไป คงนึกไม่ถึงว่าผมจะไปไกลเกินกว่าที่เขาจินตนาการ
"พ่อกะปู่กลัวไรกันอะ เราพูดความจริงนี่ฮะ แล้วอีกอย่างมันก็แค่คำด่าแบบหยาบๆ ผมไม่ได้พูดคำหยาบกับพ่อกับปู่ซักกะหน่อย ผมแค่ด่ารัฐบาลด้วยคำหยาบ ก็แค่นั้น"
"เรน!"
พ่อผมเขาท่าทางตกใจที่เห็นผมพูดจาแบบไม่เกรงกลัวอะไรเลย ก็จริงบางส่วน ผมไม่กลัวพ่อ เพราะพ่อเขาไม่ได้เลี้ยงผมมา เขาไม่รู้จักผมดีพอหรอก เราเพิ่งจะมาเริ่มสนิทกันช่วงหลังๆนี่เอง
ส่วนปู่… ถึงแม้ผมจะรักและเกรงใจปู่มากอยู่ก็จริง แต่ผมโตมาในโรงเรียนประจำ ที่นั่นสอนให้ผมต้องต่อสู้ยืนหยัดด้วยตัวเอง ช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด ผมว่าความจริงปู่ไม่น่าจะต้องแปลกใจด้วยซ้ำที่ได้ยินผมพูดตรงๆแบบนี้ ก็เค้าเลี้ยงผมมาให้เป็นตัวของตัวเองขนาดนี้เองนี่นะ แล้วเค้าคาดหวังอะไรจากผมเหรอ
อาจจะใช่ที่ปกติผมไม่ใช่คนพูดมาก แต่ไม่ได้พูด ก็ไม่ได้แปลว่าไม่ได้คิด
"โลกมันกำลังเปลี่ยน เดี๋ยวอะไรที่มันไม่เข้าที่เข้าทางมันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปเอง เราก็แค่รอเวลา" พ่อเขาพยายามอธิบายแบบคนเข้าใจโลก
"รุ่นปู่รุ่นพ่อรอได้ แต่รุ่นผมรอไม่ได้แล้วไงฮะ" แต่ผมไม่คิดเหมือนกับเค้า พวกเค้าจะรอก็รอไป พวกผมไม่รออะ
"เรนยังไม่เข้าใจเรื่องการเมืองของบ้านเมืองนี้ มันไม่ได้ขาวสะอาดตรงไปตรงมาแบบที่เรนคิด เขาจะทำคดีบิดเบือนยังไงก็ได้ถ้าที่เขาคิดจะทำ เขามีอำนาจมากกว่า เขาจะเล่นงานเรายังไงก็ได้" ปู่เขากลับมาประเด็นเรื่องคดีความ เสียงปู่เหมือนพยายามอดทนอดกลั้นมาก
"แล้วปู่ก็ยอมงั้นเหรอฮะ ก็คนรุ่นปู่ยอมไง บ้านเมืองเราถึงห่วยมาจนทุกวันนี้" ผมชักจะอารมณ์ขึ้นบ้างแล้ว ก็ไม่ใช่เพราะคนรุ่นปู่รุ่นพ่อเหรอที่ยอมไอ้ระบบบ้าๆเนี่ย
"ก็ตอนนี้แกเป็นเด็ก แกอยู่แค่มอปลาย แกก็คิดอะไรซื่อๆตื้นๆ เอาแต่ความสะใจ ครอบครัวเราทำธุรกิจ ถ้าเกิดคดีความอะไรขึ้นมา มันกระทบถึงชื่อเสียงของบริษัทเรา หรือถ้าเขาคิดจะใช้เรื่องนี้กลั่นแกล้งบริษัทของเรา แล้วแกจะรับผิดชอบอะไรได้ไหม" น้ำเสียงปู่ฟังดูก็รู้ว่าเขาเริ่มจะไม่ทนผมแล้ว เขาขึ้นคำว่า 'แก' แล้ว
"สรุปปู่ห่วงบริษัท ว่างั้น?" ผมอดไม่ได้จริงๆที่จะทำเสียงเยาะ "อ่อ คนทำธุรกิจเขาก็ต้องยอมหลับหูหลับตาอยู่ใต้ความอยุติธรรมกันไป เหมือนพวกขี้ขลาดกันยังไงก็ไม่รู้"
"เรน!" คราวนี้เป็นเสียงของพ่อผมที่ดังเข้มขึ้นมา "พูดอะไรให้คิดซะก่อนนะ เพราะคุณปู่รักและเป็นห่วงเรา คุณปู่ถึงห้าม"
"ผมคิดแล้วไงฮะถึงได้พูด" ผมเริ่มเดือดขึ้นบ้างแล้ว "ผมว่าพ่อกะปู่ห่วงชื่อเสียงของบริษัทมากกว่า ก็เหมือนคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ที่มัวแต่ทำมาหากิน มัวแต่ห่วงเรื่องของตัวเอง ไม่เคยสนใจเรื่องของบ้านเมือง"
"แกจะไปเข้าใจอะไรวะ ภาระหน้าที่รับผิดชอบก็ยังไม่มี เป็นเด็กตัวแค่นี้แต่พูดจาอวดดีเป็นที่สุด คิดว่าเรื่องทุกอย่างมันง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ" แล้วเสียงปู่ก็เดือดขึ้นมาบ้าง
"พ่อครับ ใจเย็นครับ"
พ่อผมพยายามจะไกล่เกลี่ย หน้าตาเขาดูหนักใจเอามากๆ เขาคงจะตั้งตัวไม่ติด ทำตัวไม่ถูก เพราะปกติแล้วเป็นพ่อที่พูดมากที่สุดในบ้าน แต่วันนี้กลับกลายเป็นผมกับปู่ที่เป็นฝ่ายพูดกันอยู่สองคน
"นี่ก็พยายามใจเย็นมาตลอดแล้ว อยากจะทำอะไรก็ตามใจทุกอย่าง ขอแค่เรื่องนี้ก็ยังให้กันไม่ได้ ถ้าไม่ฟังกันบ้าง ก็ไม่ต้องอยู่บ้านนี้!" ปู่เขาพูดเสียงดังแล้วลุกยืนขึ้นหันหลังเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนของบ้าน
"ปู่…"
ผมน้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความน้อยใจ ผมเคยคิดว่าปู่เป็นคนที่เข้าใจผมที่สุด แต่ก็ไม่ใช่…
ผมหันไปมองพ่อ ก็เห็นท่าทางเขาลำบากใจ มองด้วยสายตาเห็นใจมาทางผม แล้วก็มองด้วยสายตาเข้าใจตามหลังปู่ไป แล้วก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้พยายามจะเข้ามาลูบหัวผม แต่ผมก็สะบัดตัวออกหนี
แม่ง โคตรผิดหวังเลย ทั้งพ่อทั้งปู่!