webnovel

การกลับมา

วันนี้เรามาอยู่กันที่หอศิลป์กรุงเทพตรงแยกมาบุญครอง เพื่อจะมาดูนิทรรศการการ์ตูน 'มังงะเงียบ' ที่จัดโดยองค์การยูเนสโก เขาจัดแสดงผลงานจากการประกวดแข่งขันวาดการ์ตูนนานาชาติที่ประเทศญี่ปุ่น ผมเห็นป้ายโฆษณาตามที่ต่างๆนานแล้ว ยังคิดอยู่เลยว่าจะชวนลิสามาดูด้วยกันหลังเลิกเรียน

แต่ไม่นึกเลยว่าท้ายสุดแล้วจะได้ยกโขยงมาดูกันทั้งผม ลิสา พ่อ แล้วก็ป้าลินด้วย! ดีนะที่ปู่กับคุณมะพร้าว และคุณยายของลิสาเขาขอตัวไม่มา พวกคนแก่เขาให้เหตุผลเหมือนกันว่ายืนนานๆแล้วเมื่อย

ตอนที่พ่อเขาชวนผมให้มาดูด้วยกันนั้น ผมเองก็ยังงงๆอยู่ว่าทำไมอยู่ๆพ่อถึงเกิดนึกอยากดูอะไรแบบนี้

'เราพ่อลูกควรจะใช้เวลาด้วยกันบ้าง' เขาว่างั้น

แต่ผมสงสัย ก็ถ้าอยากจะใช้เวลากับผม เราก็น่าจะไปหาที่เตะบอลหรือเล่นบาสกันมากกว่า พ่อกับผมชอบเล่นกีฬากันทั้งคู่ หรือถ้าพ่ออยากจะให้ผมประทับใจ ก็น่าจะชวนผมไปเล่นสเกตบอร์ดก็ได้

จะมาดูนิทรรศการการ์ตูนกันเพื่อ? พ่อผมเขาไม่ได้สนใจเรื่องศิลปะอะไรขนาดนั้น

'พ่อว่าเราชวนลิสากับป้าลินไปด้วยดีไหม ป้าลินเขารู้เรื่องพวกวาดรูปอะไรพวกนี้ดี เขาน่าจะให้คำแนะนำกับเรนได้' เขาว่าต่อไป

อ่อ เก็ทเลย! ว่าละ พ่อคงอยากจะไปเดตกะป้าลินอะดิ แต่มาหาเรื่องใช้ผมเป็นข้ออ้าง

ความจริงพวกเขาก็อายุปูนนี้กันแล้วนะ จะไปเที่ยวกันสองต่อสองบ้างก็ไม่เห็นจะน่าอายตรงไหน ทำไมพวกเขาต้องทำตัวเหมือนวัยรุ่นที่แอบๆคบกัน เฮ้อ...

แล้วอีกอย่าง อาทิตย์ที่แล้วที่พ่อหายตัวไปนอนที่หัวหินมาคืนนึง นั่นก็ไปกับป้าลินไม่ใช่เรอะ ตอนพ่อโทรมาบอกคุณมะพร้าวทีแรก ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย คิดว่าเขาไปทำงาน แต่พอคุยกับลิสาแล้วลิสาบอกว่าป้าลินไม่อยู่ ไปหัวหินเหมือนกัน ผมก็เลยชักสงสัยว่าพวกเค้าไปด้วยกันแน่ๆ แต่ก็นะ พ่อเขาโตแล้ว เขาจะไปไหนมาไหนก็เรื่องของเขา แล้วตอนพ่อกลับมาจากหัวหินตอนบ่ายๆวันเสาร์ บ้านเราก็ไม่ได้สนใจจะไปถามว่าเขาไปกับใคร บ้านผมก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่ค่อยซักถามกัน ใครอยากจะเล่าเรื่องอะไรก็ค่อยเล่า

เรื่องของพ่อกับป้าลินนี่ผมก็ไม่เคยได้คุยกับลิสา เพราะเป็นเรื่องของพ่อ ไม่ใช่เรื่องของผม ผมไม่ชอบยุ่งเรื่องส่วนตัวของใคร แต่ผมก็มีแอบแปลกใจนิดๆอยู่ว่า ทำไมพวกเค้าไม่เปิดตัวสู่สาธารณชนกันเสียที ผมรู้มานานแล้วว่าพ่อชอบป้าลิน ก็พ่อเขามาสารภาพกับผมเองตอนกลับมาจากบาหลีใหม่ๆ ผมก็อนุญาตไปแล้ว ก็ไม่เห็นน่าจะมีปัญหาอะไร เอ๊ะ หรือว่าปู่ไม่อนุญาตวะ?

"ลิสาว่าหอศิลป์นี้เขาออกแบบแปลกๆยังไงไม่รู้นะคะ คือเข้าใจนะคะว่าต้องการให้อาคารดูโปร่งๆโล่งๆ แต่พื้นที่โปร่งโล่งนี้มันมีมากเกินไปหน่อยไหมคะ มากเกินพื้นที่จัดนิทรรศการเสียอีก"

ลิสาเขาเริ่มออกความเห็นหลังจากเราเข้ามาในตัวอาคารกันแล้ว และกำลังเดินขึ้นบันไดในห้องโถงใหญ่เพื่อไปห้องจัดนิทรรศการบนชั้นสอง ผมมองตามลิสาไปรอบๆ มาที่นี่ก็หลายครั้งแล้ว เพิ่งจะสังเกตว่าจริงอย่างที่ลิสาว่า อาคารมันจะโล่งไปไหน

"เรื่องนี้คงต้องถามป้าลิน อาจเป็นเรื่องของทางองค์ประกอบศิลป์"

พ่อผมทำหน้าจริงจังหันไปทางป้าลิน นี่พ่อไปเรียนรู้คำศัพท์เท่ๆยังงี้มาจากไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่คุณเซนเขาสนใจเรื่องของศิลปะ

"อาคารนี้เค้าน่าจะออกแบบให้มีความยืดหยุ่นสูงในการใช้สอยนะคะ เพื่อจะให้เอื้อต่อการปรับเปลี่ยนพื้นที่ให้จัดงานแสดงศิลปะในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปได้ ซึ่งดูๆแล้วเนี่ย เค้าก็มีพื้นที่ที่หลากหลายนะคะ ทั้งแสง ขนาด แล้วก็รูปร่างรูปทรงต่างๆ อือม์ ออกแบบใช้ได้เลยค่ะ สเปซเยอะดี"

ป้าลินเขาผายมือไปรอบๆ หลักการมาเต็ม ผมเหลือบตามองพ่อก็เห็นเขากำลังมองป้าด้วยสายตาแห่งความภาคภูมิใจ พ่อคงชอบคนมีความรู้มั้ง โดยเฉพาะคนที่รู้ในเรื่องที่เขาไม่รู้

"แต่ยังไงลิสาก็ว่ามันโล่งไปอยู่ดีค่ะ เปลืองแอร์" ส่วนเพื่อนของผมก็ยังไม่ยอมแพ้

"ผมก็ว่าพื้นที่ตรงกลางมันโล่งไป" ผมจึงต้องเข้าข้างเพื่อน

"แต่สถาปนิกเขาคงคิดมาดีแล้ว อาจเป็นเหตุผลลึกซึ้งทางการออกแบบซึ่งคนธรรมดาอย่างเราเข้าไม่ถึง" และพ่อก็เข้าข้างสถาปนิก

เอ หรือประชดกันแน่วะ?

"ใช่จ้ะ บางทีคนในวงการนี้เขามีความคิดที่คนทั่วไปยากจะเข้าใจ" ป้าลินตอบรับด้วยน้ำเสียงที่เริ่มจะแปลกๆ

"ซึ่งบางทีก็คิดซับซ้อนจนเกินไป คิดแบบคนธรรมดาๆไม่ได้ ทำเรื่องง่ายๆไม่เป็น กลัวโลกไม่จำ" และน้ำเสียงของพ่อก็เริ่มเหมือนจะหาเรื่อง เขาจ้องเขม็งไปที่ป้าลิน

"เรื่องบางเรื่องก็เป็นเรื่องของอารมณ์และความรู้สึก ซึ่งคนบางคนไม่เคยคิดจะใส่ใจ" ป้าลินจ้องพ่อตอบ

"ก็จะไปคิดทำไมให้มันเรื่องมากยุ่งยาก รู้สึกยังไงก็แสดงออกไป อยากจะทำอะไรก็ทำ" ส่วนพ่อเขาก็ไม่ลดละ

"เอ่อ… คือ… ผมว่าเราเข้าไปดูงานกันเถอะฮะ ลิสาเขาเดินเข้าไปก่อนแล้ว" ส่วนผมก็เริ่มรำคาญ เลยขัดจังหวะการโต้ตอบกันของคนแก่ทั้งคู่ด้วยการชี้มือไปที่ข้างหน้า ซึ่งลิสาเดินลิ่วไปก่อนแล้ว

วันนี้สองคนนี่เขาเป็นอะไร นี่พ่อกะป้าลินเขามาออกเดตกันไม่ใช่เหรอวะครับ แต่พวกเขาก็ปะทะคารมเล็กๆน้อยๆกันมาโดยตลอดตั้งแต่เราขึ้นรถไฟฟ้ากันมาแล้ว

"Let's go! ลุยเลยครับพวกเรา เป็นไงเป็นกัน" พ่อพูดแปลกๆยิ้มแปลกๆ แล้วก็เดินเข้าไปจับมือป้าลินจูงออกเดินหน้าตาเฉย

ผมเห็นป้าลินแอบพยายามสะบัดมือออกเล็กน้อย แต่พ่อเขาก็ยังจับไว้แน่น

อะไรกันฮะสองคนนี่?...

"นักวาดการ์ตูนคนนี้เค้าเท่ดีนะเรน ใส่หน้ากากตลอดเวลาเลย"

ลิสาชี้ให้ผมดูรูปถ่ายของนักเขียนการ์ตูนที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ตอนนี้เราทั้งหมดอยู่ในห้องแสดงผลงานกันแล้ว วันนี้คนเยอะเชียว

"อ่อ คนนี้เค้าดังมากนะลิสา ชื่ออากิระ มิซูมิยะ ไม่มีใครเคยเห็นหน้าตาจริงๆของเค้านะ เค้าไม่ยอมเปิดเผยตัวตน" ผมบอกโดยไม่ต้องมองไปที่รูปถ่ายที่ลิสาชี้ แค่ผมเห็นภาพวาดของเค้า ผมก็รู้แล้วว่าผลงานของใคร ผมรู้จักนักเขียนการ์ตูนดังๆเกือบทั้งโลกแหละ

"แปลกจังเลย ดังมากขนาดนี้ก็น่าจะอยากให้ตัวเองเป็นที่รู้จักนะ" ลิสาเริ่มสงสัยอีกแล้ว ตามประสาผู้หญิงที่ช่างสงสัยทุกสิ่งในโลกนี้

"ก็ไม่แปลกนะ อย่าง Banksy ไง ที่เค้าชอบแอบไปวาดรูปบนกำแพงตามเมืองต่างๆ นั่นก็ดังระดับโลกนะ แต่ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเค้าคือใคร หน้าตาเป็นยังไง"

ผมนึกไปถึงศิลปินกราฟฟิตี้อันดับหนึ่งในดวงใจจากลอนดอน ผมชอบที่เขาวาดรูปล้อเลียนการเมืองได้เจ๋งมาก และที่คูลสุดๆก็คือ จนบัดนี้คนทั่วโลกก็ยังไม่รู้ว่าเขาคือผู้ใด มีคนพยายามโยงเค้าเข้ากับศิลปินดังๆคนโน้นคนนี้ แต่ทุกคนก็ออกมาปฏิเสธกันหมด

หรือจริงๆแล้ว Banksy อาจเป็นคนไทยก็ได้นะ ใครจะไปรู้!

"เอ หรือว่าคนนี้เค้าหน้าตาไม่ดี" แต่ลิสายังคงไม่หยุดสงสัยในตัวของนักวาดการ์ตูนตรงหน้า

"อือม์ ดูจากแววตานี่และทรงผมนี่ น้าก็ว่าเค้าหล่ออยู่นะจ๊ะ" ป้าลินชะโงกหน้าเข้าไปดูรูปถ่ายของอากิระที่แปะอยู่ข้างๆผลงานของเขาบ้าง

"พวกศิลปินก็งี้มั้ง ชอบทำตัวลับๆล่อๆหลบๆซ่อนๆ" พ่อผมให้ความเห็นบ้าง ผมเห็นเค้าจงใจปรายตาไปที่ป้าลินตอนพูด

"เรื่องบางเรื่องก็อาจจะยังไม่ถึงเวลาที่จะเปิดเผย" ป้าลินโต้กลับมา สายตายังจับจ้องอยู่ที่ภาพการ์ตูนบนผนัง

"ความลับไม่มีในโลกหรอก รู้ตอนไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ" พ่อยกคำคมขึ้นมาข่ม

"หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง" แล้วจู่ๆลิสาก็เข้าร่วมวงด้วย

"เอ้อ... ใช่ ใช่ แล้วก็มีหลายสุภาษิตเลย อะไรนะหนูลิสาที่ไก่ๆงูๆ แล้วก็ช้างๆ" พ่อรีบหันไปหาลิสา หวังให้ช่วยเรื่องสุภาษิตไทย ซึ่งเป็นอีกสิ่งที่เขาไม่ถนัด นอกเหนือไปจากการไม่ถนัดเรื่องศิลปะ

"อ๋อ น้าเซนอยากได้สุภาษิตเกี่ยวกับความลับเหรอคะ ได้เลยค่ะ ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ แล้วก็ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิด"

"นั่นแหละ นั่นแหละ คนบางคนเป็นแบบนั้น" พ่อทำหน้าดีใจ แล้วปรายตาไปทางป้าลินอีกที

"โบราณเค้าว่าไว้ ความในอย่านำออก ความนอกอย่านำเข้า" ส่วนป้าลินก็ไม่ยอมแพ้ ปรายตากลับมาทางพ่อบ้าง

"ก็กินอยู่กับปาก ยากจะนำเข้าท้อง" พ่อลอยหน้าลอยตาพูด

"กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้องค่ะน้าเซน" ลิสาแย้ง เพื่อนผมคนนี้เขาชอบความถูกต้อง ไม่ปล่อยผ่านง่ายๆ

"นั่นล่ะ ความหมายเหมือนกัน" คุณเซนเขาเฉไฉไปเรื่อยเปื่อย เขาไปเรียนที่ญี่ปุ่นแต่เด็กอะนะ เรื่องสุภาษิตคำอะไรพวกนี้ไม่น่าจะสู้ป้าลินกับลิสาได้ บ้านนั้นเขาเก่งภาษาไทยกว่าบ้านเรา

แต่โอย… ไม่ไหวแล้ว วันนี้คนพวกเขานี้เป็นอะไรกันวะฮะ พูดจากแซะกันไปมา เริ่มจะน่ารำคาญแล้วนะฮะ

ในขณะที่ผมกำลังจะเอ่ยปากตัดบทชวนไปดูห้องแสดงภาพห้องอื่นๆบ้าง เราก็ได้ยินเสียงทักทายที่คุ้นๆจากทางด้านหลัง

"อ้าวคุณเซน! อ้าวพี่ลิน! อ้าวน้องเรน! อ้าวน้องลิสา! หวัดดีครับทุกคน"

โอ๊ะ! ลุงสุกรีนั่นเอง ลุงเขาทำหน้าแปลกใจที่เจอพวกเราโดยพร้อมเพรียงที่นี่

"อ้าว! สุกรี" ป้าลินหันไปแปลกใจกับลูกทีมในแผนกของเขา ผมเห็นแวบนึงที่ป้ามีทำท่าเลิ่กลั่กนิดๆ

"โอ้โห มากันเป็นครอบครัวเลย ว่าไงสาวน้อย ว่าไงพ่อหนุ่ม ไม่ได้เจอกันนาน" ลุงสุกรีเขายิ้มให้ลิสา แล้วก็เอื้อมมือมาตบบ่าตบไหล่ผมอย่างเป็นกันเอง ผมว่าคำพูดของลุงเขาแปลกๆอยู่นะ แต่ช่างมันเถอะ

ผมไม่ได้เจอลุงเขาเป็นเดือนแล้ว ก็โดนพ่อทำโทษเรื่องใช้คอมในออฟฟิศโพสต์เฟซบุ๊คด่าการเมืองนั่นล่ะ พ่อเลยสั่งห้ามเข้าออฟฟิศ ต้องใช้วิธีส่งงานออนไลน์กับป้าลินแทน นี่ก็ใกล้เวลาพ้นโทษแล้ว ผมรู้สึกคิดถึงห้องออกแบบแล้วอะ อยากกลับเข้าไปทำงานแล้ว เฮ้อ ถึงแม้คราวนี้จะไม่มีพี่เอกอยู่แล้วก็เหอะ

"ไม่ยักจะรู้ว่าลุงสุกรีชอบการ์ตูนด้วยนะฮะ" ลุงเขาไม่เป็นวัยรุ่นที่สุดแล้วในทีมของป้าลิน ส่วนวัยรุ่นที่สุดอย่างพี่เอกก็ฝึกงานจบไปแล้ว

"อ่อ ฮ่าฮ่า เผอิญพี่มาทำธุระแถวนี้ แล้วที่หอศิลป์นี่เขาก็ให้เข้าฟรี เลยไม่อยากพลาดทุกนิทรรศการ ฮ่าฮ่า" ลุงเขาพูดไปหัวเราะไป

ผมเคยได้ยินมาว่าลุงสุกรีเป็นคนที่ประหยัดเงินมาก เพราะเขาต้องทำงานใช้หนี้ที่กู้ยืมมาตอนเรียน แล้วก็กำลังเก็บเงินแต่งงาน นี่ตอนเย็นหลังเลิกงานลุงเขาก็ไปรับจ๊อบพิเศษอีกหลายที่

แล้วลุงสุกรีก็ทำท่ายักคิ้วหลิ่วตานิดๆให้ป้าลิน ก่อนจะหันไปทางพ่อ

"นี่ผมก็ไม่นึกว่าคุณเซนจะสนใจดูพวกงานนิทรรศการศิลปะแบบนี้นะครับ"

"น้าเซนเขาเป็นคนชวนพวกเรามาเองเลยนะคะ นานๆทีจะได้มาด้วยกัน" ลิสารีบรายงาน วันนี้เพื่อนคนสวยของผมดูตื่นเต้นอารมณ์ดีที่พวกเราได้ออกนอกบ้านกันมาพร้อมหน้าพร้อมตา

เอาจริงนี่ผมสงสัยว่าลิสาเขารู้หรือเปล่า ว่าพ่อกับป้าลินชอบกัน ผมคงต้องถามลิสาเรื่องนี้เสียแล้ว

"ครับ ผมเห็นคุณลลินเค้าสนใจเรื่องศิลปะอยู่แล้ว เลยอยากให้มาดูด้วยกัน" พ่อตอบรับ พลางปรายตาไปที่ป้าลิน…อีกแล้ว แถมคราวนี้ยังมีการเอนตัวไปชิดๆป้าลินอีกด้วย

"อ้อ เหรอครับ ดีครับดีแล้ว คุณเซนต้องมาผ่อนคลายกับศิลปะบ้างครับ ทำงานหนักเกินไปก็ไม่ดีนะครับ มากับคนคนนี้รับรองสนุกสนานครับ" ลุงสุกรีพูดกับพ่อยิ้มๆ แล้วก็หันไปยิ้มๆให้กับป้าลินอีก

"สุกรีมานานหรือยัง ดูทั่วแล้วหรือเปล่า ทางโซนโน้นก็มีอีกหลายห้องเลยนะ สุกรีรีบไปดูสิ" แต่ป้าลินกลับชี้ไม้ชี้มือไปเรื่อยเปื่อย ทำท่าทางเหมือนไม่อยากให้ลุงสุกรีอยู่คุยนาน

"โอเคครับ โอเค งั้นผมคงต้องขอตัวไปเดินดูให้ทั่วๆตามที่พี่ลินบอก ตามสบายนะครับ เจอกันที่ทำงานวันจันทร์ครับ บายนะครับเด็กๆ" ลุงเขารับมุกป้าลินยิ้มๆ แล้วก็ขอตัวเดินจากไป ผมแอบเห็นป้าลินถอนหายใจโล่งอก

"หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง"

จู่ๆพ่อผมเขาก็ทวนสุภาษิตที่เพิ่งได้เรียนจากลิสาเมื่อกี้นี้ขึ้นมาอีกที เพื่อ?

"กินในที่ลับอย่าไขในที่แจ้ง" แล้วป้าลินก็ตอบกลับ เพื่อ?

"ไปกันต่อเลยดีกว่าฮะ มีอีกหลายห้องไม่ใช่เหรอฮะ นี่เรายังไม่ผ่านห้องแรกไปไหนเลย" ผมรีบตัดบท ก่อนที่คนแก่สองคนนี่เขาจะต่อปากต่อคำต่อสุภาษิตกันอีกนาน

วันนี้ผมอยากมีสมาธิดูพวกภาพวาดมังงะพวกนี้อย่างสงบๆหน่อย…

ในที่สุดเราก็ใช้เวลาในการเดินดูนิทรรศการกันสองชั่วโมงกว่าๆ

สำหรับผมแล้วมันเต็มอิ่มมาก การมากับลิสาทำให้ผมต้องเพ่งดูรูปภาพแต่ละรูปอย่างที่ปกติไม่ค่อยจะได้ทำ เพราะลิสาเขามีข้อสงสัยและข้อสังเกตในทุกๆรูป เขาจะมีข้อสันนิษฐานอย่างจริงจังถึงที่มาที่ไปและแรงบันดาลใจของแต่ละรูป แต่เอาจริงนะ ผมว่าบางทีคนวาดเขาไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งนักหรอก เขาก็แค่วาดๆไปเรื่อยตามอารมณ์ แต่คนทั่วไปมักจะคิดว่าศิลปินจะต้องซ่อนความหมายความนัยอะไรไว้ในภาพเสมอๆ แต่ผมว่ามันต้องมีบางคนบ้างแหละที่วาดไปโดยไม่ได้คิดอะไรเลย เช่นผมเป็นต้น

ส่วนพ่อกับป้าลิน… ผมว่าคนแก่สองคนนั่นเขาก็ไม่ได้ดูภาพวาดอะไรกันจริงจังนักหรอก เขามัวแต่จะพูดจาแซะกันไปกันมามากกว่า ซึ่งมันแปลกมากๆ ปกติพ่อผมก็ไม่ใช่คนช่างประชดประชันอะไรนักนะ เขาไม่ใช่คนจุกจิก แต่วันนี้ทำไมเขาดูจู้จี้กับป้าลินจังเลยวะ

"น้าเซนจะเลี้ยงข้าวทั้งที กินอะไรดีน้า"

ลิสาไล่นิ้วไปบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือขณะเรากำลังเดินกันออกมาที่ประตูทางออกของหอศิลป์ เมื่อกี้พ่อเขาบอกลิสาไปว่าเขาอยากเป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวเที่ยง ให้ลิสาเลือกร้านที่อยากกินได้เลย ผมเห็นลิสาหน้าตาดีใจมาก ป้าลินก็ด้วย คือพวกเขาดีใจอะไรกันนักหนาครับ เรื่องแค่จะได้กินข้าวฟรีเนี่ยนะครับ? เอ หรือพ่อผมเขาจะให้เงินเดือนป้าลินน้อยไป?

"อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่อาหารญี่ปุ่น เบื่อแล้ว ไปกินกับพ่อกับปู่ทีไรก็อาหารญี่ปุ่นทุกที" ผมรีบบอก

"อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ส้มตำซุบหน่อไม้ พ่อกลัวท้องเสีย" พ่อรีบบอกเหมือนกัน แล้วผมก็เห็นป้าลินค้อนขวับไปทางพ่อ ซึ่งคุณเซนเขาก็ยักคิ้วตอบยิ้มๆ

"อะไรก็ได้ที่กินแล้ว… จะทำให้คนเรารักษาสัญญา" แล้วป้าลินเขาก็เป็นฝ่ายเริ่ม …มันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย?

"อะไรก็ได้ที่กินแล้ว… จะทำให้คนเรากล้าที่จะเปิดเผยความจริง" พ่อผมก็เป็นไปด้วยฮะ

"อะไรก็ได้ที่กินแล้ว… จะทำให้คนเรารู้จักการอดทนรอคอย" ป้าลินเขาไปกันใหญ่แล้วฮะ

"อะไรก็ได้ที่กินแล้ว… จะทำให้คนเราไม่คิดเยอะเกิน" และคุณเซนเขาก็สู้สุดใจฮะ

"งั้นเข้าไปเดินดูเลือกร้านที่สยามเซนเตอร์กันเลยดีกว่าค่ะ" ในที่สุดลิสาก็ตัดบท ซึ่งผมก็รีบพยักหน้าเห็นด้วย ไม่งั้นคนแก่สองคนนี้เขาจะต่อปากต่อคำกันไปมาอีกนาน

"ไปกันเถอะฮะ หิวแล้ว มาทางนี้เลยลิสา" บ่ายโมงกว่าแล้ว หิวมาก ท้องผมร้องแล้ว

ผมรีบออกเดินนำขบวนอย่างรวดเร็วไปตามทางเดินลอยฟ้าเพื่อจะไปยังฝั่งสยามเซนเตอร์ ผมชอบทางเดินลอยฟ้าข้ามแยกตรงนี้นะ มันแปลกๆดี เป็นทางเดินที่ถูกขวางกั้นด้วยเสาตอม่อรถลอยฟ้าเป็นระยะๆ กระถางต้นไม้เป็นจุดๆ และที่บังแดดรูปทรงเห็ดยักษ์ประปราย

"โอ๊ะ! ขอโทษครับ" แล้วผมก็ชนเข้ากับผู้หญิงคนนึงที่เดินมาจากอีกทางของเสาตอม่อใหญ่นั่นอย่างจัง

"ไม่เป็นไรค่ะ… อ้าว! เรน!"

"คุณฝน!" เมื่อถอยห่างออกมาตั้งตัวได้ผมจึงเห็นว่าผู้หญิงที่ผมชนคนนี้คือคุณเจ้าของร้านขายขนมที่แม่เล็กเอาขนมไปฝากขายไว้

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ผมคงตกใจมากที่มาเจอคุณฝนพร้อมกับพ่อ เพราะพ่อต้องถามผมแน่ว่าผมรู้จักคุณฝนได้ยังไง แล้วมันก็ต้องโยงไปถึงแม่เล็กและไอ้ไอซ์ไอ้คิวเพื่อนนอกโรงเรียนของผม ซึ่งผมกลัวมากว่าปู่จะรู้เรื่องว่าผมคบกับพวกนี้ แต่หลังจากเกิดเรื่องหนีออกจากบ้านในตอนนั้น ปู่ก็รู้จนได้ แต่ก็ไม่เห็นปู่จะว่าอะไร โธ่ รู้งี้เล่าให้ปู่ฟังไปตั้งนานแล้ว อุตส่าห์เก็บเป็นความลับไว้ตั้งนาน

ผมว่ามนุษย์เราบางทีก็ชอบคิดเองเออเอง แล้วก็ยุ่งยากใจไปเอง

กลับมาที่คุณฝนก่อน เธอมีสีหน้าตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเป็นผม แล้วก็มีสีหน้าที่ตกใจมากกว่าเมื่อมองไปเห็นคนที่กำลังรีบเดินเข้ามาหาผม

"เรนเป็นไรหรือป่าวลูก เอ๊ะ!"

พ่อหยุดชะงักไปทันทีเมื่อเห็นคุณฝน ตาตี่ๆของพ่อเบิกกว้างขึ้น หน้าขาวๆนั่นดูตกใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคุณฝน

"ฝน! ฝนใช่ไหม ผมจำไม่ผิดคนใช่ไหม" พ่อละล่ำละลักเสียงสั่น ตรงเข้าไปจับต้นแขนคุณฝนแน่น หน้าตาเปลี่ยนจากตกใจเป็นดีใจสุดขีด

ผม ลิสา และป้าลินได้แต่ยืนงง…

"เซน! เซนจริงๆด้วย" คุณฝนเขาเปลี่ยนจากหน้าตกใจเป็นหน้าซึ้งใจ ยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาพ่อ ผมเห็นเหมือนเขาจะมีน้ำตาคลอๆด้วย

อ้าว! เฮ้ย! พวกเค้ารู้จักกันหรอกเหรอเนี่ย แล้วทำไมเค้าต้องทำท่าตื่นเต้นกันขนาดนั้น เค้าสนิทสนมกันมาก่อนรึ

"ฝนกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ กลับมานานหรือยัง" พ่อทำเหมือนไม่มีพวกเรายืนอยู่ตรงนั้น เอาแต่จ้องหน้าคุณฝน ตอนนี้มือทั้งสองข้างของเขาจับต้นแขนทั้งสองข้างของคุณฝนไว้แน่น

"ก็เอ่อ… ได้ซักพักแล้ว" คุณฝนเขาดูอึกอัก พยายามจะหลบตาพ่อ

"แล้วทำไมไม่ติดต่อผมเลย แล้วตอนนี้ฝนอยู่ที่ไหน แล้วจะกลับไปอีกไหม" พ่อเขาถามรัวๆ แถมทำเสียงละห้อยกับคุณฝน และสายตาเขาก็ละห้อยสุดๆด้วย ผมเลยแอบปรายตามองไปทางป้าลินกับลิสา เห็นสองคนนั่นกำลังยืนนิ่งอึ้งอยู่เหมือนกัน

เอ่อ…ผมว่าผมมองไม่ผิดนะ ผมเห็นแววตาป้าลินมีความสงสัยและความน้อยใจฉายออกมาอย่างเห็นได้ชัด

"คือ… ฝน… คือ… อ้าว หนูลิสา อ้าว คุณ…" คุณฝนตะกุกตะกัก มองไปมองมา แล้วเหมือนเขาจะเพิ่งสังเกตได้ว่ามีลิสากับป้าลินยืนอยู่ตรงนี้ด้วย เขาจึงหันมาทางพวกเรา ทำให้พ่อผมเริ่มรู้สึกตัวไปด้วยแล้วว่ามีพวกเราทุกคนยืนอยู่ตรงนี้เช่นกัน พ่อจึงปล่อยมือจากแขนของคุณฝนแล้วหันมาทางพวกเราบ้าง

"เอ๊ะ? แล้ว?…" พ่อเขาคงงงว่าคุณฝนรู้จักพวกเราด้วย?

"ลิสากับเรนรู้จักคุณฝนแล้วค่ะ คุณฝนเป็นเจ้าของร้านขนมที่ลิสาไปซื้อมาให้คุณยายไงคะ ขนมร้านคุณฝนอร่อยมากเลย" ลิสาพูดเสียงใส คงอยากจะพยายามทำให้บรรยากาศแปลกๆนั่นดีขึ้น

"ฝนเจอกับเรนแล้วเหรอเนี่ย!" แต่น้ำเสียงที่ตกอกตกใจของพ่อทำให้บรรยากาศดูยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ พ่อหันหน้ามามองสลับไปมาระหว่างผมกับคุณฝน ตาตี่ๆของพ่อดูซ่อนความตระหนกไว้ไม่มิด

"เอ่อ…"

คุณฝนเธอพยายามไม่สนใจอาการประหลาดพ่อโดยการจ้องไปทางป้าลิน "เอ้อ… ชั้นจำได้ว่าเคยเจอคุณมาก่อน"

อ้าว ป้าลินก็รู้จักคุณฝน กลายเป็นว่าทุกคนรู้จักคุณฝนเหรอเนี่ย อะไรโลกมันจะกลมขนาดนั้นวะ

"คือ… สงสัยจะเจอกันที่หน้าบ้านคุณเซนน่ะค่ะ" แต่เสียงของป้าลินเบาหวิวยังไงไม่รู้แฮะ ตอนนี้สีหน้าของป้าลินดูยากจะบรรยาย หน้าป้าเขาเหมือนจะร้องไห้หรือเปล่าวะ

"หน้าบ้านผม?" พ่อเขาทวนคำของป้าลิน แล้วก็หันไปทางคุณฝน "ฝนไปบ้านผมมาเหรอ? เมื่อไหร่กัน?"

"เซน… ฝนมีธุระ ต้องรีบไปก่อนนะ แล้วค่อยเจอกัน" คุณฝนพูดกับพ่อ แล้วก็หันมาทางพวกเรา และส่งสายตาเป็นพิเศษมาหาผมหนึ่งแวบ "ไปก่อนนะคะ" ก่อนจะรีบเดินไปอีกทางอย่างรวดเร็วเหมือนผู้ร้ายกำลังหนีตำรวจที่ตามล่าอยู่

คุยกันอยู่ดีๆก็ไปเฉย ต้องรีบขนาดนั้นเลยเรอะ? อะไรของเค้าวะครับ?

"ฝน! เดี๋ยวก่อน! เดี๋ยว! ฝน!" พ่อพยายามเร่งเดินตามไปสองสามก้าว แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจหยุดยืนอยู่อย่างนั้นพลางมองตามหลังคุณฝนไป เหมือนเขากำลังยืนคิดอะไรอยู่ เวลาผ่านไปครู่นึงพ่อก็เดินกลับมาหาพวกเรา

…แล้วพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"ไปกินข้าวเที่ยงกันเถอะครับ หิวแล้ว"

ผมนี่งงกับท่าทางแปลกๆของพ่อมากเลย วันนี้พ่อมีอาการแปลกๆทั้งวัน แปลกใส่ทั้งกับป้าลิน แล้วก็แปลกใส่กับคุณฝน

เกิดอะไรขึ้นกับพ่อผมกันแน่วะฮะเนี่ย?

และผมก็เริ่มจะงงๆกับคุณฝนเค้าเหมือนกันด้วย ทำไมเราบังเอิญเจอกันบ่อยจัง เหมือนเขาจะเข้ามาในผลุบโผล่ๆในชีวิตของผมและคนรอบๆตัวผม เริ่มแรกผมกับลิสาเจอเค้าที่ร้านขนม ต่อมาผมเห็นเค้าบ่อยๆที่หน้าโรงเรียน ส่วนป้าลินก็เจอเค้าที่หน้าบ้านผม แล้ววันนี้พวกเราทั้งหมดเจอเค้าพร้อมกันที่หน้าหอศิลป์นี่

แล้วที่สำคัญ ดูเหมือนว่าพ่อผมจะรู้จักคุณฝนก่อนใคร น่าจะรู้จักกันมานานแล้วด้วย…