เมื่อเงื่อนไขของศัสตราครบกุญแจแห่งพันธสัญญาก็เลื่อนขั้น เลเวลของเขาเพิ่มขึ้นเป็นสิบสองในทันที รั้งท้ายเพื่อน แต่เขายังคิดว่าตัวเองเหนือกว่าขัตติยะอยู่
พอดูเงื่อนไขการเลื่อนขั้นกุญแจอีกครั้ง ศัสตราและเซเรียก็ตัดสินใจที่จะเกาะติดขัตติยะอย่างแน่วแน่น
แล้วก็เตรียมนัดเจอกันที่นอกดันเจี้ยนด้วย
พอออกมาแล้วขัตติยะและศัสตราก็มาปรากฎที่บ้าน แม่ทับทิมที่เพิ่งกลับมาเห็นในจังหวะที่นั่งสองคนเพิ่งกลับมาก็ยกมือปิดปากด้วยความตกใจ
ในใจศัสตราคิดว่าแย่แล้ว แต่ขัตติยะยังนิ่งเฉย
"กลับมาแล้วเหรอครับแม่?"
"กลับมาแล้วจ๊ะ นี่ไปดันเจี้ยนล็อกมาเหรอลูก"
"ใช่แล้วครับ นี่ก็เพิ่งกลับมา... แต่แม่กลับเร็วจัง?"
"เร็วอะไรกัน ปกติก็เวลานี้แหละ กลับบ้านมานอนดึกก็ไม่ดีต่อความงามนะ"
"งั้นแม่ขึ้นไปพักผ่อนนะครับ ส่วนผมจะไปส่งศัสตราหน่อย"
"จ้าๆ เดินทางกลับดีๆ นะลูกดาบ"
"คะ... ครับคุณน้า ราตรีสวัสดิ์ครับ" ศัสตราบอกลาอย่างมึนงง คุณแม่ทับทิมก็เดินขึ้นไปห้องด้านบนโดยไม่ได้เป็นห่วงอะไรนัก
ศัสตราหันมามองขัตติยะด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม
"ทำไมแม่ของนายถึงดูใจเย็นขนาดนั้น รู้เรื่องที่นายเป็นแอ็กนัสแล้วเหรอ?" เห็นตอนแรกทำปิดปากเงียบไม่ให้ส่งเสียงก็นึกว่ายังปิดบังครอบครัว แต่ทำไมกลายเป็นเรื่องปกติของบ้านนี้ไปได้กัน
โคตรแปลกเลยนะเนี่ย
"นายรู้จักฉันมานานไม่รู้เหรอว่าครอบครัวฉันนิสัยยังไง?" ขัตติยะเลิกคิ้ว ขนาดเขาที่เพิ่งมาอยู่โลกนี้ยังไม่ถึงเดือนยังรู้จักพวกเขาเป็นอย่างดี
พวกเขาเป็นพ่อแม่ที่เข้าใจลูกและค่อนข้างที่จะตามใจทีเดียว
ไม่ว่าขัตติยะคนเดิมอยากจะทำอะไรหรืออยากเรียนอะไรก็จะได้ทำโดยไม่ห้ามปราม แต่มีคำเตือนและการสั่งสอนมอบให้อยู่บ้าง ไม่ได้ปล่อยปละละเลย
พวกเขารู้ว่าขัตติยะมีความอยากรู้อยากเห็นมาก และเตรียมใจเผื่อไว้แล้วสำหรับวันหนึ่งที่ลูกชายคนเดียวจะกลายเป็นแอ็กนัสหรือออกไปเป็นฮันเตอร์ ถึงจะเป็นห่วงก็ไม่ได้โวยวาย แต่พูดคุยกันรู้เรื่องโดยที่จะไม่มีความค้างคาใจในภายหลัง
สิ่งที่พ่อแม่บอกเขาตอนที่รู้เรื่องนี้ก็คือ 'คนอื่นน่าช่างหัวมัน ลูกรอดก็พอแล้ว'
ไม่ได้สอนให้ต้องเป็นคนดี ช่วยเหลือคนอื่นหรือเสียสละตัวเอง แค่มีชีวิตรอดเท่านั้น
ในดันเจี้ยนไม่ได้มีสังคม ไม่ได้มีกฎหมาย
แข็งแกร่งอยู่รอด อ่อนแอก็ตาย
อย่าไปคาดหวังกับใคร อย่าเชื่อใจใครง่ายๆ
แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักปรับตัวด้วย ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูที่ถาวรที่แท้จริงบนโลกนี้
ช่างเป็นคำสอนที่คุ้นเคย เหมือนได้ยินจากพี่สาวที่โลกเดิมเลย
นั่นทำให้เขารู้สึกสนิทสนมกับครอบครัวมากแม้ว่าจะไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่าพ่อแม่มานานหลายสิบปีแล้วก็ตาม
มีทั้งความรักและความเชื่อมั่นในตัวลูกชายอย่างเต็มที่
"ฉันรู้เรื่องครอบครัวนาย แต่ไม่คิดว่าจะยอมรับกันง่ายขนาดนี้ ขนาดพ่อแม่ของฉันยังบ่นตั้งแต่หลายวันยังไม่ยอมหยุดจนทุกวันนี้เลย" ศัสตราขวดขมับเมื่อนึกถึงครอบครัวตัวเอง
"พวกเขาก็เป็นห่วงนายไง ลูกชายทั้งคน"
"แต่ห่วงเกินไป อย่างฉันจะตายง่ายๆ ได้ยังไงกัน"
"...ฮ่าๆ นั่นสินะ"
ขัตติยะจะไม่พูดเรื่องนี้แล้วกัน
ศัสตราไม่ได้มีความโดดเด่นในนิยายที่พี่สาวของเขาเขียน ดังนั้นอาจจะหมายความว่าวันหนึ่งเขาจะต้องตายในดันเจี้ยนล็อกอย่างแน่นอน
แต่เมื่อขัตติยะมาอยู่ที่นี่เส้นทางของศัสตราจะไม่ใช่ทางตันอีกต่อไป
เพื่อนสนิทคนแรกบนโลกนี้ของเขาไม่ปล่อยให้ตายง่ายๆ หรอก
"ตอนนี้เพิ่มเพื่อนกับเซเรียแล้ว อีกสองวันเธอจะเดินทางมาที่คอนโดมิเนียมของฉัน นายก็ต้องไปด้วยนะ" ศัสตราเปิดสมาร์ทโฟนดูเมื่อมีการแจ้งเตือนขึ้นมาพร้อมกับการตั้งกลุ่มเพื่อนที่ชื่อกลุ่มน่าหัวเราะอย่างยิ่ง
'วิหารมหาเทพแอ็กนัส'
ทำซะอย่างกับกลุ่มคลั่งศาสนาเลยนะ
แต่เขาก็ชอบมัน
ดูกาวดี
"วันนัดเดี๋ยวฉันขับรถไปคอนโดมิเนียมของนายเองนะดาบ แล้วก็พรุ่งนี้ช่วยติดต่อคนซื้อซากศพมอนสเตอร์และแก่นพลังเวทด้วยสิ ถึงมันจะไม่เน่าเสียเมื่ออยู่ในช่องเก็บของแต่มันก็เปลืองเนื้อที่น่ะ"
"ไม่มีปัญหา ทางฉันมีเส้นสายเกี่ยวกับการซื้อขายซากมอนสเตอร์อยู่ รวมถึงอาวุธด้วย"
"ดีเลย ฉันต้องการดาบใหม่เหมือนกัน ที่นายยืมไปมันใกล้พังแล้ว ส่วนของนายก็พังแล้ว" ขัตติยะหัวเราะเยาะดาบของเพื่อนที่คุณภาพต่ำกว่าของเขา
ศัสตรากัดฟันกรอด
"ดาบของฉันน่ะของดีกว่านายเยอะ! แต่มันพังเพราะไม่ได้เคลือบอาวุธไว้ต่างหาก แล้วดาบที่ยืมนายนั่นฉันจะชดใช้ให้ เพราะงั้นเลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้วครับคุณขัตติยะ!"
"จ้าๆ หยุดแล้วครับ ขอบคุณที่เลี้ยงนะครับคุณศัสตรา"
เมื่อเพื่อนจะชดใช้ดาบเล่มใหม่ให้เขาขัตติยะก็ยิ้มอย่างเบิกบาน เพราะเงินทุนของอีกฝ่ายหนากว่าและเส้นสายก็มากกว่า เขาอาจจะได้อาวุธที่ดีกว่าเดิมจากการซื้อผ่านศัสตราก็ได้
ศัสตรากลับบ้านไปแล้ว ส่วนขัตติยะก็กลับห้องไปเปลี่ยนชุด
ถึงแม้แม่ทับทิมจะไม่ได้ทักเรื่องรอยเลือด แต่เขาก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายกังวลใจมากเกินไปอยู่ดี
เขารู้ว่าตอนคุยกันก่อนหน้านี้สายตาของแม่ทับทิมกวาดมองจนทั่วตัวของเขาแล้ว แต่ร่างกายไม่มีบาดแผลอะไรให้เห็นเพราะเขาใช้สกิลรักษาแล้ว ดังนั้นเธอจึงขึ้นไปพักผ่อนอย่างสบายใจได้
"เอาล่ะ ตอนนี้ก็มาดูสเตตัสดีกว่าว่าจะเอาไปลงอะไรดี" ขัตติยะเปิดหน้าสเตตัสขึ้นดูแล้วครุ่นคิดไปด้วย "วันนี้ได้ทดสอบแล้วพาลาดินศักดิ์สิทธิ์ก็ถือว่าเป็นสายต่อสู้ที่ดีมาก แต่ถ้าจะให้โจมตีแรงกว่านี้ก็ต้องใช้ออร่าดาบสินะ"
เขาเห็นศัสตราใช้สกิลออร่าดาบแล้ว
มันก็เหมือนกับสกิลเคลือบอาวุธศักดิ์สิทธิ์ แต่มันเพิ่มพลังโจมตีให้กับอาวุธไม่ได้ไม่ได้เพิ่มพลังป้องกันให้ ดังนั้นใช้สกิลเคลือบอาวุธศักดิ์สิทธิ์ควบคู่กับออร่าดาบจะได้ผลลัพธ์ที่ดี
อนาคตเขาจะไปบู๊แนวหน้า เพราะงั้นก็ลงอะไรที่มันส่งเสริมสายโจมตีแล้วกัน
[สเตตัส]
ผู้ถือกุญแจ – ขัตติยะ (19)
อาชีพ – อยากเป็นอะไรก็ตามใจ (EX)
ระดับ – 17
พลังชีวิต –2130/2130
พลังเวท – 514/514
พลังกาย – 31
ความคล่องตัว – 25
ความทนทาน – 15
ความแม่นยำ – 19
สติปัญญา – 25
โชค – 13
คะแนนโบนัส – 0
ดูแล้วถึกขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย
แต่คิดว่าถ้าค่าทนทานน้อยไปหน่อยคราวหน้าเขาล้มหัวฟาดก้อนหินจะหัวแตกอีกไหม
เรื่องหัวแตกจะเป็นเรื่องฝังใจขัตติยะน่าดู
เป็นปมยิ่งกว่าถูกแทงข้างหลังตายที่โลกเดิมซะอีก
"มีรางวัลที่ได้ตอนเลื่อนขั้นกุญแจไหมแฟร์" ขัตติยะถามระบบผู้ช่วยของเขา
เห็นคนอื่นได้สกิลเพิ่ม เขาก็อยากจะรู้ว่าอาชีพของเขามันมีรึเปล่า
ถึงจะไม่ได้คาดหวังสกิลแต่อย่างน้อยก็ต้องมีรางวัลใช่ไหม?
[ไม่มีรางวัลให้โฮสต์]
"ระบบแย่"
[หมายถึงระบบกุญแจแห่งพันธสัญญาสินะ แฟร์ทำงานดีเสมอมา]
"ครับๆ แฟร์ของเราเก่งที่สุด"
[โฮสต์ไม่อาจหวังสกิลได้ เพราะอาชีพของโฮสต์คือจุดสูงสุดแล้ว ระบบของกุญแจแห่งพันธสัญญาจึงไม่สามารถมอบอะไรให้ได้]
"อ้อ เป็นอย่างนั้นเอง" ขัตติยะพยักหน้าเข้าใจ
สกิลของเขามีเยอะมากจริงๆ ถ้ามีเพิ่มเข้ามาอีกก็ต้องอ่านกันปวดหัว ทั้งวิธีใช้งาน ทั้งระยะเวลาใช้งาน ทั้งคูลดาวน์ ต้องคำนวณวุ่นวายไปหมด
มีสกิลเยอะก็ใช่ว่าจะดีเสมอไปหรอกนะ การใช้ให้เกิดประโยชน์ต่างหากถึงจะดี
"ส่วนสกิลที่เลื่อนขึ้นเป็นระดับสามก็ความชำนาญมีดสั้นสินะ"
[ชำนาญมีดสั้นขั้นสูง
ประเภท – ติดตัว (ระดับ 3)
รายละเอียด – เพิ่มพลังโจมตีให้อาวุธประเภทมีดสั้น +50% เพิ่มความเร็ว 15%]
"สกิลขั้นสูงเนี่ยดีจังนะ ไม่ต้องไปเริ่มต้นก็ให้ค่าโจมตีตั้งขนาดนี้"
[ความต่างของระดับชั้นสูง กลางและต่ำ คือพลังโจมตี ความเร็ว ความแม่นยำ พลังกายที่ใช้ แม้จะไม่ได้ระบุเป็นตัวเลขที่ชัดเจน แต่มันก็มีความเกี่ยวข้องกัน โฮสต์ที่ได้รับสกิลระดับสูงเลยจึงไม่รู้ถึงความแตกต่างนี้]
"งั้นเหรอ? หรือฉันควรจะไปเริ่มที่ระดับต่ำก่อนดี..."
[แฟร์ไม่แนะนำ เมื่อได้รับความชำนาญขั้นสูงแล้ว การไปใช้ระดับต่ำกว่ามันจะเพิ่มระดับจนเต็มให้เอง ไม่มีประโยชน์สำหรับโฮสต์]
"อ้อ... งั้นก็ใช้พวกสกิลสูงๆ ไปเลยสิเนอะ"
[บางสกิลมีแค่ระดับต่ำแต่มีประโยชน์ โฮสต์ต้องหาเวลาตรวจสอบให้หมด]
"จ้าๆ ฉันเลือกไว้บ้างแล้วล่ะว่าจะเอาอาชีพอะไรบ้าง... แต่มีดสั้นก็คล่องมือดี งั้นตอนไปเลือกอาวุธก็เอามีดสั้นมาด้วยดีกว่า แต่ฉันควรเลือกอาวุธหลายๆ ประเภทไว้ดีรึเปล่านะ ไหนๆ ก็ได้ชำนาญอาวุธขั้นสูงมาแล้ว"
[เลือกชำนาญอย่างใดอย่างหนึ่งจะพัฒนาได้เร็วกว่า]
แฟร์ช่วยแนะนำ อาชีพส่วนใหญ่แล้วก็มุ่งเน้นไปที่ทางใดทางหนึ่งเหมือนกัน การที่จะเก่งกาจรอบด้านสามารถทำได้ก็จริง แต่มันก็ต้องใช้เวลามากมาย
ขัตติยะไม่มีเวลามากขนาดนั้น
เขาเองก็รู้ดี เพราะเขาเข้ามาในช่วงห้าปีก่อนที่เซฟโซนสุดท้ายจะแตกออก ซึ่งระยะเวลาถือว่านานมาก แต่มันไม่นานพอที่จะทำให้ขัตติยะพัฒนาขุมพลัง
การพัฒนาพลังและอำนาจ ไม่ใช่การสร้างมันได้เพียงแค่มีผู้คน สิ่งที่สำคัญคือแผนการ ความสามัคคี ความภักดี
และที่ขาดไม่ได้คือเงินตรา...
ตอนนี้เขามีแต่เงิน เพื่อนก็มีแค่ศัสตรากับเซเรีย ที่เหลือยังไม่มีอะไรเลย
"แล้วก็ช่วงนี้คงไม่ได้เข้าไปในดันเจี้ยนไหนสักพัก ถ้าเข้าไปแล้วยืดเวลาไปดันเจี้ยนล็อกออกไปจะมีปัญหาเหมือนกันอีก แต่ครั้งนี้โชคดีที่เจอเซเรียนะ"
[แอ็กนัสกุญแจสีทองคนนั้นพิเศษหรือ?]
"พิเศษสิ เธอคือคนหนึ่งที่เป็นอำนาจสำคัญในเซฟโซนประเทศไทยในอนาคตเลยนะ แต่นั่นมันก็หลังจากนี้หนึ่งปี ซึ่งระดับของเธอก็พัฒนาไปจนถึงสี่สิบกว่าแล้ว ในช่วงหนึ่งปีนั่นไม่รู้ว่าผ่านความยากลำบากอะไรไปบ้างนะ"
เซเรียมีชื่อเสียงเป็นมือสังหารแห่งความมืดที่มีใบหน้ายิ้มแย้มสดใส นอกจากเป็นแอ็กนัสเธอยังรับงานเกี่ยวกับการปิดดันเจี้ยนด้วย
ดันเจี้ยนระดับต่ำสุดที่ในอนาคตมันจะไม่มีประโยชน์อะไรกับฮันเตอร์ที่แข็งแกร่งขึ้น ส่วนฮันเตอร์ที่ถูกปลุกพลังก็มีแต่ระดับสูงขึ้น ดังนั้นการปิดดันเจี้ยนที่ไม่จำเป็นเพื่อเรียกคืนพื้นที่สงบจึงได้มีการว่าจ้างแอ็กนัสเข้าดันเจี้ยนด้วย
ฮันเตอร์ระดับสูงทั้งหลายจะปิดดันเจี้ยนโดยมีแอ็กนัสเข้าร่วม จะต้องปกป้องแอ็กนัสด้วย เพราะถ้าแอ็กนัสตายในดันเจี้ยน แม้จะฆ่าบอสดันเจี้ยนได้แล้วก็ไม่สามารถปิดดันเจี้ยนได้ และระดับดันเจี้ยนก็จะไม่ลดลง มีแต่จะสูงขึ้นถ้ามีแอ็กนัสเข้าไปอีก
ดังนั้นแอ็กนัสที่จะเข้าไปด้วยก็ต้องมีฝีมือเช่นกัน
ขัตติยะนั่งเท้าคางแล้วมองที่ผนังห้องสีขาวอย่างเหม่อลอย บางทีมันคงถึงเวลาที่เขาจะต้องกำหนดเป้าหมายของตัวเองแล้วรึเปล่านะ
เพราะได้ลองปรับตัวให้เข้ากับสังคมปัจจุบันแล้ว ปรับตัวให้เข้ากับดันเจี้ยนล็อกต่างๆ แล้ว เรื่องความคุ้นเคยก็ไม่ต้องไปพูดถึง เพราะเขามีความทรงจำของขัตติยะเดิมอยู่
ส่วนการต่อสู้... หลังจากได้ใช้อาวุธฆ่ามอนสเตอร์ไปแล้วก็ไม่ได้มีความรู้สึกผิดปกติอะไร
หรือเพราะมอนสเตอร์เป็นแมลงเขาเลยไม่ได้รู้สึกแย่เกี่ยวกับการฆ่ามากนัก
มันเหมือนกับตอนฆ่ายุงอะไรแบบนั้น?
แต่สิ่งที่ขัตติยะได้สัมผัสจริงๆ ในการเข้าดันเจี้ยนครั้งนี้การความเจ็บปวดที่ได้รับและความหวาดกลัวต่อมอนสเตอร์เป็นครั้งแรกเมื่อถูกคุกคามจริงๆ
ถึงมันจะจางหายไปอย่างรวดเร็วก็ตาม
เพราะเขาฆ่ามันกลับได้
แล้วถ้าฆ่าไม่ได้ล่ะ? ขัตติยะขมวดคิ้ว
แน่นอนว่าขัตติยะก็กลัวความตายเหมือนกัน ถึงจะเคยตายมาแล้วแต่การตายไปโดยที่มีเรื่องค้างคาใจมากมายมันไม่ยุติธรรม
งั้นชีวิตนี้ก็ใช้เพื่ออยู่อย่างไม่ค้างคาใจก็แล้วกัน
เป้าหมายแรกสุดก็คือแข็งแกร่งขึ้น
แข็งแกร่งจนกว่าสกิลแกะหรือหมาป่าไม่จำเป็นอีกต่อไป!