webnovel

บทที่ 11 : เป้าหมายแรก

เมื่อเงื่อนไขของศัสตราครบกุญแจแห่งพันธสัญญาก็เลื่อนขั้น เลเวลของเขาเพิ่มขึ้นเป็นสิบสองในทันที รั้งท้ายเพื่อน แต่เขายังคิดว่าตัวเองเหนือกว่าขัตติยะอยู่

พอดูเงื่อนไขการเลื่อนขั้นกุญแจอีกครั้ง ศัสตราและเซเรียก็ตัดสินใจที่จะเกาะติดขัตติยะอย่างแน่วแน่น

แล้วก็เตรียมนัดเจอกันที่นอกดันเจี้ยนด้วย

พอออกมาแล้วขัตติยะและศัสตราก็มาปรากฎที่บ้าน แม่ทับทิมที่เพิ่งกลับมาเห็นในจังหวะที่นั่งสองคนเพิ่งกลับมาก็ยกมือปิดปากด้วยความตกใจ

ในใจศัสตราคิดว่าแย่แล้ว แต่ขัตติยะยังนิ่งเฉย

"กลับมาแล้วเหรอครับแม่?"

"กลับมาแล้วจ๊ะ นี่ไปดันเจี้ยนล็อกมาเหรอลูก"

"ใช่แล้วครับ นี่ก็เพิ่งกลับมา... แต่แม่กลับเร็วจัง?"

"เร็วอะไรกัน ปกติก็เวลานี้แหละ กลับบ้านมานอนดึกก็ไม่ดีต่อความงามนะ"

"งั้นแม่ขึ้นไปพักผ่อนนะครับ ส่วนผมจะไปส่งศัสตราหน่อย"

"จ้าๆ เดินทางกลับดีๆ นะลูกดาบ"

"คะ... ครับคุณน้า ราตรีสวัสดิ์ครับ" ศัสตราบอกลาอย่างมึนงง คุณแม่ทับทิมก็เดินขึ้นไปห้องด้านบนโดยไม่ได้เป็นห่วงอะไรนัก

ศัสตราหันมามองขัตติยะด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม

"ทำไมแม่ของนายถึงดูใจเย็นขนาดนั้น รู้เรื่องที่นายเป็นแอ็กนัสแล้วเหรอ?" เห็นตอนแรกทำปิดปากเงียบไม่ให้ส่งเสียงก็นึกว่ายังปิดบังครอบครัว แต่ทำไมกลายเป็นเรื่องปกติของบ้านนี้ไปได้กัน

โคตรแปลกเลยนะเนี่ย

"นายรู้จักฉันมานานไม่รู้เหรอว่าครอบครัวฉันนิสัยยังไง?" ขัตติยะเลิกคิ้ว ขนาดเขาที่เพิ่งมาอยู่โลกนี้ยังไม่ถึงเดือนยังรู้จักพวกเขาเป็นอย่างดี

พวกเขาเป็นพ่อแม่ที่เข้าใจลูกและค่อนข้างที่จะตามใจทีเดียว

ไม่ว่าขัตติยะคนเดิมอยากจะทำอะไรหรืออยากเรียนอะไรก็จะได้ทำโดยไม่ห้ามปราม แต่มีคำเตือนและการสั่งสอนมอบให้อยู่บ้าง ไม่ได้ปล่อยปละละเลย

พวกเขารู้ว่าขัตติยะมีความอยากรู้อยากเห็นมาก และเตรียมใจเผื่อไว้แล้วสำหรับวันหนึ่งที่ลูกชายคนเดียวจะกลายเป็นแอ็กนัสหรือออกไปเป็นฮันเตอร์ ถึงจะเป็นห่วงก็ไม่ได้โวยวาย แต่พูดคุยกันรู้เรื่องโดยที่จะไม่มีความค้างคาใจในภายหลัง

สิ่งที่พ่อแม่บอกเขาตอนที่รู้เรื่องนี้ก็คือ 'คนอื่นน่าช่างหัวมัน ลูกรอดก็พอแล้ว'

ไม่ได้สอนให้ต้องเป็นคนดี ช่วยเหลือคนอื่นหรือเสียสละตัวเอง แค่มีชีวิตรอดเท่านั้น

ในดันเจี้ยนไม่ได้มีสังคม ไม่ได้มีกฎหมาย

แข็งแกร่งอยู่รอด อ่อนแอก็ตาย

อย่าไปคาดหวังกับใคร อย่าเชื่อใจใครง่ายๆ

แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักปรับตัวด้วย ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูที่ถาวรที่แท้จริงบนโลกนี้

ช่างเป็นคำสอนที่คุ้นเคย เหมือนได้ยินจากพี่สาวที่โลกเดิมเลย

นั่นทำให้เขารู้สึกสนิทสนมกับครอบครัวมากแม้ว่าจะไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่าพ่อแม่มานานหลายสิบปีแล้วก็ตาม

มีทั้งความรักและความเชื่อมั่นในตัวลูกชายอย่างเต็มที่

"ฉันรู้เรื่องครอบครัวนาย แต่ไม่คิดว่าจะยอมรับกันง่ายขนาดนี้ ขนาดพ่อแม่ของฉันยังบ่นตั้งแต่หลายวันยังไม่ยอมหยุดจนทุกวันนี้เลย" ศัสตราขวดขมับเมื่อนึกถึงครอบครัวตัวเอง

"พวกเขาก็เป็นห่วงนายไง ลูกชายทั้งคน"

"แต่ห่วงเกินไป อย่างฉันจะตายง่ายๆ ได้ยังไงกัน"

"...ฮ่าๆ นั่นสินะ"

ขัตติยะจะไม่พูดเรื่องนี้แล้วกัน

ศัสตราไม่ได้มีความโดดเด่นในนิยายที่พี่สาวของเขาเขียน ดังนั้นอาจจะหมายความว่าวันหนึ่งเขาจะต้องตายในดันเจี้ยนล็อกอย่างแน่นอน

แต่เมื่อขัตติยะมาอยู่ที่นี่เส้นทางของศัสตราจะไม่ใช่ทางตันอีกต่อไป

เพื่อนสนิทคนแรกบนโลกนี้ของเขาไม่ปล่อยให้ตายง่ายๆ หรอก

"ตอนนี้เพิ่มเพื่อนกับเซเรียแล้ว อีกสองวันเธอจะเดินทางมาที่คอนโดมิเนียมของฉัน นายก็ต้องไปด้วยนะ" ศัสตราเปิดสมาร์ทโฟนดูเมื่อมีการแจ้งเตือนขึ้นมาพร้อมกับการตั้งกลุ่มเพื่อนที่ชื่อกลุ่มน่าหัวเราะอย่างยิ่ง

'วิหารมหาเทพแอ็กนัส'

ทำซะอย่างกับกลุ่มคลั่งศาสนาเลยนะ

แต่เขาก็ชอบมัน

ดูกาวดี

"วันนัดเดี๋ยวฉันขับรถไปคอนโดมิเนียมของนายเองนะดาบ แล้วก็พรุ่งนี้ช่วยติดต่อคนซื้อซากศพมอนสเตอร์และแก่นพลังเวทด้วยสิ ถึงมันจะไม่เน่าเสียเมื่ออยู่ในช่องเก็บของแต่มันก็เปลืองเนื้อที่น่ะ"

"ไม่มีปัญหา ทางฉันมีเส้นสายเกี่ยวกับการซื้อขายซากมอนสเตอร์อยู่ รวมถึงอาวุธด้วย"

"ดีเลย ฉันต้องการดาบใหม่เหมือนกัน ที่นายยืมไปมันใกล้พังแล้ว ส่วนของนายก็พังแล้ว" ขัตติยะหัวเราะเยาะดาบของเพื่อนที่คุณภาพต่ำกว่าของเขา

ศัสตรากัดฟันกรอด

"ดาบของฉันน่ะของดีกว่านายเยอะ! แต่มันพังเพราะไม่ได้เคลือบอาวุธไว้ต่างหาก แล้วดาบที่ยืมนายนั่นฉันจะชดใช้ให้ เพราะงั้นเลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้วครับคุณขัตติยะ!"

"จ้าๆ หยุดแล้วครับ ขอบคุณที่เลี้ยงนะครับคุณศัสตรา"

เมื่อเพื่อนจะชดใช้ดาบเล่มใหม่ให้เขาขัตติยะก็ยิ้มอย่างเบิกบาน เพราะเงินทุนของอีกฝ่ายหนากว่าและเส้นสายก็มากกว่า เขาอาจจะได้อาวุธที่ดีกว่าเดิมจากการซื้อผ่านศัสตราก็ได้

ศัสตรากลับบ้านไปแล้ว ส่วนขัตติยะก็กลับห้องไปเปลี่ยนชุด

ถึงแม้แม่ทับทิมจะไม่ได้ทักเรื่องรอยเลือด แต่เขาก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายกังวลใจมากเกินไปอยู่ดี

เขารู้ว่าตอนคุยกันก่อนหน้านี้สายตาของแม่ทับทิมกวาดมองจนทั่วตัวของเขาแล้ว แต่ร่างกายไม่มีบาดแผลอะไรให้เห็นเพราะเขาใช้สกิลรักษาแล้ว ดังนั้นเธอจึงขึ้นไปพักผ่อนอย่างสบายใจได้

"เอาล่ะ ตอนนี้ก็มาดูสเตตัสดีกว่าว่าจะเอาไปลงอะไรดี" ขัตติยะเปิดหน้าสเตตัสขึ้นดูแล้วครุ่นคิดไปด้วย "วันนี้ได้ทดสอบแล้วพาลาดินศักดิ์สิทธิ์ก็ถือว่าเป็นสายต่อสู้ที่ดีมาก แต่ถ้าจะให้โจมตีแรงกว่านี้ก็ต้องใช้ออร่าดาบสินะ"

เขาเห็นศัสตราใช้สกิลออร่าดาบแล้ว

มันก็เหมือนกับสกิลเคลือบอาวุธศักดิ์สิทธิ์ แต่มันเพิ่มพลังโจมตีให้กับอาวุธไม่ได้ไม่ได้เพิ่มพลังป้องกันให้ ดังนั้นใช้สกิลเคลือบอาวุธศักดิ์สิทธิ์ควบคู่กับออร่าดาบจะได้ผลลัพธ์ที่ดี

อนาคตเขาจะไปบู๊แนวหน้า เพราะงั้นก็ลงอะไรที่มันส่งเสริมสายโจมตีแล้วกัน

[สเตตัส]

ผู้ถือกุญแจ – ขัตติยะ (19)

อาชีพ – อยากเป็นอะไรก็ตามใจ (EX)

ระดับ – 17

พลังชีวิต –2130/2130

พลังเวท – 514/514

พลังกาย – 31

ความคล่องตัว – 25

ความทนทาน – 15

ความแม่นยำ – 19

สติปัญญา – 25

โชค – 13

คะแนนโบนัส – 0

ดูแล้วถึกขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย

แต่คิดว่าถ้าค่าทนทานน้อยไปหน่อยคราวหน้าเขาล้มหัวฟาดก้อนหินจะหัวแตกอีกไหม

เรื่องหัวแตกจะเป็นเรื่องฝังใจขัตติยะน่าดู

เป็นปมยิ่งกว่าถูกแทงข้างหลังตายที่โลกเดิมซะอีก

"มีรางวัลที่ได้ตอนเลื่อนขั้นกุญแจไหมแฟร์" ขัตติยะถามระบบผู้ช่วยของเขา

เห็นคนอื่นได้สกิลเพิ่ม เขาก็อยากจะรู้ว่าอาชีพของเขามันมีรึเปล่า

ถึงจะไม่ได้คาดหวังสกิลแต่อย่างน้อยก็ต้องมีรางวัลใช่ไหม?

[ไม่มีรางวัลให้โฮสต์]

"ระบบแย่"

[หมายถึงระบบกุญแจแห่งพันธสัญญาสินะ แฟร์ทำงานดีเสมอมา]

"ครับๆ แฟร์ของเราเก่งที่สุด"

[โฮสต์ไม่อาจหวังสกิลได้ เพราะอาชีพของโฮสต์คือจุดสูงสุดแล้ว ระบบของกุญแจแห่งพันธสัญญาจึงไม่สามารถมอบอะไรให้ได้]

"อ้อ เป็นอย่างนั้นเอง" ขัตติยะพยักหน้าเข้าใจ

สกิลของเขามีเยอะมากจริงๆ ถ้ามีเพิ่มเข้ามาอีกก็ต้องอ่านกันปวดหัว ทั้งวิธีใช้งาน ทั้งระยะเวลาใช้งาน ทั้งคูลดาวน์ ต้องคำนวณวุ่นวายไปหมด

มีสกิลเยอะก็ใช่ว่าจะดีเสมอไปหรอกนะ การใช้ให้เกิดประโยชน์ต่างหากถึงจะดี

"ส่วนสกิลที่เลื่อนขึ้นเป็นระดับสามก็ความชำนาญมีดสั้นสินะ"

[ชำนาญมีดสั้นขั้นสูง

ประเภท – ติดตัว (ระดับ 3)

รายละเอียด – เพิ่มพลังโจมตีให้อาวุธประเภทมีดสั้น +50% เพิ่มความเร็ว 15%]

"สกิลขั้นสูงเนี่ยดีจังนะ ไม่ต้องไปเริ่มต้นก็ให้ค่าโจมตีตั้งขนาดนี้"

[ความต่างของระดับชั้นสูง กลางและต่ำ คือพลังโจมตี ความเร็ว ความแม่นยำ พลังกายที่ใช้ แม้จะไม่ได้ระบุเป็นตัวเลขที่ชัดเจน แต่มันก็มีความเกี่ยวข้องกัน โฮสต์ที่ได้รับสกิลระดับสูงเลยจึงไม่รู้ถึงความแตกต่างนี้]

"งั้นเหรอ? หรือฉันควรจะไปเริ่มที่ระดับต่ำก่อนดี..."

[แฟร์ไม่แนะนำ เมื่อได้รับความชำนาญขั้นสูงแล้ว การไปใช้ระดับต่ำกว่ามันจะเพิ่มระดับจนเต็มให้เอง ไม่มีประโยชน์สำหรับโฮสต์]

"อ้อ... งั้นก็ใช้พวกสกิลสูงๆ ไปเลยสิเนอะ"

[บางสกิลมีแค่ระดับต่ำแต่มีประโยชน์ โฮสต์ต้องหาเวลาตรวจสอบให้หมด]

"จ้าๆ ฉันเลือกไว้บ้างแล้วล่ะว่าจะเอาอาชีพอะไรบ้าง... แต่มีดสั้นก็คล่องมือดี งั้นตอนไปเลือกอาวุธก็เอามีดสั้นมาด้วยดีกว่า แต่ฉันควรเลือกอาวุธหลายๆ ประเภทไว้ดีรึเปล่านะ ไหนๆ ก็ได้ชำนาญอาวุธขั้นสูงมาแล้ว"

[เลือกชำนาญอย่างใดอย่างหนึ่งจะพัฒนาได้เร็วกว่า]

แฟร์ช่วยแนะนำ อาชีพส่วนใหญ่แล้วก็มุ่งเน้นไปที่ทางใดทางหนึ่งเหมือนกัน การที่จะเก่งกาจรอบด้านสามารถทำได้ก็จริง แต่มันก็ต้องใช้เวลามากมาย

ขัตติยะไม่มีเวลามากขนาดนั้น

เขาเองก็รู้ดี เพราะเขาเข้ามาในช่วงห้าปีก่อนที่เซฟโซนสุดท้ายจะแตกออก ซึ่งระยะเวลาถือว่านานมาก แต่มันไม่นานพอที่จะทำให้ขัตติยะพัฒนาขุมพลัง

การพัฒนาพลังและอำนาจ ไม่ใช่การสร้างมันได้เพียงแค่มีผู้คน สิ่งที่สำคัญคือแผนการ ความสามัคคี ความภักดี

และที่ขาดไม่ได้คือเงินตรา...

ตอนนี้เขามีแต่เงิน เพื่อนก็มีแค่ศัสตรากับเซเรีย ที่เหลือยังไม่มีอะไรเลย

"แล้วก็ช่วงนี้คงไม่ได้เข้าไปในดันเจี้ยนไหนสักพัก ถ้าเข้าไปแล้วยืดเวลาไปดันเจี้ยนล็อกออกไปจะมีปัญหาเหมือนกันอีก แต่ครั้งนี้โชคดีที่เจอเซเรียนะ"

[แอ็กนัสกุญแจสีทองคนนั้นพิเศษหรือ?]

"พิเศษสิ เธอคือคนหนึ่งที่เป็นอำนาจสำคัญในเซฟโซนประเทศไทยในอนาคตเลยนะ แต่นั่นมันก็หลังจากนี้หนึ่งปี ซึ่งระดับของเธอก็พัฒนาไปจนถึงสี่สิบกว่าแล้ว ในช่วงหนึ่งปีนั่นไม่รู้ว่าผ่านความยากลำบากอะไรไปบ้างนะ"

เซเรียมีชื่อเสียงเป็นมือสังหารแห่งความมืดที่มีใบหน้ายิ้มแย้มสดใส นอกจากเป็นแอ็กนัสเธอยังรับงานเกี่ยวกับการปิดดันเจี้ยนด้วย

ดันเจี้ยนระดับต่ำสุดที่ในอนาคตมันจะไม่มีประโยชน์อะไรกับฮันเตอร์ที่แข็งแกร่งขึ้น ส่วนฮันเตอร์ที่ถูกปลุกพลังก็มีแต่ระดับสูงขึ้น ดังนั้นการปิดดันเจี้ยนที่ไม่จำเป็นเพื่อเรียกคืนพื้นที่สงบจึงได้มีการว่าจ้างแอ็กนัสเข้าดันเจี้ยนด้วย

ฮันเตอร์ระดับสูงทั้งหลายจะปิดดันเจี้ยนโดยมีแอ็กนัสเข้าร่วม จะต้องปกป้องแอ็กนัสด้วย เพราะถ้าแอ็กนัสตายในดันเจี้ยน แม้จะฆ่าบอสดันเจี้ยนได้แล้วก็ไม่สามารถปิดดันเจี้ยนได้ และระดับดันเจี้ยนก็จะไม่ลดลง มีแต่จะสูงขึ้นถ้ามีแอ็กนัสเข้าไปอีก

ดังนั้นแอ็กนัสที่จะเข้าไปด้วยก็ต้องมีฝีมือเช่นกัน

ขัตติยะนั่งเท้าคางแล้วมองที่ผนังห้องสีขาวอย่างเหม่อลอย บางทีมันคงถึงเวลาที่เขาจะต้องกำหนดเป้าหมายของตัวเองแล้วรึเปล่านะ

เพราะได้ลองปรับตัวให้เข้ากับสังคมปัจจุบันแล้ว ปรับตัวให้เข้ากับดันเจี้ยนล็อกต่างๆ แล้ว เรื่องความคุ้นเคยก็ไม่ต้องไปพูดถึง เพราะเขามีความทรงจำของขัตติยะเดิมอยู่

ส่วนการต่อสู้... หลังจากได้ใช้อาวุธฆ่ามอนสเตอร์ไปแล้วก็ไม่ได้มีความรู้สึกผิดปกติอะไร

หรือเพราะมอนสเตอร์เป็นแมลงเขาเลยไม่ได้รู้สึกแย่เกี่ยวกับการฆ่ามากนัก

มันเหมือนกับตอนฆ่ายุงอะไรแบบนั้น?

แต่สิ่งที่ขัตติยะได้สัมผัสจริงๆ ในการเข้าดันเจี้ยนครั้งนี้การความเจ็บปวดที่ได้รับและความหวาดกลัวต่อมอนสเตอร์เป็นครั้งแรกเมื่อถูกคุกคามจริงๆ

ถึงมันจะจางหายไปอย่างรวดเร็วก็ตาม

เพราะเขาฆ่ามันกลับได้

แล้วถ้าฆ่าไม่ได้ล่ะ? ขัตติยะขมวดคิ้ว

แน่นอนว่าขัตติยะก็กลัวความตายเหมือนกัน ถึงจะเคยตายมาแล้วแต่การตายไปโดยที่มีเรื่องค้างคาใจมากมายมันไม่ยุติธรรม

งั้นชีวิตนี้ก็ใช้เพื่ออยู่อย่างไม่ค้างคาใจก็แล้วกัน

เป้าหมายแรกสุดก็คือแข็งแกร่งขึ้น

แข็งแกร่งจนกว่าสกิลแกะหรือหมาป่าไม่จำเป็นอีกต่อไป!