webnovel

ปฏิญญาค่าแค้น

หลินหลัน ทะลุมิติมาเกิดใหม่ในคราบของหญิงสาวชาวบ้านที่แสนลำบากยากจน แต่โชคยังดีที่ความสามารถด้านการแพทย์และประสบการณ์รักษาผู้คนที่สั่งสมมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนั้นติดตัวมาด้วย อีกทั้งครอบครัวในชาติภพนี้ก็ดีกับนางมิใช่น้อย กระนั้นเคราะห์ร้ายก็ยังคืบคลานเข้ามา เมื่อพี่ชายผู้เป็นที่พึ่งพาเดียวของนางนั้นใสซื่อจนไม่อาจตามทันเล่ห์กลของพี่สะใภ้ที่แสนโลภมาก สุดท้ายแล้วหลินหลันก็ถูกนางบีบบังคับให้ต้องออกเรือนแต่งงานไปเป็นนางบำเรอจนได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องดึงตัว หลี่ซิ่วฉาย ชายหนุ่มรูปงามผู้มีเบื้องหลังเป็นปริศนาในหมู่บ้านเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ ทั้งสองได้ตกลงทำสัญญาขึ้นมาหนึ่งฉบับ เขาช่วยนางให้หลุดพ้นจากการคลุมถุงชน ส่วนนางจะช่วยเขาแก้แค้นและทวงทุกสิ่งอย่างที่ถูกพรากไปกับคืนมาภายในระยะเวลาสามปี ทว่าแผนการช่วยเหลือเขาให้บรรลุเป้าหมายนั้นกลับไม่ง่ายดายอย่างที่คิดนี่สิ…

จื่ออี281 · ย้อนยุค
เรตติ้งไม่พอ
339 Chs

ตอนที่ 323 บอกกล่าวตามจริง

ตอนที่ 323 บอกกล่าวตามจริง

“เจ้าช้าหน่อย เดี๋ยวก็สำลักกันพอดี” หลินหลันบอกกล่าวด้วยอย่างอ่อนโยน

หลี่หมิงอวินได้กลืนข้าวลงท้องไปสามสี่คำ จึงไม่รีบร้อนเพียงนั้นแล้ว เขามองดูหลันเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้มจนตาหยี แล้วมองไปยังท้องกลมๆ ของนาง พลางเอ่ยปากถาม “วันนี้ลูกว่านอนสอนง่ายหรือไม่ มิได้แผลงฤทธิ์ใส่เจ้าหรอกกระมัง”

หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน “ลูกว่านอนสอนง่ายกว่าเจ้าเยอะ”

หลี่หมิงอวินยิ้มเจื่อน นี่หลันเอ๋อร์กำลังตำหนิเขาที่กลับมาช้าโดยไม่ได้ตั้งใจ! หลี่หมิงอวินจึงกล่าวเสียงสลด “ข้าเป็นเช่นนั้นเสียที่ไหนกัน”

หลินหลันไม่พูดอะไรให้มากความเช่นกัน “เจ้าค่อยๆ กินไปแล้วกัน ข้าจะออกไปเดินเล่นในสวนสักสองสามรอบ” นางลงจากเตียงเตาขณะกล่าว โดยมีจิ่นซิ่วช่วยประคองนางไว้

“เจ้ารอข้าประเดี๋ยวเดียว ข้าใกล้เสร็จแล้ว” หลี่หมิงอวินรีบโกยข้าวในชามอย่างว่องไว

หลินหลันกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอ่อนหวาน “กินข้าวต้องค่อยๆ เคี้ยวให้ละเอียด เช่นนี้ถึงจะช่วยระบบย่อยอาหารได้ดี”

หลินหลันเดินพ้นประตูออกไป ก็เห็นหรูอี้หยิบเสื้อผ้าที่หมิงอวินเพิ่งเปลี่ยนจ่อไว้บริเวณปลายจมูก ภายใต้สีหน้ากล้าๆ กลัวๆ หลินหลันอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว พร้อมความรู้สึกไม่เป็นปลื้มอย่างยิ่ง เสมือนตอนที่รับรู้ว่าป๋ายฮุ่ยปกปิดนางว่าทำเสื้อผ้าให้หมิงอวิน หรือว่าหรูอี้มีความนึกคิดประเภทนั้นต่อหมิงอวินด้วย?

จิ่นซิ่วเป็นคนที่ไม่คิดอะไรมาก ไร้ความนึกคิดอันใดเลยเถิด เมื่อเห็นหรูอี้ในลักษณะเช่นนี้จึงส่งเสียงเรียกขึ้นมา “หรูอี้ เจ้าทำอันใดน่ะ”

หรูอี้กำลังใจจดต่อการครุ่นคิดเรื่องราวบางอย่าง เมื่อถูกจิ่นซิ่วตะโกนเรียก จึงตระหนกตกใจ ทันทีที่หันกลับไปมอง จึงพบว่านายหญิงสะใภ้รองออกมาแล้ว

หรูอี้คิดว่าเรื่องราวมันร้ายแรงอยู่เล็กน้อย จึงถือชุดเดินเข้ามา แล้วมองดูภายในห้องอย่างระแวดระวัง ก่อนยื่นเสื้อผ้าส่งให้นายหญิงสะใภ้รอง แล้วกล่าวเสียงกระซิบ “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านลองดมดูสิเจ้าคะ”

หลินหลันมองดูหรูอี้ที่กำลังเผยสีหน้าตรึงเครียดด้วยความสงสัย แล้วหยิบชุดมาดมเบาๆ เอ่อ! มันเป็นกลิ่นน้ำจันทน์นี่ แล้วค่อนข้างฉุนมากทีเดียวด้วย มิน่าละ พอหมิงอวินกลับเข้ามาก็หายเข้าไปในห้องน้ำตั้งนานเน

“เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ...” หรูอี้กำลังรอคอยท่าทีของนายหญิง

หลินหลันนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนกล่าวด้วยเสียงบางเบา “เอาไปซักเลยแล้วกัน!”

“เจ้าค่ะ!”

“เดี๋ยวก่อน อีกประเดี๋ยวเจ้าลองไปถามไถ่ผู้คุมรถดูด้วย”

หรูอี้ขานรับ แล้วถือเสื้อผ้าเดินจากไป

หลินหลันหันไปสั่งการจิ่นซิ่ว “ไปเรียกตงจึมาที ข้าจะไปรอที่ศาลาในสวนดอกไม้”

ตงจึได้ยินว่านายหญิงสะใภ้รองเรียกหาเขา ก็รู้ได้ทันทีว่าเรื่องไม่ดีแน่ ดีที่เขาและคุณชายรองได้เตรียมข้ออ้างกันไว้อย่างดิบดีแล้ว

“ตงจึ วันนี้เอ้อร์เส้าเหยียเลิกว่าราชกิจกี่โมงกี่ยามหรือ” หลินหลันนั่งเอนกายพิงอยู่กับรั้วล้อมบนศาลา นางโปรยอาหารให้ปลาในสระน้ำ พลางเอ่ยถามอย่างไม่ได้ใส่ใจเป็นพิเศษ

“เรียนเอ้อร์เส้าหน่ายนาย วันนี้เอ้อร์เส้าเหยียยุ่งมากขอรับ จึงเลิกงานในยามซวี สิบห้านาทีขอรับ หลังเลิกงานก็รีบกลับจวนทันทีขอรับ” ตงจึกล่าวอย่างเป็นจริงเป็นจัง

“เช่นนั้นหรือ มิได้ไปสถานที่อื่นเลยหรือ” หลินหลันยังคงสนใจแต่กับการให้อาหารปลา โดยมองดูฝูงปลาในสระน้ำที่แหวกว่ายมาแย่งอาหาร

ตงจึกล่าวอย่างหนักแน่น “มิได้ไปขอรับ”

“เช่นนั้นบนร่างกายของเอ้อร์เส้าเหยียไปได้กลิ่นน้ำจันทน์มาจากแห่งหนใดหรือ” หลินหลันโปรยอาหารปลาจนหมด แล้วล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือ จากนั้นจึงหย่อนตัวลงนั่ง แล้วจ้องมองตงจึด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

ตงจึรู้สึกใจหายวูบ นี่ความแตกแล้วหรือ

“ไม่ ไม่มีนะขอรับ จะไปมีกลิ่นน้ำจันทน์ได้อย่างไรล่ะขอรับ เอ้อร์เส้าเหยียอยู่ในที่ทำการตลอดเวลาเลยนะขอรับ...” ตงจึยังคงกล่าวตอบอย่างปากแข็ง

หลินหลันกวักมือเรียกเขา “เจ้าเดินเข้ามาใกล้หน่อยสิ”

ตงจึรู้สึกเกรงกลัวขึ้นมา คุณชายรองไม่ได้เข้าใกล้ตัวแม่นางซินเอ๋อร์ด้วยซ้ำ ยังมีกลิ่นน้ำจันทน์ติดมาด้วย แล้วเขาที่แนบชิดนางเพียงนั้นจะเหลือหรือ... ด้วยเหตุนี้ เท้าของตงจึจึงไม่กล้าย่างก้าวออกไปขึ้นมาเสียดื้อๆ

หลินหลันมองดูนัยน์ตาของตงจึ ยิ่งค้นพบว่าตงจึกำลังพูดปดแน่นอน ในเมื่อเขาไม่กล้าเดินเข้ามา เช่นนั้นหลินหลันจึงทำได้เพียงเป็นฝ่ายเดินเข้าไป หลินหลันเดินอ้อมตัวตงจึหนึ่งรอบ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตงจึ กลิ่นน้ำจันทน์บนเรือนร่างเจ้าก็ไม่ใช่ย่อยเช่นกันนะ!”

ตงจึถึงกับหน้าซีดเผือด เขาคุกเข่าลงกับพื้น แล้วกล่าวด้วยท่าทีราวกับจะร้องไห้ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายขอรับ เป็นข้าน้อยเองที่เละเทะ วันนี้ข้าน้อยว่างงาน ไม่มีเรื่องอันใดต้องทำ จึงไป...ไปในสถานที่ที่มิควรไปกับข้ารับใช้ติดตามของใต้เท้าจูแห่งกรมคลังขอรับ ล้วนเป็นความผิดของข้าน้อยเอง ข้าน้อยกระทำเรื่องไม่ดีงาม ทำให้เอ้อร์เส้าเหยียและเอ้อร์เส้าหน่ายนายต้องขายหน้า ขอเอ้อร์เส้าหน่ายนายโปรดเห็นแก่ข้าน้อยที่กระทำผิดในครั้งแรก ให้อภัยข้าน้อยสักครั้งเถิดนะขอรับ อย่าได้บอกกล่าวเอ้อร์เส้าเหยียเลยนะขอรับ มิเช่นนั้นเอ้อร์เส้าเหยียคงไม่ให้อภัยข้าน้อยอย่างง่ายดายเป็นแน่ขอรับ...”

หลินหลันชะงักไปชั่วครู่ นางครุ่นคิดอย่างหนักว่าคำพูดของตงจึนี้น่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด จะว่าไปแล้ว ปีนี้ตงจึก็อายุสิบแปดปีแล้ว กำลังเป็นวัยหนุ่มสาวที่มีความอยากรู้อยากเห็นต่อเพศตรงข้ามอยู่เล็กน้อย การจะไปตามหาดอกไม้งามสักดอกแล้วเกี้ยวพาราสีก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร อีกทั้ง ตงจึกับบรรดาสาวใช้ในจวนล้วนคลุกคลีกันน้อยครั้งมาก เพียงแต่นางยังไม่เชื่ออยู่ดีว่าตงจึจะกระทำเรื่องประเภทนี้

“ตงจึ ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง หากเจ้าไม่พูดความจริง แล้วให้ข้าค้นพบความจริงด้วยตนเอง อย่าโทษว่าข้าใจไม้ไส้ระกำแล้วกัน” หลินหลันใช้น้ำเสียงที่แข็งกร้าวเล็กน้อย

ตงจึตื่นตระหนกจนสะดุ้งเฮือก การที่นายหญิงจะใช้เสียงดุดันประเภทนี้พูดคุยต่อข้ารับใช้ ถือว่าเกิดขึ้นน้อยครั้งยิ่งนัก จึงเห็นได้ชัดว่านายหญิงพูดจริงทำจริง เรื่องนี้ จะปกปิดไปได้หรือ ตามจริงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของคุณชายรองสักหน่อย จะโทษก็คงต้องโทษแม่นางซินเอ๋อร์ที่จิตใจต่ำช้าไร้ยางอายผู้นั้น ทว่า...คุณชายรองกำชับไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า ตึงจึจึงกัดฟันแน่น แล้วกล่าวอย่างชั่งใจ “ข้าน้อยมิได้พูดปดมดเท็จแม้แต่นิดเดียวนะขอรับ ข้าน้อยรู้ว่ากระทำผิด และสำนึกผิดแล้ว ขอเอ้อร์เส้าหน่ายนายโปรดเมตตาให้อภัยข้าน้อยครั้งนี้ด้วยขอรับ”

หลินหลันรู้ดีว่าตงจึจงรักภักดีต่อหมิงอวิน หากตงจึตั้งมั่นว่าจะช่วยผู้เป็นนายโกหก นางก็คงไม่อาจซักไซ้จนได้ความอะไรขึ้นมาได้อยู่ดี

ขณะที่กำลังซักถามโดยไม่ได้ความอะไร หรูอี้มาเยือน เห็นตงจึกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น หรูอี้จึงเดินไปข้างกายนายหญิง แล้วกระซิบกระซาบข้างใบหูสองสามประโยค

ตงจึพยายามตั้งใจฟัง แต่ก็ได้ยินไม่ชัดเจนว่าหรูอี้พูดอะไรไปบ้าง ภายในใจจึงเต้นระรัวขึ้นมาทันที เขาเห็นเพียงนายหญิงเผยรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งอีกครั้ง และชำเลืองมองเขาพร้อมรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยอยู่เช่นนี้ มองจนเขารู้สึกขนลุกขนชัน

“ตงจึ เจ้าช่างซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อเอ้อร์เส้าเหยียของเจ้าจริงๆ เห็นทีว่าในสายตาเจ้ามีเพียงเอ้อร์เส้าเหยียเป็นนายผู้เดียวเท่านั้นสินะ” หลินหลันกล่าวอย่างด้วยน้ำเสียงที่ไม่แข็งและไม่อ่อนจนเกินไป

ตงจึก้มลงโขกศีรษะซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ข้าน้อยมิอาจกล้าไม่ให้ความเคารพและไม่ซื่อสัตย์ต่อเอ้อร์เส้าหน่ายนายเด็ดขาดขอรับ”

หลินหลันลูบคลำท้อง พลางกล่าวอย่างใจเย็น “ผู้คุมรถบอกกล่าวแล้วว่า ตามจริงเอ้อร์เส้าเหยียเลิกว่าราชกิจตั้งแต่หัววัน แล้วไปยังบ้านตระกูลเยี่ย ถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังต้องการช่วยปิดบังอีกหรือไม่”

หรูอี้มีวิธีการจนได้ โดยเมื่อไปทางด้านคนคุมรถม้า ก็ขมขู่เหล่าหม่านั่นจนเค้นความจริงออกมาได้ หมิงอวินไปบ้านตระกูลเยี่ย เดิมไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่บนเสื้อผ้าเขามีกลิ่นน้ำจันทน์ รวมไปถึงการแสดงออกต่างๆ นานาที่ดูไม่ชอบมาพากล จึงบ่งบอกว่าการไปบ้านตระกูลเยี่ยครั้งนี้ไม่ธรรมดา เพราะที่บ้านตระกูลเยี่ยมีคนที่ทำให้นางปวดสมองได้ผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือเยี่ยซินเอ๋อร์นั่นเอง

ตงจึสะดุ้งเฮือก เหล่าหม่านี่ช่างไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ มิใช่ตกลงกันไว้ดิบดีแล้วหรือว่าห้ามไม่ให้บอกกล่าวออกไป เหตุใดเขาถึงสารภาพหมดเปลือกเสียแล้วล่ะ ช่างเถอะๆ เห็นทีว่าคงปิดบังไม่ได้เสียแล้ว

“เอ้อร์เส้าหน่ายนายขอรับ ท่านอย่าเข้าใจผิดไปเชียวนะขอรับ เอ้อร์เส้าเหยียเลิกว่าราชกิจในยามเซินก็จริง เดิมทีต้องการกลับจวนทันที ทว่าฉางเซิ่งของตระกูลเยี่ยมาพบเอ้อร์เส้าเหยีย กล่าวว่านายท่านลุงมีเรื่องต้องการพบเอ้อร์เส้าเหยีย เอ้อร์เส้าเหยียจึงไปบ้านตระกูลเยี่ย คาดไม่ถึงว่านายท่านลุงกลับไม่อยู่ในจวนด้วยซ้ำ แต่เป็นเปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะให้ฉางเซิ่งหลอกเอ้อร์เส้าเหยียไปหา เปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะขวางทางเอ้อร์เส้าเหยียให้อยู่ในห้อง แล้วพูดคำพูดมากมายที่ไม่ควรพูดกับเอ้อร์เส้าเหยีย เอ้อร์เส้าเหยียได้บอกกล่าวตักเตือนนางอย่างรุนแรงไปแล้ว ทว่าเปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะไม่ยอมฟังเลยขอรับ แล้วยังคิดที่จะ...คิดที่จะ...ข้าน้อยจึงทำได้เพียงขัดขวางเปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะไว้ เพื่อให้เอ้อร์เส้าเหยียหลุดพ้นออกมาได้ ข้าน้อยขอสาบานต่อฟ้าดินว่า เอ้อร์เส้าเหยียไม่ได้กระทำเรื่องที่ผิดต่อเอ้อร์เส้าหน่ายหนายเลยแม้แต่น้อย และไม่ได้พูดคำพูดอันใดที่ไม่ควรด้วยขอรับ เอ้อร์เส้าเหยียกังวลว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายรับรู้แล้วจะเป็นกังวลใจ ถึงได้ให้ข้าน้อยปกปิดเอ้อร์เส้าหน่ายนายขอรับ” ตงจึนำเรื่องราวบอกกล่าวนายหญิงสะใภ้รองอย่างหมดเปลือก

หรูอี้สบถฮึด้วยความโกรธ “เปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะก็ช่างเกินไปแล้ว มีคุณหนูตระกูลร่ำรวยสูงศักดิ์ที่ไหนกันจะกระทำเรื่องไร้ยางอายประเภทนี้”

“ก็ใช่น่ะสิ เอ้อร์เส้าเหยียก็โกรธเกรี้ยวแทบแย่เช่นกัน เอ้อร์เส้าเหยียยังสั่งการข้าน้อยด้วยว่า ให้ไปส่งสัญญาณเตือนนายท่านลุงไว้ด้วยขอรับ” ตงจึกล่าวด้วยความโมโหเช่นกัน

หลังรับรู้ความจริง หลินหลันกลับสงบเยือกเย็นลง แล้วกล่าวต่อตงจึ “ตงจึ เจ้าจงรักภักดีและปกป้องนาย ไม่ใช่เรื่องผิด แต่เจ้าอย่าลืมไปว่า ข้าและเจ้าล้วนหวังดีต่อเอ้อร์เส้าเหยียเช่นเดียว กัน”

ตงจึพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง “ใช่ขอรับๆ”

“บางเรื่องราว เอ้อร์เส้าเหยียไม่สะดวกออกหน้า แต่ข้าทำได้ ดังนั้น จากนี้มีเรื่องราวอันใดอีก ห้ามปิดบังข้าเป็นอันขาด”

“ขอรับๆ!”

หลินหลันกล่าว “เจ้าไปเถอะ! อย่าให้เอ้อร์เส้าเหยียรับรู้ว่าข้าเรียกเจ้ามาพบล่ะ”

ตงจึถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความหมายของนายหญิงสะใภ้รองคือ นางจะไม่ซักไซ้ไล่ความเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว

หลังตงจึเดินจากไป หรูอี้จึงกล่าวขึ้น “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ พวกเราจะปล่อยให้เปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะกระทำการตามอำเภอใจไม่ได้นะเจ้าคะ ครั้งนี้ไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่หากครั้งหน้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ จะทำอย่างไรดีล่ะเจ้าคะ”

หลินหลันเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม “ลูกไม้ชั้นต่ำของนางใช้ได้แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้นละ เจ้าคิดว่าเอ้อร์เส้าเหยียยังจะหลงกลนางอีกหรือ ทว่าคนประเภทนี้ปล่อยไว้มีแต่จะนำหายนะมาให้ คงต้องให้เอ้อร์เส้าเหยียไปจัดการด้วยตนเอง แล้วดูปฏิกิริยาโต้ตอบของทางด้านตระกูลเยี่ยนั่นว่าจะพูดเช่นไรอีก”

หรูอี้กล่าวดูถูก “ช่างเป็นคนหน้าไม่อายจริงๆ ผีเห็นผียังกลัวด้วยซ้ำ”

มองดูท่าทีหรูอี้ที่โกรธเกรี้ยวอย่างเป็นจริงเป็นจัง หลินหลันก็เกิดความรู้สึกละอายแก่ใจเล็กน้อย ที่เมื่อครู่ตนเองเพิ่งเข้าใจนางผิดไป

หลินหลันกำลังเตรียมกลับไป หลี่หมิงอวินกลับเป็นฝ่ายออกมาตามเสียก่อน

“ข้าว่าแล้วว่าเจ้าจะต้องมาอยู่ที่นี่ ลมเริ่มพัดแรงแล้ว รีบกลับเข้าไปด้านในกันเถอะ อย่ามัวตากลมอยู่เลย” หลี่หมิงอวินเดินเข้ามาในศาลาด้วยใบหน้าที่แต่งแต้มไว้ด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

หลินหลันกล่าวอย่างอ่อนหวาน “มีลมพัดถึงจะเย็นสบายอย่างไรล่ะ! ปีนี้อากาศก็ช่างร้อนอบอ้าวเกินไปแล้ว นี่ก็ครึ่งเดือนแปดเข้าไปแล้ว ยังไม่แตกต่างจากหน้าร้อนเลยด้วยซ้ำ”

หลี่หมิงอวินโอบรั้งนางมาประคองไว้

“จริงสิ พรุ่งนี้วันหยุดพักผ่อนเจ้าใช่หรือไม่” หลินหลันเอ่ยถาม

“ใช่แล้ว! แต่ที่ทำการยังมีเรื่องราวอีกเล็กน้อยที่ยังไม่ได้สะสาง คาดว่าพรุ่งนี้เช้ายังต้องแวะเข้าไปสักหน่อย” หลี่หมิงอวินโอบนางเดินลงตามขั้นบันไดอย่างระมัดระวัง

“เช่นนั้นเจ้ารีบกลับมาหน่อยแล้วกัน พวกเราจะได้ไปจวนเฉินด้วยกัน”

หลี่หมิงอวินกล่าว “เฉินฮูหยินจะคลอดแล้วใช่หรือไม่”

หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มิใช่จะคลอด แต่คลอดแล้วต่างหาก วันนี้รั่วเอ๋อร์มาส่งข่าวดี กล่าวว่าจื่อชิ่งให้กำเนิดบุตรสาวจ้ำม่ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปลอดภัยทั้งแม่ลูก ข้าจะให้รั่วเอ๋อร์นำคำพูดไปบอกกล่าวว่า พรุ่งนี้พวกเราจะเดินทางไปแสดงความยินดี”

หลี่หมิงอวินได้ดีอกดีใจอย่างยิ่งเมื่อได้ยินดังกล่าว “จริงหรือ เช่นนั้นต้องไปให้ได้อยู่แล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปสั่งการ ณ ที่ทำการสักหน่อย แล้วจะรีบกลับมาทันที ครั้งนี้จื่ออวี้คงได้ภูมิใจน่าดู ภายภาคหน้าลูกของเราคงต้องเรียกบุตรสาวของครอบครัวเขาว่าพี่สาว”

หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีอันใดให้น่าภูมิใจนักหนาหรือ เขายังต้องเรียกเจ้าว่าพี่ใหญ่อยู่ดีมิใช่หรือ”

ทั้งสองคนเดินพูดคุยหยอกเย้ากันไปขณะกลับห้อง

หรูอี้แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตอนแรกนางยังคิดว่าคุณชายรองมีผู้หญิงด้านนอกเสียแล้ว โชคดีที่ไม่ใช่ คุณชายรองและนายหญิงสะใภ้รองรักใคร่กันอย่างสุดซึ้งมากมายเพียงนี้นี่นะ! อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องของเหวินซานที่นายหญิงสะใภ้รองถามไถ่นางช่วงก่อนหน้านี้ หลายวันมานี้ก็ไม่เห็นจะมีการสื่อสารใดๆ อีก ไม่รู้เช่นกันว่านายหญิงสะใภ้รองตั้งใจไว้เช่นไร แล้วเหวินซานจะถูกตาต้องใจนางหรือไม่ ในเมื่อตอนนี้เหวินซานได้ดิบได้ดี เป็นถึงผู้ดูแลจัดการใหญ่ นางเองก็พอรู้อยู่เช่นกันว่า นายหญิงสะใภ้รองทำเรื่องอะไรก็ตาม ไม่เคยบีบบังคับผู้ใดทั้งสิ้น หากเหวินซานไม่ชอบนาง นายหญิงสะใภ้รองก็คงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกเป็นธรรมดา เฮ้อ! หยินหลิ่วและอวี้หลงล้วนมีที่พึ่งพิงที่ดีแล้ว ทว่านางล่ะ ที่พึ่งพิงของนางอยู่แห่งหนใดหรือ พอนึกถึงเรื่องนี้ หรูอี้จึงอดไม่ได้ที่จะเศร้าหมองเล็กน้อย