webnovel

ปฏิญญาค่าแค้น

หลินหลัน ทะลุมิติมาเกิดใหม่ในคราบของหญิงสาวชาวบ้านที่แสนลำบากยากจน แต่โชคยังดีที่ความสามารถด้านการแพทย์และประสบการณ์รักษาผู้คนที่สั่งสมมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนั้นติดตัวมาด้วย อีกทั้งครอบครัวในชาติภพนี้ก็ดีกับนางมิใช่น้อย กระนั้นเคราะห์ร้ายก็ยังคืบคลานเข้ามา เมื่อพี่ชายผู้เป็นที่พึ่งพาเดียวของนางนั้นใสซื่อจนไม่อาจตามทันเล่ห์กลของพี่สะใภ้ที่แสนโลภมาก สุดท้ายแล้วหลินหลันก็ถูกนางบีบบังคับให้ต้องออกเรือนแต่งงานไปเป็นนางบำเรอจนได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องดึงตัว หลี่ซิ่วฉาย ชายหนุ่มรูปงามผู้มีเบื้องหลังเป็นปริศนาในหมู่บ้านเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ ทั้งสองได้ตกลงทำสัญญาขึ้นมาหนึ่งฉบับ เขาช่วยนางให้หลุดพ้นจากการคลุมถุงชน ส่วนนางจะช่วยเขาแก้แค้นและทวงทุกสิ่งอย่างที่ถูกพรากไปกับคืนมาภายในระยะเวลาสามปี ทว่าแผนการช่วยเหลือเขาให้บรรลุเป้าหมายนั้นกลับไม่ง่ายดายอย่างที่คิดนี่สิ…

จื่ออี281 · ย้อนยุค
เรตติ้งไม่พอ
339 Chs

ตอนที่ 318 พ่อผู้ไร้ยางอายกลับเมืองหลวง

ตอนที่ 318 พ่อผู้ไร้ยางอายกลับเมืองหลวง

เดือนเจ็ด ช่วงบ่ายของฤดูร้อน ท่ามกลางท้องนภาสีฟ้าครามไร้ปุยเมฆ มีเพียงพระอาทิตย์ดวงโตลอยเด่นสาดส่องสู่พื้นพสุธาจนแทบแผดเผาให้มอดไหม้ บรรยากาศคล้ายกับหยุดนิ่ง ใบไม้บนต้นไม้ดูห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรง ปราศจากการเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อย

บนเส้นทางหลักมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าคันหนึ่งเคลื่อนไปเบื้องหน้าอย่างเนิบช้า

“ผู้คุมรถ ช่วยเร็วหน่อยได้หรือไม่ อากาศนี่ก็ช่างร้อนเกินไปแล้ว” คนผู้หนึ่งเลิกผ้าม่านรถเปิดออก เร่งเร้าคนคุมรถม้าอย่างรำคาญใจ ชุดสีน้ำตาลบนเรือนร่างเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ไรผมสองข้างที่ขาวโพลนปรากฏหยาดเหงื่อรินไหลไม่ขาดสาย

ผู้ควบคุมรถกล่าวอย่างไม่แยแส “เจ้ารู้จักร้อน แล้วข้าไม่รู้จักร้อนหรือไร ข้าอยู่ใต้แสงพระอาทิตย์ด้วยซ้ำไป! ลูกม้าตัวนี้จะเฆี่ยนอย่างไรมันก็ไม่เดินเร็วขึ้นมาได้ แล้วข้าจะทำอันใดได้หรือ”

คนที่อยู่ในรถปล่อยผ้าม่านลงอย่างหงุดหงิด แล้วหยิบพัดพับออกแรงพัดโบก สมกับที่เคยเป็นผู้ยิ่งใหญ่แต่แล้วกลับตกต่ำ นำมาซึ่งชะตากรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างแท้จริง กว่าครึ่งปีมานี้ เขาถือว่าได้มองเห็นน้ำจิตน้ำใจและความเยือกเย็นของผู้คนอย่างทะลุปรุโปร่ง เมื่อก่อนยามที่เขารุ่งโรจน์ ใครบ้างไม่ก้มศีรษะโค้งตัวให้แก่เขา บัดนี้ แม้แต่คนคุมรถก็ไม่เห็นเขาในสายตาเสียแล้ว ช่างเถอะๆ แค่อดทนอีกหน่อย เมื่อถึงเมืองหลวงอะไรต่อมิอะไรก็คงดีเอง

แม้ฝันไปเขาก็คาดไม่ถึงว่า หลังเขากลับมาถึงเมืองหลวง ทั่วทั้งเมืองหลวงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนี้ องค์รัชทายาทถึงแก่ชีวิต ฮ่องเต้สละบัลลังก์ให้องค์ชายสี่ ยิ่งคาดไม่ถึงไปกว่านั้นคือ องค์ชายสี่ผู้ที่เขาคัดค้านในตอนแรกหลังได้ขึ้นครองบัลลังก์ กลายเป็นผู้พระราชทานอภัยโทษแก่เขา เขายังคิดอยู่เลยว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มีวันได้กลับมาเหยียบเมืองหลวงอีกแล้ว ยามที่เขาออกมาจากถิ่นทุรกันดาร ท่านเจ้าเมืองเป็นผู้ส่งเขาออกเดินทาง เขาคลุกคลีอยู่บนเส้นทางขุนนางมาเนิ่นนานหลายปี มีหรือจะไม่เข้าใจว่า ที่ท่านเจ้าเมืองมามาตีสนิทเขา เป็นเพราะเห็นแก่หน้าหมิงอวิน เนื่องด้วยบัดนี้หมิงอวินเป็นถึงราชเลขากรมคลังแล้ว

นึกถึงยามที่เขาถูกเนรเทศในวันนั้น หมิงอวินและหมิงเจ๋อมาส่งเขา หมิงอวินไม่ยินยอมพูดกับเขาแม้แต่ประโยคเดียว หมิงอวินคงเกลียดชังเขาอย่างยิ่งกระมัง! แต่ต่อให้เกลียดชังเพียงใด เขาก็เป็นบิดาอยู่วันยังค่ำ หมิงอวินคงยังคำนึงถึงเขาอยู่บ้าง มิเช่นนั้นก็คงไม่ทูลขอความเห็นใจจากฮ่องเต้ ขณะครุ่นคิดเช่นนี้ หลี่จิ้งเสียนทอดถอนใจออกมาอย่างใจชื้น

เขาตระหนักเป็นอย่างดีว่า การที่เขาอยากกลับมาดำรงตำแหน่งขุนนางอีกครั้งนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว อย่างอื่นจึงยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ด้วยเขาในสภาพร่างกายที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นี้ ยังทำอะไรได้อีกหรือ แม้แต่สมรรถภาพความเป็นชายขั้นพื้นฐานที่ติดตัวมาล้วนไม่หลงเหลืออีกแล้ว

รถม้าเคลื่อนเข้าประตูเมืองอย่างเชื่องช้า หลี่จิ้งเสียนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยขึ้นมาอีกครั้ง หมิงเจ๋อและหมิงอวินไม่ได้มารับเขา วันก่อนเขาหยุดพักที่เขตหลางฟางในเทียนจิน ได้ให้คนส่งจดหมายล่วงหน้ามาก่อนแต่เนิ่นๆ แล้ว หรือว่าพวกหมิงอวินไม่ได้รับจดหมาย ไอ้คนโง่เขลาเหล่านี้รับเงินไปแล้วแต่กลับทำงานไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย

เมืองหลวงยังคงเจริญรุ่งเรืองเหมือนเคย เพียงแต่สีสันภายในกำแพงเมืองเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ตามจริงบรรดาปวงประชาไม่สนใจหรอกว่าผู้ใดจะเป็นฮ่องเต้ พวกเขาสนใจเพียงแค่ปากท้องของตนเองว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในแต่ละวันได้หรือไม่

รถม้าเคลื่อนจากทิศใต้มุ่งไปถึงทิศเหนือผ่านกว่าครึ่งหนึ่งของเมืองหลวง ท้ายที่สุดก็มาหยุดลงเบื้องหน้าประตูจวนหลี่

ผู้ควบคุมรถม้ากล่าว “ถึงที่หมายแล้ว รีบจ่ายเงินมาเสีย ข้ายังต้องรีบเดินทางไปต่ออีก!”

หลี่จิ้งเสียนมีเงินติดตัวอยู่ไม่กี่ตำลึงเงิน ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับจ่ายค่ารถ จึงกล่าว “เจ้ารอประเดี๋ยวหนึ่ง ข้าจะให้คนไปนำเงินมาเดี๋ยวนี้ละ”

ผู้ควบคุมรถกล่าวอย่างรำคาญ “เจ้าเร็วๆ หน่อยสิ!”

หลี่จิ้งเสียนเดินตัวงอไปเคาะประตู

“ใครน่ะ?” เหล่าจางที่คอยเฝ้าประตูชะโงกหน้าออกมา เห็นชายชราผู้หนึ่งผมเผ้าขาวโพลน สวมใส่ชุดเสื้อผ้าซอมซ่อยืนอยู่ปากประตู

หลี่จิ้งเสียนหรี่ตามองเหล่าจาง ดูเหมือนครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนเอ่ยปากถาม “เจ้าคือเหล่าจางหรือ”

เหล่าจางรู้สึกว่าคนผู้นี้ดูคุ้นตาเช่นกัน จึงครุ่นคิดชั่วขณะ แล้วเอ่ยปากถามด้วยความไม่แน่ใจ “ท่านคือ...นายท่าน?”

หลี่จิ้งเสียนพยักหน้า แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่น่ะสิ เหล่าจาง ข้าคือนายท่าน นายท่านหลี่อย่างไรละ”

เหล่าจางรีบเปิดประตูบานใหญ่ แล้วคารวะให้ผู้เป็นนายทันที “นายท่าน เป็นท่านจริงๆ ด้วย! ต้าเส้าเหยียบอกว่าท่านจะกลับมาวันสองวันนี้ ท่านรีบเชิญทางด้านนี้เถิดขอรับ จูซื่อ ยังไม่รีบไปรายงานต้าเส้าหน่ายนายอีกว่านายท่านกลับมาแล้ว”

ข้ารับใช้เด็กหนุ่มผู้หนึ่งขานรับ แล้ววิ่งเข้าไปด้านใน

หลี่จิ้งเสียนเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “ต้าเส้าเหยียไม่อยู่ในจวนหรือ แล้วเอ้อร์เส้าเหยียล่ะ”

เหล่าจางกล่าวตอบ “ตอนนี้ต้าเส้าเหยียดำรงตำแหน่งในกรมขุนนาง ภาระงานยุ่งอย่างมากขอรับ ทุกวันหากไม่ถึงยามซวี[footnoteRef:1] ก็ไม่เป็นอันเลิกงานขอรับ ส่วนเอ้อร์เส้าเหยียย้ายออกไปแล้ว ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วขอรับ” [1: ยามซวี (戌时) คือ ช่วงเวลาระหว่าง 19:00 น. - 21:00 น.]

“ย้ายออกไปแล้ว? ย้ายไปไหนแล้วหรือ” หลี่จิ้งเสียนรู้สึกเหนือความคาดหมายอย่างยิ่ง

“ย่านเฮ๋อฮวาขอรับ เพิ่งย้ายไปเมื่อเดือนที่แล้ว บัดนี้เอ้อร์เส้าเหยียเป็นราชเลขากรมคลังแล้ว จึงต้องมีจวนขุนนางเป็นของตนเองถึงจะเหมาะสมมิใช่หรือขอรับ” เหล่าจางกล่าวด้วยสีหน้าเบิกบาน

ผู้ควบคุมรถม้าเร่งเร้าขึ้นมาอีกระลอก “เอ้...ข้าบอกให้เจ้าเร็วหน่อยได้หรือไม่ เสียเวร่ำเวลางานข้า”

หลี่จิ้งเสียนกล่าวด้วยความอับอายเล็กน้อย “เหล่าจาง เจ้าช่วยไปจ่ายเงินข้ารถให้ทีสิ”

เหล่าจางกล่าวใส่ผู้ควบคุมรถผู้นั้น “เจ้าร้อนใจอันใดหรือ ไม่เบี้ยวเงินเจ้าหรอกน่า รอเดี๋ยว จะไปหยิบเงินมาให้เจ้าเดี๋ยวนี้ละ”

ติงหลั้วเหยียนกำลังนอนขดตัวอยู่บนเตียงเป็นเพื่อนเซวียนเอ๋อร์ที่กำลังนอนกลางวัน ได้ยินข้ารับใช้มารายงานว่าพ่อสามีกลับมาแล้ว จึงรีบลุกขึ้นทันที แล้วสั่งการให้พานายท่านไปพักที่โถงหนิงเฮ๋อเสียก่อน แล้วค่อยไปรายงานคุณชายใหญ่ ส่วนตนเองเร่งรีบหวีผมเผ้าแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า

หลี่จิ้งเสียนสังเกตดูตลอดทางจนถึงโถงหนิงเฮ๋อ สภาพภายในบ้านยังคงเป็นเช่นเดิม เพียงแต่ข้ารับใช้ในจวนส่วนมากล้วนไม่คุ้นตาเสียแล้ว

เหล่าจางกล่าวขึ้นขณะเดินตามหลัง “ตอนนั้นที่ตระกูลหลี่ถูกค้นบ้านและยึดทรัพย์สิน ข้ารับใช้จำนวนมากต่างแยกย้ายกันออกไป คนชราในจวนก็เหลือไม่กี่คน ส่วนมากจึงล้วนเป็นผู้ที่เข้ามาภายหลังขอรับ”

หลี่จิ้งเสียนพยักหน้า แล้วเอ่ยถาม “เหล่าไท่ไทสุขภาพร่างกายยังสบายดีอยู่หรือไม่”

เหล่าจางชะงักไปชั่วครู่ แล้วกล่าว “เหล่าไท่ไทเสียชีวิตไปนานแล้วขอรับ จากไปเมื่อเดือนหกปีที่แล้วน่ะขอรับ”

หลี่จิ้งเสียนตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง เขาไม่อยากจะเชื่อความจริงนี้ที่ว่า มารดาเสียชีวิตในปีที่แล้ว เหตุใดถึงไม่บอกกล่าวเขาสักคำ

ติงหลั้วเหยียนจัดการตนเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเตรียมไปพบพ่อสามีที่โถงหนิงเฮ๋อ ทว่าข้ารับใช้กลับเอ่ยว่า นายท่านไปยังโถงจาวฮุย และกำลังร้องไห้อยู่หน้าป้ายวิญญาณของนายหญิงชรา

ติงหลั้วเหยียนครุ่นคิดชั่วขณะ พร้อมกับชะงักฝีก้าวหยุดลง แล้วเอ่ย “ให้เหล่าจางเกลี้ยกล่อมนายท่านว่า อย่าได้เศร้าเสียใจจนเกินไปเลย”

จากนั้นเรียกจูซื่อมาพบอีกครั้ง “รีบไปเร่งคุณชายใหญ่ ให้เขารีบกลับมาโดยเร็วทีสิ”

หลี่จิ้งเสียนคนผู้นี้ แม้จะละโมบโลภมาก และไร้ยางอาย เพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงความสำเร็จ จึงไม่คำนึงถึงวิธีการที่นำมาใช้ ทว่าต่อมารดาแล้ว เขาถือว่าเป็นบุตรผู้กตัญญูคนหนึ่ง เมื่อนึกถึงว่ามารดาเสียชีวิตไปปีกว่าแล้ว แต่ในฐานะบุตรชาย เขากลับไม่อาจมาส่งหญิงชราในวาระสุดท้ายได้ แม้แต่ร้องไห้ก็ไม่ทันได้ร้องไห้เลยด้วยซ้ำ ยิ่งคิดจึงยิ่งปวดใจและละอายใจ เขากำลังคุกเข่าอยู่หน้าป้ายวิญญาณของหญิงชรา ร้องห่มร้องไห้แทบเป็นลมหมดสติ

หลังระบายความอัดอั้นไปพักใหญ่ หลี่จิ้งเสียนถึงได้สะกดกลั้นน้ำเสียงโศกเศร้า เอ่ยถามเหล่าจางถึงสถานการณ์ที่หญิงชราสิ้นลมไป รวมไปถึงพิธีศพจัดการเช่นไรบ้าง

เหล่าจางกล่าวตอบทีละเรื่อง และไม่ลืมนำเรื่องราวที่นายท่านใหญ่กระทำไว้เหล่านั้น บอกเล่าให้ผู้เป็นนายรับฟังด้วย

หลี่จิ้งเสียนเดือดดาลสุดขีด “เขาไม่คิดเสียบ้างว่า เขามีวันนี้ได้ สกุลหลี่มีวันนี้ได้ ล้วนอาศัยบารมีของผู้ใด ตัวเราเกิดปัญหา เขาไม่แม้แต่จะถามไถ่ เอาแต่ปิดปากเงียบ ยังมีหน้ามาโทษข้าอีกหรือ ยังมีหน้ามาสร้างความลำบากใจให้แก่บุตรหลานรุ่นหลังอีกหรือ ช่างไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย”

“ก็นั่นน่ะสิขอรับ หากมิใช่เพราะนายหญิงสะใภ้รองเก่งกาจ นายท่านสามมีเหตุมีผล ก็คงไม่รู้เลยว่าจะจัดการกับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างไรน่ะขอรับ!” เหล่าจางกล่าว

หลี่จิ้งเสียนตบโต๊ะอย่างแรง ด้วยความโกรธเกรี้ยวที่ไม่อาจหักห้ามได้

หลี่หมิงเจ๋อได้รับการบอกกล่าว จึงขอลากับหัวหน้าฝ่ายงาน แล้วรีบกลับมาบ้านทันที

หลี่หมิงอวินก็ได้รับข่าวคราวแล้วเช่นกัน หลังลังเลใจอยู่พักหนึ่ง ก็สั่งให้คนกลับไปบอกกล่าวว่า ยามนี้เขาไม่อาจปลีกตัวไปได้ จะไปพบช้าสักหน่อย

เขารู้จักนิสัยของบิดามากที่สุด หากเขารีบไปพบปะอย่างรีบร้อน บิดาจะคิดว่าเขาปล่อยวางเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีตได้แล้ว ซึ่งนั่นจะนำมาซึ่งความหยิ่งยโสในตนเองขึ้นมาอีกครั้ง

หลินหลันได้งีบหลับไปพักหนึ่ง หลังตื่นขึ้นมา แล้วดื่มน้ำแกงลูกพลัม ก็นอนขดตัวอยู่บนเก้าอี้นวมตัวยาว สดับรับฟังอวี้หลงบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ

“ข้าน้อยตระเตรียมการเดินทางกลับของป้ากุ้ยซ่าวไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ของขวัญที่เตรียมไว้ให้เหล่าเหยียเยี่ยและเหล่าไท่ไทเยี่ยก็เตรียมไว้ครบถ้วนแล้วเช่นกัน วันมะรืนทางตระกูลเยี่ยจะมีกลุ่มพ่อค้าที่ต้องเดินทางกลับเฟิงอาน ป้ากุ้ยซ่าวจะร่วมเดินทางกลับไปพร้อมพวกเขาเจ้าค่ะ”

หลินหลันพยักหน้า “เจ้าให้กุ้ยซ่าวมาหาข้าช่วงค่ำสักหน่อย ข้ามีเรื่องต้องกำชับนาง”

ประเด็นปัญหาที่ว่าจะกลับหรือไม่กลับนี้ กุ้ยซ่าวลังเลใจอยู่เนิ่นนานพอตัว ด้วยความที่อาลัยอาวรณ์ทางด้านนี้ แต่ก็คำนึงถึงคนในครอบครัวเช่นกัน ภายหลังต่อมาจึงกล่าวว่า นางกลับไปเยี่ยมเยียนแล้วค่อยกลับมาใหม่ ระยะนี้ นางจึงนำทักษะฝีมือของตนเองทั้งหมด สอนให้แม่ครัวใหม่อย่างป้าฟาง ด้วยเกรงว่าคุณชายรองและนายหญิงสะใภ้รองจะคุ้นเคยกับรสชาติอาหารที่นางทำ เมื่อต้องเปลี่ยนคนทำ อาจไม่คุ้นเคยเอาได้

“เจ้าค่ะ อีกประเดี๋ยวข้าน้อยจะไปหากุ้ยซ่าวเจ้าค่ะ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งก็คือพี่ชายคนโตตระกูลเว่ยในตอนแรกนั่น วันนี้มาหาฝูอาน ถามไถ่เรื่องหุยชุนถางเปิดรับลูกศิษย์น่ะเจ้าค่ะ” อวี้หลงกล่าว

หลินหลันรู้สึกละอายแก่ใจเล็กน้อย ด้วยความที่เรื่องราวมากมายเสียเหลือเกิน นางจึงลืมไปสนิทใจ จึงกล่าว “เจ้าให้ฝูอานไปบอกกล่าวเขาทีว่า ระยะนี้มีเรื่องยุ่งมากมาย ไว้หลังผ่านฤดูใบไม้ร่วงไปแล้ว หุยชุนถางถึงจะรับลูกศิษย์ ในเมื่อข้ารับปากเขาไว้แล้ว ก็ต้องทำตามที่กล่าวไว้แน่นอน”

อวี้หลงกว่าวด้วยรอยยิ้ม “รับลูกศิษย์มาไว้ก็เป็นเรื่องที่ดีเช่นกันนะเจ้าคะ! ข้าได้ยินหยินหลิ่วกล่าวว่า กิจการของหุยชุนถางนับวันยิ่งรุ่งเรือง ลำพังคนงานในตอนนี้ทำงานกันแทบไม่ทันแล้ว หากรับลูกศิษย์มาไว้ ทั้งได้สั่งสอนทักษะวิชาทางการแพทย์ให้พวกเขา ทั้งสามารถเพิ่มกำลังคนในร้านได้อีกด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเห็นๆ เจ้าค่ะ”

หลินหลันหลุดหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าว “กิจการนี่เจริญรุ่งเรืองเกินไปก็วุ่นวายเช่นกัน ยามนี้ในเมืองหลวง สำหรับการตรวจรักษาอาการป่วย หากไม่ไปเต๋อเหรินถางก็เป็นหุยชุนถาง แม้แต่ซื้อยาก็เป็นเช่นนี้ กิจการร้านยาเจ้าอื่นๆ แทบจะดำรงอยู่ไม่ไหวแล้ว จึงทำได้เพียงลดราคาลงเพื่อกอบกู้กิจการ เพียงแต่ราคายานี่ พอลดราคาแล้ว ผลกำไรก็จะน้อยลงไปมาก ร้านยาบางร้านจึงอาศัยเพิ่มตัวยาที่ไม่ดีเท่าใดนักมาเสริม ท้ายที่สุดผู้ที่เสียเปรียบจึงเป็นชาวบ้าน”

อวี้หลงไม่ค่อยเข้าใจการค้าขายอะไรพวกนี้ แค่สดับรับฟังก็รู้สึกว่ามันซับซ้อนเสียยิ่งอะไรดี จึงกล่าวด้วยความกังวลใจ “เช่นนั้น...มีวิธีแก้ไขอย่างไรหรือเจ้าคะ”

หลินหลันเผยรอยยิ้มอย่างมีความนัยลึกซึ้ง แน่นอนว่าต้องมีวิธีอยู่แล้ว ซึ่งกฎแห่ง​ธรรมชาติได้กำหนดไว้แล้วว่าผู้เแข็งแกร่งที่สุดถึงจะอยู่รอด การแข่งขันทางการค้าก็หนีไม่พ้นเช่นเดียวกัน ใครใช้ให้เจ้าไม่มีความสามารถล่ะ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงปล่อยให้คนอื่นเขากลืนกินไปเสียดีๆ นี่จึงเป็นโอกาสขยายกิจการครั้งยิ่งใหญ่ของหุยชุนถางอีกก้าวหนึ่ง

หรูอี้เข้ามารายงาน กล่าวว่าตงจึกลับมาแจ้งว่านายท่านหลี่กลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว วันนี้หลังคุณชายรองเลิกว่าราชกิจแล้ว จะต้องแวะไปที่จวนหลี่ก่อน แล้วถึงจะกลับมา ให้นายหญิงสะใภ้รองไม่ต้องคอยเขา

หลินหลันขมวดคิ้วเล็กน้อย ในที่สุดพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายก็กลับมาแล้ว

“เข้าใจแล้ว ให้ตงจึไปบอกกล่าวเอ้อร์เส้าเหยียว่า อย่ากลับมาดึกมากเกินไป” หลินหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

หลี่หมิงอวินเลิกว่าราชกิจช้ากว่าวันปกติเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง จากนั้นจึงไปจวนหลี่

ข้ารับใช้กล่าวว่า นายท่านและคุณชายใหญ่พูดคุยกันอยู่ที่โถงหนิงเฮ๋อ โดยพูดคุยกันมาเป็นเวลาชั่วโมงกว่าแล้ว

หลี่หมิงอวินสบถฮึเบาๆ พี่ใหญ่ยังมีอันใดต้องพูดมากมายเพียงนั้นอีกหรือ

หลี่จิ้งเสียนเปลี่ยนไปอยู่ในชุดผ้าไหมเนื้อบางเบา หลังตัดแต่งหนวดเครา มองดูแล้วค่อยดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก เขานั่งอยู่ในห้องหนังสือ ดื่มน้ำชาหลงเจียง พลางสดับรับฟังหมิงเจ๋อบอกเล่าเรื่องราวในเมืองหลวง และสิ่งที่เกิดขึ้นในจวนระหว่างสองปีมานี้

“สองปีมานี้ เจ้าและหมิงอวินคงลำบากไม่น้อย เป็นพ่อเองที่ทำให้พวกเจ้าติดร่างแหไปด้วย” หลี่จิ้งเสียนเผยสีหน้าละอายแก่ใจขณะกล่าว แม้ว่ามีบางเรื่องทำให้เขาโกรธเคืองอย่างมาก อย่างเช่น อนุภรรยาหลิวหนีไปแล้ว อย่างเช่นอวี๋อี๋เหนียงแต่งงานใหม่ไปแล้ว รวมไปถึงเรื่องที่มารดาเสียชีวิตไปแล้ว ทว่าบัดนี้เขาไม่ใช่บิดาผู้สูงส่งดั่งเช่นเมื่อก่อนนั้นอีกแล้ว ที่จะชำเลืองมองข่มขู่แวบสายตาเดียว ก็ทำให้บุตรทั้งสองเกรงขามได้ เขาเป็นเพียงชายชราผู้หนึ่งที่ไร้ประโยชน์เท่านั้น ครึ่งชีวิตหลังของเขาจากนี้ ต้องพึ่งพิงบุตรชายทั้งสองคน ดังนั้น เขาจึงต้องวางตนให้รู้จักถ่อมตนเขาไว้

“ล้วนเป็นเรื่องราวที่ผ่านไปแล้วทั้งนั้นขอรับ” หลี่หมิงเจ๋อกล่าวด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉย