webnovel

ปฏิญญาค่าแค้น

หลินหลัน ทะลุมิติมาเกิดใหม่ในคราบของหญิงสาวชาวบ้านที่แสนลำบากยากจน แต่โชคยังดีที่ความสามารถด้านการแพทย์และประสบการณ์รักษาผู้คนที่สั่งสมมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนั้นติดตัวมาด้วย อีกทั้งครอบครัวในชาติภพนี้ก็ดีกับนางมิใช่น้อย กระนั้นเคราะห์ร้ายก็ยังคืบคลานเข้ามา เมื่อพี่ชายผู้เป็นที่พึ่งพาเดียวของนางนั้นใสซื่อจนไม่อาจตามทันเล่ห์กลของพี่สะใภ้ที่แสนโลภมาก สุดท้ายแล้วหลินหลันก็ถูกนางบีบบังคับให้ต้องออกเรือนแต่งงานไปเป็นนางบำเรอจนได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องดึงตัว หลี่ซิ่วฉาย ชายหนุ่มรูปงามผู้มีเบื้องหลังเป็นปริศนาในหมู่บ้านเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ ทั้งสองได้ตกลงทำสัญญาขึ้นมาหนึ่งฉบับ เขาช่วยนางให้หลุดพ้นจากการคลุมถุงชน ส่วนนางจะช่วยเขาแก้แค้นและทวงทุกสิ่งอย่างที่ถูกพรากไปกับคืนมาภายในระยะเวลาสามปี ทว่าแผนการช่วยเหลือเขาให้บรรลุเป้าหมายนั้นกลับไม่ง่ายดายอย่างที่คิดนี่สิ…

จื่ออี281 · ย้อนยุค
เรตติ้งไม่พอ
339 Chs

ตอนที่ 314 ร้ายลึก

ตอนที่ 314 ร้ายลึก

ภายในเรือนเวยอวี่ ติงหลั้วเหยียนเล่นเป็นเพื่อนเฉิงเซวียนอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ส่วนทางด้านหลี่หมิงเจ๋อกำลังอ่านสาส์นอยู่ข้างๆ

“อีกไม่กี่วันพวกน้องรองก็จะย้ายออกไปแล้ว เรื่องงานแต่งของหมิงจูก็กำหนดไว้แล้วเช่นกัน แต่ละคนล้วนพากันย้ายออกไป พอข้านึกขึ้นมา ก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้ และยังรู้สึกเสียใจด้วย” ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่

“หากไม่ใช่เพราะท่านพ่อต้องกลับมา พวกเขาก็คงไม่ย้ายออกไป” ติงหลั้วเหยียนบ่นอุบอิบขึ้นมาอีกประโยคในตอนท้าย

หมิงเจ๋อพับสาส์นราชการ แล้วเดินเข้ามาอุ้มเฉิงเซวียน จากนั้นกล่าวขึ้นขณะหยอกเย้าบุตรชาย “พวกเขาไปได้ แต่ข้าในฐานะพี่ใหญ่จึงไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ถึงอย่างไรจะปล่อยให้ผู้คนพากันพูดว่าบุตรชายของตระกูลหลี่ทอดทิ้งบิดาของตนเองมิได้เชียว ต่อให้ท่านพ่อกระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องไว้มากมายเพียงใด เขาก็ยังเป็นพ่อ คำว่ากตัญญูนี้มันยิ่งใหญ่ประดุจภูเขาน่ะสิ!”

ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยความสองจิตสองใจ “ไม่ว่าอย่างไรท่านพ่อก็ต้องกลับมาใช่หรือไม่ หรือว่าเจ้าจัดการให้ท่านพ่อกลับไปบ้านเกิดดีล่ะ”

ลึกๆ แล้วในใจติงหลั้วเหยียนไม่ยินดีที่พ่อตาจะกลับมา แม้ว่าเป็นการอภัยโทษให้พ่อตาโดยฮ่องเต้ก็ตาม แต่มันไม่อาจลบล้างเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นได้ การมีบิดาเช่นนี้อยู่ในบ้าน คงไม่ดีต่อเส้นทางในหน้าที่การงานของหมิงอวินเท่าใดนัก

หมิงเจ๋อกล่าวด้วยความกลัดกลุ้ม “นี่คงต้องดูเจตจำนงของท่านพ่อ หากท่านไม่อยากกลับไป พวกเรายังจะบังคับเขาให้กลับไปได้หรือ” ด้วยความเข้าใจในตัวบิดา บิดาคงไม่ยินยอมที่จะกลับบ้านเกิดเป็นแน่ บิดากลัวอับอายขายหน้าอย่างยิ่ง หากจะให้กลับบ้านเกิด คงต้องเป็นร่างไร้วิญญาณสถานเดียว บีบบังคับให้ตายเขาคงไม่มีทางกลับไป

“เช่นนั้น...จัดการที่อยู่อาศัยสักแห่งในเมืองเทียนจินหรือสถานที่อื่นให้ท่านพ่อได้หรือไม่ พวกเราแค่จ้างบรรดาข้ารับใช้มากหน่อยให้ช่วยดูแลเขา และพวกเราค่อยกำหนดวันเวลาไปเยี่ยมเยียนเขา” ติงหลั้วเหยียนเสนอความคิดเห็น ด้วยความไม่ยอมตายใจ

หมิงเจ๋อครุ่นคิดชั่วขณะ ก่อนกล่าวขึ้น “เอาเป็นว่ารอท่านพ่อกลับมาก่อน ค่อยว่ากันอีกทีเถอะ!”

ติงหลั้วเหยียนจึงนิ่งเงียบอย่างหงุดหงิด และรู้สึกอึดอัดใจกว่าครั้งไหนๆ

“จริงสิ ฤกษ์งามยามดีของน้องหมิงจูกำหนดได้แล้วหรือไม่” หมิงเจ๋อเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“กำลังจะกำหนดน่ะ เจ้าช่วยจัดการโยกย้ายซ่งเหยียนมาประจำตำแหน่งงานหนึ่งในสำนัก​กิจการขนส่งเกลือหลวง ณ ฮวยโจวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีกไม่นานก็ต้องเข้าทำหน้าที่ ตระกูลซ่งจึงอยากจัดงานแต่งให้เรียบร้อยโดยเร็วไวเช่นกัน จะได้ให้หมิงจูไปฮวยโจวพร้อมกันเลย” ติงหลั้วเหยียนกล่าวอย่างใจเย็น

หมิงเจ๋อพยักหน้า “ซ่งเหยียนผู้นั้น ข้ากับน้องรองเคยเจอะเจอแล้ว เป็นบุรุษที่ดูสุภาพอ่อนโยนผู้หนึ่ง น้องหมิงจูอยู่กับเขา คงไม่ได้รับความไม่ยุติธรรมไปได้ จะพูดอย่างไรดีละ ถึงอย่างไรมันก็ดีกว่าการไปเป็นแม่ชี เรื่องใหญ่โตบั้นปลายชีวิตของน้องข้าจะได้มีที่พึ่งพิง ข้าเองก็วางใจด้วยเช่นกัน”

“สินเดิมของน้องหมิงจู ข้าและน้องสะใภ้รองได้ปรึกษาหารือกันบ้างแล้ว ทางเราออกส่วนหนึ่ง น้องรองออกส่วนหนึ่ง แล้วก็เฉลี่ยจากทรัพย์สินที่เหล่าไท่ไททิ้งไว้ให้อีกส่วนหนึ่งแบ่งออกมา อย่างพวกบ้านเรือนและที่ดินอะไรนั่นก็ไม่ต้องคำนึงถึงแล้ว เอาแค่พวกเครื่องประดับ เปลี่ยนเป็นตั๋วเงินแล้วให้นางพกติดไปฮวยโจว เมื่อถึงที่นั่นแล้ว นางอยากซื้อบ้านหรือซื้อที่ดินล้วนสะดวกสบายกว่า” ติงหลั้วเหยียนกล่าว

“เจ้าไตร่ตรองได้ยอดเยี่ยมมาก ซ่งเหยียนไปฮวยโจวครั้งนี้ อยากน้อยๆ ก็ต้องอยู่ที่นั่นสามปีขึ้นไป สามปีจากนั้นค่อยว่ากันอีกที! ข้าและน้องรอง หากยังพอหาตำแหน่งได้สักตำแหน่ง ค่อยคิดวิธีจัดการให้เขาโยกย้ายมารับตำแหน่งในเมืองหลวง เมื่อถึงตอนนั้นทั้งครอบครัวเราจะได้พบปะดูแลกันได้ง่ายดายหน่อย” หมิงเจ๋อกล่าวด้วยความพึงพอใจ ก่อนก้มลงไปจุมพิตดวงหน้าน้อยๆ ของเฉิงเซวียน แล้วกล่าว “เฉิงเอ๋อร์ เจ้าว่าใช่หรือไม่”

ติงหลั้วเหยียนรู้สึกหดหู่ใจ “หากเป็นเช่นนี้ได้ก็คงดีเยี่ยมที่สุด ครอบครัวอื่นเขาพร้อมหน้าพร้อมตาครึกครื้นเริงร่า อยู่กันอย่างอบอุ่นเบิกบานใจ ก็มีแต่ครอบครัวเรา นับวันยิ่งเงียบสงัด”

หลี่หมิงเจ๋อเข้าใจดีว่าหลั้วเหยียนอาลัยอาวรณ์หลินหลัน จึงกล่าวปลอบประโลมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ถึงเจ้าจะเห็นว่าในครอบครัวคนอื่นเขาครึกครื้นเริงร่า อยู่กันอย่างอบอุ่นเบิกบานใจ นั่นล้วนเป็นภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้น ครอบครัวใครบ้างจะไร้เรื่องกลัดกลุ้มใจ ลึกๆ แล้ว ไม่อาจรู้ได้เลยว่ามีความกังวลใจเช่นไรบ้าง! ทว่าเจ้ากับน้องสะใภ้ มีความสามัคคีกลมเกลียวกันอย่างแท้จริง แม้พวกเขาต้องย้ายออกไป แต่ย่านเฮ๋อฮวาห่างจากที่นี่ไม่ไกลเลย นั่งรถม้าเพียงชั่วครู่เดียวก็ถึงแล้ว หากเจ้าคิดถึงนางจะไปเยี่ยมเยียนก็ย่อมได้”

“นั่นจะเหมือนกันได้อย่างไร แค่ความรู้สึกก็แตกต่างกันแล้ว การอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ต่อให้ไม่ได้พบเจอหน้ากันทุกวัน จะอย่างไรก็อยู่ในพื้นที่เดียวกัน จึงรู้สึกอุ่นใจได้” ติงหลั้วเหยียนกล่าวโต้แย้ง

หลี่หมิงเจ๋อกล่าว “เจ้าก็ไม่ใช่ไม่รู้ ด้วยเรื่องเหล่านั้นที่ท่านพ่อกระทำต่อน้องรอง น้องรองจึงไม่มีทางเลือกอื่น ไม่เห็นหน้าจะได้ไม่ต้องเป็นปัญหาขัดแย้งไปเปล่าๆ”

ถึงหลั้วเหยียนถอนหายใจอย่างเงียบๆ ซึ่งนางเองก็ไร้ข้อโต้เถียงในประเด็นนี้ได้เช่นกัน อย่าว่าแต่หมิงอวินอยากไปเลย นางเองก็อยากไปเช่นกัน แต่จะอย่างทำอย่างไรได้ละ

เฉียวอวิ๋นซีรับรู้ว่าพวกเขากำลังจะย้ายไปทางด้านนั้น จึงดีอกดีใจอย่างยิ่ง ช่วยจัดการให้ทุกอย่างด้วยความกระตือรือร้น ทั้งช่างก่อสร้าง ช่างไม้ และคนสวนล้วนเป็นนางช่วยจัดหามาให้ นางเฝิงในฐานะสำคัญอย่างแม่เลี้ยงและสหายที่ดีของหลินหลัน เป็นธรรมดาที่จะไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะปรับปรุงความสัมพันธ์ขึ้นมาใหม่ โดยขยันไปทางด้านเฉียวอวิ๋นซีนั่นทุกวี่ทุกวัน ทั้งสองคนมีการปรึกษาหารือเกี่ยวกับการจัดระเบียบบ้านหลังใหม่ของหลินหลัน เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงช่วยหลี่หมิงอวินได้มากทีเดียว เขาจึงแวะเวียนไปดูชั่วครู่ชั่วคราวสามวันครั้ง

แม่โจวถือสมุดรายชื่อฉบับหนึ่งมาให้นายหญิงสะใภ้รองดู

“ทั้งหมดนี่เป็นคนงานที่จัดเตรียมไว้สำหรับบ้านใหม่ทางด้านนั้นเจ้าค่ะ ต้าเส้าหน่ายนายดึงคนเก่าแก่ในจวนไปให้ด้วยสองสามคน และบ่าวก็ได้ไปพบคนกลางที่ช่วยจัดหาคนงาน ซื้อสาวใช้สิบสองคนและข้ารับใช้เด็กหนุ่มอีกหกคนเจ้าค่ะ ทางด้านจวนท่านแม่ทัพจัดองค์รักษ์ประจำบ้านมาแปดคน ผนวกกับคนของเรือนหลั้วเซี๋ยจายเรา รวมเป็นทั้งหมดสี่สิบสองคนเจ้าค่ะ กำลังคนน่าจะเพียงพอแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้กำหนดผู้ดูแลใหญ่ เอ้อร์เส้าหน่ายนายท่านว่า...ในบรรดาตัวเลือกตอนนี้ ผู้ใดค่อนข้างเหมาะสมที่สุดหรือเจ้าคะ หากทั้งหมดไม่เหมาะสม บ่าวจะได้ไปจ้างจากด้านนอกมาสักคนหนึ่งเจ้าค่ะ”

หลินหลันมองดูสมุดรายชื่อพลางเอ่ยถาม “สาวใช้และข้ารับใช้เด็กหนุ่มที่ซื้อมาใหม่เหล่านี้ ท่านสอดส่องดูทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่”

“สอดส่องดูแล้วเจ้าค่ะ ล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ไร้มลทิน ขยันขันแข็งว่องไว และลงนามสัญญารูปแบบตลอดชีวิตเป็นที่เรียบร้อยเจ้าค่ะ ดังนั้นพวกเขาคงไม่กล้าเกียจคร้านแน่นอนเจ้าค่ะ” แม่โจวกล่าวตอบ

หลินหลันพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เช่นนี้ก็ดีแล้ว ส่วนตัวผู้ที่จะเลือกมาเป็นผู้ดูแลใหญ่ ในใจข้ามีอยู่ผู้หนึ่งที่เหมาะสมเป็นพิเศษ”

แม่โจวคาดเดา “เอ้อร์เส้าหน่ายนายหมายถึง...ฝูอานหรือเจ้าคะ”

หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เห็นทีว่าเจ้าก็รู้สึกว่าคนผู้นี้เหมาะสมเช่นกันสินะ ถูกต้อง ก็ฝูอานนั่นละ เมื่อก่อนข้าเคยให้เขาช่วยดูแลจัดการหุยชุนถาง ก็เพราะเห็นว่าเขาจัดการเรื่องราวได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ระมัดระวังรอบคอบ ทั้งเรื่องภายนอกภายในล้วนจัดการได้ครบถ้วนเหมาะสม เป็นผู้มีความสามารถในการทำเรื่องต่างๆ ได้ดีทีเดียว อีกทั้งเขาก็เป็นบุตรจากครอบครัวที่อยู่ในตระกูลเยี่ย เป็นสามีของอวี้หลง ไม่มีผู้ใดเหมาะสมไปยิ่งกว่าเขาแล้ว ไว้อีกเดี๋ยวเจ้าไปถามไถ่ดู ว่าเขามีความคิดเห็นเช่นไร หากเขาตกลงก็ให้มากันทั้งครอบครัวเลย อวี้หลงจะได้ช่วยจัดการดูแลเรื่องบ้านชั้นในด้วย แม่โจว ท่านอายุอานามไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ว่ากันตามหลักควรพักผ่อนอย่างสบายๆ ตั้งนานแล้ว ทว่าข้างกายข้าก็ไร้ผู้มีความสามารถเฉกเช่นท่าน จึงต้องให้ท่านลำบากมาถึงทุกวันนี้ ข้ารู้สึกขอโทษด้วยจริงๆ แต่ก็คงต้องให้ท่านช่วยชี้นำอวี้หลงสักระยะหนึ่ง ไว้ถึงเวลาอันเหมาะสม ท่านอยากกลับเฟิงอาน หรืออยู่ในเมืองหลวงล้วนตามใจท่าน ท่านช่วยเหลือข้าและเอ้อร์เส้าเหยียมากมายเพียงนี้ ในใจข้าเห็นท่านเป็นญาติของตนเองผู้หนึ่งเช่นกัน ”

แม่โจวกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ “ความรู้สึกนึกคิดของเอ้อร์เส้าหน่ายนาย มีหรือบ่าวจะไม่รู้ บ่าวซาบซึ้งใจเกินบรรยาย บ่าวปรนนิบัติเหล่าไท่ไทเยี่ยมาครึ่งชีวิต ว่ากันตามหลักควรกลับไปอยู่เป็นเพื่อนเหล่าไท่ไท ทว่าบ่าวก็ยังไม่อาจวางใจท่านและเอ้อร์เส้าเหยียได้ หากเอ้อร์เส้าเหยียไม่รังเกียจที่บ่าวอายุมากแล้ว ใช้การใช้งานอันใดไม่ได้ บ่าวก็ยังอยากอยู่ปรนนับิตข้างกายเอ้อร์เส้าหน่ายนายอีกสักสามสี่ปี รอให้คุณชายน้อยเติบใหญ่ขึ้นมาหน่อย บ่าวค่อยกลับเฟิงอานเจ้าค่ะ”

กล่าวตามจริง ตลอดที่ผ่านมา หลินหลันเชื่อใจได้มากที่สุดก็คือแม่โจว กุ้ยซ่าว หยินหลิ่วและอวี้หลง โดยเฉพาะแม่โจว การมีนางอยู่ด้วย หลินหลันจึงรู้สึกอุ่นใจ ก็เสมือนกับกระดูกสันหลังหรือเข็มเทพใต้ท้องทะเล หากแม่โจวจากไปจริงๆ นางคงอาลัยอาวรณ์เป็นแน่

“เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เพียงแต่ต้องทำให้ท่านเหนื่อยใจอยู่เรื่อย” หลินหลันกล่าวด้วยความรู้สึกผิด

“ต่อให้บ่าวเหนื่อยใจเพียงใด ก็เป็นความสุขอยู่ดีเจ้าค่ะ” แม่โจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม

หลินหลันมองดูชื่อของกุ้ยซ่าวบนสมุดรายชื่อ แล้วกล่าวอย่างครุ่นคิด “แม่โจว ตอนนี้สามีและลูกๆ ของป้ากุ้ยซ่าว อยู่ที่เฟิงอานกันทั้งหมดเลยใช่หรือไม่”

“ใช่แล้วเจ้าค่ะ! สามีกุ้ยซ่าวนางเป็นผู้ดูแลเรื่องภายใต้คำสั่งของเหล่าไท่เหยียในตอนนี้น่ะเจ้าค่ะ ส่วนบุตรชายคนโตและบุตรชายคนรองทำงานอยู่ภายใต้คำสั่งของนายท่านรองเจ้าค่ะ” แม่โจวกล่าวตอบ

หลินหลันกำลังครุ่นคิดว่า กุ้ยซ่าวห่างจากครอบครัวมาสามปีกว่าแล้ว นางแตกต่างจากแม่โจว เพราะแม่โจวไร้บุตร ตัวคนเดียว ไม่มีพันธะ เดิมทีน่ะ! หากนางและหมิงอวินจะอยู่อาศัยที่เมืองหลวงตลอดไป ก็คงจัดการโยกย้ายครอบครัวของกุ้ยซ่าวมาอยู่ด้วยแล้ว ทว่าหมิงอวินกล่าวว่า เมื่อได้เวลาอันสมควรจะลาออกจากตำแหน่งขุนนาง ดังนั้น เรื่องนี้จึงไม่ได้ทำการตัดสินใจตลอดที่ผ่านมา

“แม่โจว ท่านลองหยั่งเชิงความนึกคิดของกุ้ยซ่าวดูแล้วกัน หากนางอยากกลับเฟิงอาน จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว ก็ให้นางกลับไปเถอะ!” หลินหลันกล่าวพึมพำ

“เจ้าค่ะ ไว้เดี๋ยวบ่าวจะลองถามไถ่ความคิดเห็นของนางดูเจ้าค่ะ” แม่โจวขานรับ จากนั้นนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เดือนนี้ จิ้วฮูหยินมายืมเงินทั้งหมดสามครั้ง รวมเป็นห้าร้อยตำลึงเงิน เป็นเงินที่เอ้อร์เส้าเหยียตอบตกลงให้ไปเจ้าค่ะ”

หลินหลันขมวดคิ้ว “นางช่างมีความสามารถในการใช้จ่ายเงินจริงๆ รู้หรือไม่ว่าไปใช้ในส่วนใด”

“บ่าวแอบสืบเสาะดูอย่างลับๆ ระยะนี้ดูเหมือนว่าจิ้วฮูหยินจะหลงระเริงอยู่กับการเล่นไพ่เจ้าค่ะ” แม่โจวกล่าวกระซิบกระซาบ

หลินหลันสบถฮึด้วยความหงุดหงิดใจ “นางก็คือโคลนที่เหลวเกินกว่าจะยึดเกาะกำแพง[footnoteRef:1]” [1: โคลนที่เหลวเกินกว่าจะยึดเกาะกำแพง (堆扶不上墙的烂泥) สำนวนจีน หมายถึง บุคคลประเภทที่ไร้ความสามารถและปัญญาเกินกว่าจะมองเห็นและเข้าใจอะไรต่อมิอะไรได้]

หลังนางตั้งครรภ์ เหยาจินฮวาแวะเวียนมาเยี่ยมนางรวมๆ แล้วสามครั้ง ซึ่งตามจริงแล้วทุกครั้งล้วนอ้างว่ามาเยี่ยมนาง แต่ความจริงคือมาขอเงินถึงที่

“ยังไม่หมดเพียงเท่านี้นะเจ้าคะ จิ้วฮูหยินนำผ้าไหมที่ได้มากจากร้านผ้าไหมของตระกูลเยี่ยไปขายต่อ เงินที่ได้ทั้งหมดก็นำไปเล่นการพนัน จนถึงปัจจุบันนี้จึงติดเงินกับทางด้านร้านผ้าไหมเป็นเงินทั้งสิ้นเจ็ดร้อยหกสิบแปดตำลึงเงินเจ้าค่ะ”

หลินหลันรู้สึกแน่นหน้าอกจนพะอืดพะอม จึงแสดงท่าทีให้แม่โจวช่วยรินน้ำให้

สำหรับนาง เงินจำนวนหนึ่งพันกว่าตำลึงเงินไม่ใช่จำนวนที่มากมาย แต่พี่ใหญ่มีรายได้เฉลี่ยทุกเดือนหนึ่งร้อยกว่าตำลึงเงินเท่านั้น แล้วจะให้เหยาจินฮวาใช้เงินมือเติบเพียงนี้ได้ที่ไหนกัน

หลินหลันดื่มน้ำเข้าไปอึกหนึ่ง แล้วพ่นลมหายใจออกมาจาก “เรื่องนี้ พวกเราแสร้งทำเป็นไม่รู้ก็พอ นางต้องการเท่าใด ก็ให้นางไปเท่านั้น”

พอนับๆ วันดู พี่ใหญ่ก็ใกล้กลับมาแล้ว วันคืนสุขสบายของเหยาจินฮวาจึงใกล้สิ้นสุดลงแล้วเช่นกัน

แม่โจวเป็นอันเข้าใจได้ “บ่าวรับทราบแล้วเจ้าค่ะ”

“สถานการณ์ของฮานเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้างหรือ” หลินหลันยังคงเป็นห่วงฮานเอ๋อร์มากที่สุด ฮานเอ๋อร์มีมารดาเช่นนี้ นับเป็นความโชคร้ายร้ายชั่วชีวิต

“คุณชายน้อยฮานเอ๋อร์มีผู้ดูแลวัยกลางคนที่เฝิงฮูหยินส่งไปคอยอบรมสั่งสอนอยู่เจ้าค่ะ เอ้อร์เส้าหน่ายนายวางใจได้เจ้าค่ะ” แม่โจวกล่าว

วางใจ นางจะวางใจได้หรือ การมีมารดาประเภทนี้ สู้ไม่มียังจะดีเสียกว่า! หลินหลันหมดคำจะพูดอย่างสุดขีด

กำหนดวันมงคลขึ้นบ้านใหม่เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก็คือวันที่หกเดือนหก เดิมทีอยากรอจัดการงานมงคลของหมิงจูให้เรียบร้อยแล้วค่อยโยกย้าย ทว่าในเดือนหกมีวันมงคลสำหรับการเข้าอยู่บ้านใหม่เพียงสามวันเท่านั้น อีกทั้งล้วนเป็นช่วงก่อนหน้าวันงานมงคลของหมิงจูทั้งสิ้น เมื่อถึงเดือนหก อากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ ร้อนจนหลินหลันอยู่ไม่สุขตลอดทั้งวัน กลางคืนก็นอนไม่หลับ หมิงอวินเอ่ยว่าบ้านใหม่ทางด้านนั้น เย็นสบายกว่าเรือนหลั้วเซี๋ยจายมาก จึงตัดสินใจโยกย้ายเข้าไปโดยเร็วไว

แม่โจวนำผู้คนช่วยกันขนย้ายสิ่งของมีค่าทางด้านนี้ย้ายไป หรูอี้แวะไปบ้านหลังใหม่แล้วเช่นกัน เมื่อกลับมาจึงกล่าวอย่างตื่นตาตื่นใจ “บ้านหลังใหม่จัดแต่งอย่างงดงามเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะสระบัวนั่น ในช่วงเวลานี้ ดอกบัวในสระล้วนผลิบานเต็มไปหมด เอ้อร์เส้าเหยียเลือกที่อยู่อาศัยได้เลิศเลอจริงๆ เจ้าค่ะ เพียงเปิดหน้าต่างก็มองเห็นสระบัวได้แล้ว สวยสดงดงามอย่าบอกใครเชียวเจ้าค่ะ”

เมื่อได้ยินหรูอี้พูดเยี่ยงนี้ หลินหลันจึงเกิดความสนอกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย อยากย้ายเข้าไปอยู่อาศัยจนแทบอดทนรอไม่ไหว

วันที่สองเดือนหก ในที่สุดพี่ใหญ่ก็กลับมาจากหมู่บ้านเจี้ยนซี และปฏิบัติตามความประสงค์ของหลินหลัน โดยการอัญเชิญป้ายวิญญาณไปไว้ที่บ้านของตนเอง

ตั้งแต่ตั้งครรภ์ หลินหลันก็ไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนมาไหนเลย แต่เรื่องใหญ่อย่างการรับป้ายดวงวิญญาณมานี้ แม้นางจะมีเรี่ยวแรงเพียงน้อยนิดก็ต้องไปให้จงได้

วันนี้หลี่หมิงอวินขอลางานเป็นการเฉพาะ เพื่อเดินทางไปเป็นเพื่อนหลินหลัน ในการรับป้ายดวงวิญญาณของนางเฉิน

นางเฉินถูกบรรจุเข้าสุสานใหม่อีกครั้ง โดยสุสานที่เลือกตั้งอยู่ตอนใต้ของเขตชานเมืองหลวง เบื้องหลังติดกับภูเขาเขียวขจี รายล้อมไปด้วยหญ้าเขียวชอุ่มและธารน้ำไหล เป็นทำเลที่หวงจุ้ยดีที่สุดก็ว่าได้ หลินจื้อย่วนซื้อมันไว้หลายแปลง แล้วสร้างสุสานที่สง่างามโอ่อ่า เพื่อให้นางเฉินได้อยู่ในสุสานอย่างสงบสุข

พื้นที่สุสานดีงาม ตัวสุสานก็สร้างอย่างสง่างามโอ่อ่า ทว่าหลินหลันมองเห็นมารดายังคงต้องนอนเดียวดายอยู่ตรงนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดดวงใจ

หลี่หมิงอวินพยายามปลอบประโลมนาง “ในที่สุดก็ได้มาอยู่ใกล้กันหน่อยเสียที จากนี้หากเจ้าคิดถึงท่านแม่ จะแวะมาเยี่ยมเยียนก็สะดวกสบายขึ้นมาก”

นั่นสิ! ก็มีดีแค่ประเด็นนี้เท่านั้นละ

หลินจื้อย่วนกลับไปบ้านเกิดพร้อมหลินเฟิงครั้งนี้ ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันเป็นเวลาสองเดือน ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกจึงพัฒนาขึ้นไปมาก ตอนนี้ก็มีเพียงหลันเอ๋อร์ที่ยังคงไม่แยแสเขา

“หลันเอ๋อร์ อย่าเสียใจไปเลย ท่านแม่เจ้าอยู่ตรงนั้นโดยรับรู้ทุกสิ่งอย่าง ได้เห็นเจ้าและเฟิงเอ๋อร์มีชีวิตที่สุขสบายเฉกเช่นทุกวันนี้ นางก็คงปลาบปลื้มใจเช่นกัน เจ้าไม่ได้ตัวคนเดียวแล้ว คำนึงถึงสุขภาพร่างกายของตนเองเป็นสำคัญเข้าไว้เถิด” หลินจื้อย่วนกล่าวปลอบประโลมนางบ้างเช่นกัน

หลินหลันมองบนใส่เขา แล้วเปลี่ยนตำแหน่งกับหลี่หมิงอวิน เพื่อให้ห่างจากเขาขึ้นมาหน่อย

หลินจื้อย่วนเอาอกเอาใจไม่สำเร็จ จึงเดินจากไปอย่างเศร้าสลด เฝิงซูหมิ่นได้แต่มองดูสามีอย่างเห็นใจ

หลังจัดการปิดประตูสุสานฝังศพ ทุกคนพากันคารวะเบื้องหน้าสุสาน โดยก้มศีรษะลงแตะพื้นสามครั้ง เหยาจินฮวายังอุตส่าห์เสแสร้งบีบน้ำตาจระเข้ออกมาสองสามหยด และสะอึกสะอื้นเล็กน้อย หลินหลันเห็นดังกล่าวก็รู้สึกเดือดดาลขึ้นมาทันที คนอย่างเจ้ายังมีหน้ามาร้องไห้อีกหรือ หากไม่ใช่เพราะเจ้าสตรีปากตลาดผู้นี้ ไม่แน่ว่ายามนี้ท่านแม่อาจยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้!

หลี่หมิงอวินมองดูสีหน้านางผิดปกติ จึงเขยิบเข้าไปแล้วเอ่ยกระซิบข้างใบหูนาง “สุขภาพร่างกายของตนเองสำคัญยิ่ง อย่าโกรธเกรี้ยวให้กับคนที่ไม่คุ้มค่าเหล่านั้นเลย”

ยามนี้เองหลินหลันถึงได้กลืนความเดือดดาลกลับลงไป

หลังจากนั้นหลินเฟิงจึงโอบกอดป้ายวิญญาณไว้ ส่วนหลินหลันเป็นผู้ถือธูป ขบวนคนกลุ่มพากันมุ่งหน้าไปยังบ้านของหลินเฟิง

หลังยุ่งวุ่นวายตลอดหนึ่งวันเต็ม หลินหลันรู้สึกอ่อนเพลียอย่างยิ่ง หากไม่ตั้งครรภ์คงไม่มีทางรู้ได้เลยว่า แท้จริงแล้วตนเองก็มีช่วงเวลาที่อ่อนแอปานนี้ได้เช่นกัน หรือว่าเป็นบุตรในครรภ์ที่อ่อนแอเกินไปแล้วกันแน่?

หลี่หมิงอวินเกรงว่านางจะเหน็ดเหนื่อย จึงขอตัวลากลับจวน

หลินหลันเอนกายนอนทันทีที่กลับถึงบ้าน ปวดเมื่อยช่วงเอวเสียยิ่งอะไรดี หมิงอวินเป็นห่วงอย่างยิ่ง จึงต้องการไปเรียนเชิญฮว๋าเหวินไป่มาตรวจดู ผู้คนต่างกล่าวว่าช่วงสามเดือนแรกเป็นช่วงเวลาที่อันตรายมากที่สุด หลินหลันกลับห้ามไว้ไม่ยอมให้ไป หลี่หมิงอวินจึงทำได้เพียงตามใจนาง และให้นางนอนตะแคง เพื่อช่วยบีบนวดให้นาง

“เช่นนี้สบายขึ้นหน่อยหรือไม่” หลี่หมิงอวินเอ่ยถามระหว่างบีบนวด

“อืม ดีขึ้นมาหน่อยแล้วละ” หลินหลันขานรับอย่างอ่อนแรง

“เช่นนั้นข้านวดให้เจ้ามากๆ หน่อย เจ้าหลับตานอนหลับเถอะ!”

“นอนไม่หลับ ข้าหลับตาแล้วก็คิดถึงท่านแม่ข้าขึ้นมาทันที ท่านแม่อยู่กับท่านพ่อข้า ไม่เคยได้ใช้ชีวิตที่สุขสบายสักวัน ลำบากตรากตรำอย่างยิ่ง” หลินหลันกล่าวด้วยความเศร้าสร้อย

“การเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องที่ฟ้าดินกำหนดมาแล้ว เจ้าก็อย่าได้เศร้าโศกเกินไปเลย” หลี่หมิงอวินเกลี้ยกล่อม

หลินหลันกำหมัดด้วยความโกรธเคือง แล้วเอ่ย “เป็นเพราะเหยาจินฮวาสตรีร้ายการผู้นั้น ทำให้ท่านแม่ข้าเดือดดาลครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระอักเลือด พี่ชายข้าก็หัวอ่อน ดีแต่พูดเกลี้ยกล่อมทั้งสองฝ่าย แต่หาได้เด็ดขาดเอาจริงเอาจังไม่ แต่อย่างไรก็ตาม พอเขาเด็ดขาดเอาจริงเอาจังขึ้นมาได้เฉกเช่นปัจจุบันนี้ เหยาจินฮวานางก็ไม่กล้าวางมาดบาตรใหญ่เช่นนั้นอีกแล้วเช่นกัน”

หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างอ่อนใจ “ล้วนเป็นเรื่องราวที่ผ่านไปแล้วทั้งนั้น อย่าได้คิดถึงมันอีกเลย คนกระทำอย่างไรไว้ ฟ้าดินมองเห็น พี่สะใภ้เจ้าไม่รู้จักปรับเปลี่ยนนิสัย ไม่ช้าก็เร็วจะได้รับผลของการกระทำ”

หลินหลันนึกถึงเรื่องที่เหยาจินฮวายืมเงินขึ้นมาได้กะทันหัน จึงหันไปเอ่ยถามหลี่หมิงอวิน “เหยาจินฮวาขอยืมเงินเจ้า ไยเจ้าถึงใจดีเพียงนั้น ห้าร้อยตำลึงเงิน นั่นเป็นเงินเดือนสองเดือนของเจ้าเชียวนะ”

หลี่หมิงอวินอมยิ้ม “เจ้าเพิ่งนึกขึ้นได้ตอนนี้ว่าต้องถามไถ่ข้าหรือ ต่อให้นางไม่ดีเพียงใด ถึงอย่างไรก็เป็นพี่สะใภ้เจ้า ก็ถือเสียว่าเห็นแก่หน้าพี่เขย ข้าจะไม่ให้ก็ไม่ได้มิใช่หรือ หากนางยืมเงินไปทำธุระทางการ ข้าก็ต้องให้นางสิ! หากนำเงินไปทำเรื่องไม่ดี ข้าก็ยิ่งต้องให้มากขึ้นอีกมิใช่หรือ”

หลินหลันมองดูเขาที่กำลังเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ จึงเลิกคิ้วใส่ แล้วกล่าว “เจ้าไปรู้อะไรบางอย่างมาแล้วใช่หรือไม่”

หลี่หมิงอวินไม่ตอบรับ “มีคำกล่าวหนึ่งที่ว่า เยินยอให้หลงระเริงได้ใจ แล้วค่อยทำให้ถดถอย กระทั่งนำไปสู่ความเสื่อมเสียและล้มเหลว เจ้าเคยได้ยินกระมัง”

หลินหลันชำเลืองตามองเขา “ก็ว่าแล้วว่าเจ้าผู้นี้มันร้ายลึก”

หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างหน้าใสซื่อ “ทั้งๆ ที่เป็นคนเขาหาเรื่องใส่ตนเองแท้ๆ ไยถึงกลายเป็นข้าร้ายลึกไปได้ พี่สะใภ้เจ้าไปเล่นพนันไพ่จนสิ้นเนื้อประดาตัว หากข้าไม่ให้นางยืมเงิน นางก็จะเดินไปในทางที่ผิด และคงโบ้ยมาที่พี่เขยเป็นแน่ เฮ้อ! ข้าได้ยินมาว่า คนเขาส่งของขวัญมาให้ถึงที่ นางรับเอาไว้ทั้งหมด แล้วยังร้องห่มร้องไห้พรรณนากับคนเขาว่ายากจน นี่มิเท่ากับแสดงออกว่าต้องการเงินของคนเขาหรือ ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วคงได้เกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่”

หลินหลันขมวดคิ้ว แล้วกล่าว “แต่จะรอให้เกิดเรื่องราวขึ้นแล้วค่อยจัดการมิได้เชียว หากชื่อเสียงของพี่ชายข้าถูกนางทำลายก็คงสายเกินไปแล้ว ยามนี้ข้าดันมาตั้งครรภ์อยู่อีก มิเช่นนั้นข้าจัดการนางไปตั้งนางแล้ว”

หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน “ต้องการจัดการคนอย่างนาง ใช่เรื่องที่ต้องเปลืองแรงกายแรงใจเสียที่ไหนกัน ไว้อีกเดี๋ยว ข้าจะให้คนไปพูดเปรยกับพี่เขยไว้ก่อน แล้วค่อยให้คนของโรงพนันไปทวงนี้หนี้สินกับพี่เขยถึงบ้าน หากพี่ชายเจ้ายังมีพอมีสมองก็คงเข้าใจได้ว่าสตรีผู้นี้จะเอาไว้มิได้เป็นอันขาด”

“ก็นั่นน่ะสิ ขืนเอาไว้ มีหวังไม่ช้าก็เร็วได้เกิดหายนะเป็นแน่ ข้าเกรงก็แต่ว่าพี่ชายข้าจะใจอ่อนขึ้นมาอีก เจ้าไม่ใช่ไม่รู้ว่าเหยาจินฮวารู้จักใช้ลูกไม้ต่อพี่ชายข้าเสียยิ่งอะไรดี” หลินหลันกล่าวด้วยความกังวล

หลี่หมิงอวินครุ่นคิด “เรื่องนี้เจ้าอย่าสนใจเลย มอบให้ข้าไปจัดการก็เป็นพอ”

หลี่หมิงอวินจะลงมือทั้งที หลินหลันจึงรู้สึกวางใจได้เป็นธรรมดา

ภายในจวนแม่ทัพ

นางเฝิงเห็นว่าสามีตนเองห่างบ้านไปสองเดือน ดูผอมลงไปเป็นเท่าตัว อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจ จึงให้คนไปตุ๋นน้ำแกงโสมมาให้สามีบำรุงร่างกาย

“ท่านพี่ไปครั้งนี้คงเหน็ดเหนื่อยแย่เลยสินะเจ้าคะ ดีที่เรื่องราวลุล่วงไปได้ด้วยดี คงสบายใจขึ้นมาหน่อยแล้วนะเจ้าคะ”

หลินจื้อย่วนรำพึงรำพันความรู้สึกอย่างหดหู่ “การไปหมู่บ้านเจี้ยนซีครั้งนี้ ได้เห็นบ้านที่นางเฉินพักอาศัยเมื่อในอดีต เป็นบ้านที่ทรุดโทรมมากที่สุดในหมู่บ้านเจี้ยนซีก็ว่าได้ ได้ยินผู้นำหมู่บ้านกล่าวถึงสถานการณ์ในตอนนั้นของพวกเขาแม่ลูก ในใจข้านี้ รู้สึกแย่อย่างยิ่ง!”

นางเฝิงรำพึงรำพันขึ้นมาเช่นกัน “ท่านพี่สาวช่างน่าสงสารจริงๆ เจ้าค่ะ เพราะความผิดพลาด สวรรค์จึงพรากมนุษย์อย่างเราๆ ให้แยกจากกันตลอดกาล ข้าได้ยินหลินหลันเอ่ยว่า ผู้คนหมู่บ้านเจี้ยนซีคอยช่วยเหลือเกื้อกูล ครอบครัวพวกนางได้รับการดูแลจากทุกคน ถึงอยู่รอดมาได้”

“เฮ้อ! ยิ่งข้านึกถึงยิ่งตำหนิตนเอง ตอนแรกหากข้าไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส บางที พวกนางแม่ลูกก็คงไม่เป็นเช่นนี้...”

“ท่านพี่ ท่านก็อย่าได้ตำหนิตนเองเกินไปเลยเจ้าค่ะ ฟ้าดินกำหนดไว้แล้ว ท่านก็ไม่ได้อยากให้เป็นเช่นนี้เหมือนกัน” นางเฝิงกล่าวปลอบใจ

“หากหลันเอ๋อร์คิดได้เช่นนี้ก็คงดี จริงสิ หลันเอ๋อร์ตั้งครรภ์แล้ว กี่เดือนแล้วหรือ สุขภาพร่างกายดีอยู่หรือไม่ ข้าเห็นนางผอมจนหนังหุ้มกระดูกแล้ว” หลินจื้อย่วนซักถามด้วยความห่วงใย

นางเฝิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่ถึงสามเดือนเจ้าค่ะ แต่แพ้ท้องรุนแรงทีเดียวเชียว! กินไม่ได้นอนไม่หลับ เกือบจะทำให้หลี่หมิงอวินย่ำแย่ตามๆ ไปด้วย ท่านเห็นนางตอนนี้ ถือว่าดีขึ้นหน่อยแล้วนะเจ้าคะ ครั้งก่อนข้าไปเยี่ยมนาง ตอนนั้นสิน่าสงสารอย่างยิ่ง พูดคุยไม่ถึงสามประโยคก็เป็นอันต้องอาเจียน ตอนที่ข้าตั้งท้องซานเอ๋อร์ ก็มีอาการแพ้ท้องค่อนข้างมากเช่นกัน แต่ก็ไม่รุนแรงเช่นนางเพียงนี้”

“เช่นนี้จะไหวได้อย่างไรล่ะ ไม่ได้เชิญหมอมาตรวจดูเลยหรือ” คิ้วเข้มทั้งสองของหลินจื้อย่วนขมวดขึ้น

“เหตุใดจะไม่ได้ให้มาตรวจดูล่ะเจ้าคะ หมอหลวงแห่งสำนักหมอหลวงอย่างท่านหมอฮว๋าแวะเวียนมาตรวจอาการนางตามกำหนด พวกตัวยาก็จ่ายไว้ให้แล้วเช่นกัน เพียงแต่ไม่เห็นผล หลินหลันนางเองก็มองโลกในแง่ดี กล่าวว่าอาเจียนไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เคยชินเอง ถึงอย่างไรก็ยังไม่เคยเห็นคนตั้งครรภ์ผู้ไหนเสียชีวิตเพราะหิวมาก่อน” นางเฝิงยิ้มเจื่อน

หลินจื้อย่วนถอนหายใจ “เห็นทีว่าหลานข้าจะซุกซนเอาการ อยู่ในครรภ์มารดาก็แผลงฤทธิ์เพียงนี้แล้ว เจ้ามีเวลาว่างก็แวะเวียนไปเยี่ยมนางบ่อยๆ หน่อยแล้วกัน”

นางเฝิงเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน “เรื่องนี้ยังต้องรอให้ท่านพี่บอกกล่าวด้วยหรือเจ้าคะ”