webnovel

ปฏิญญาค่าแค้น

หลินหลัน ทะลุมิติมาเกิดใหม่ในคราบของหญิงสาวชาวบ้านที่แสนลำบากยากจน แต่โชคยังดีที่ความสามารถด้านการแพทย์และประสบการณ์รักษาผู้คนที่สั่งสมมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนั้นติดตัวมาด้วย อีกทั้งครอบครัวในชาติภพนี้ก็ดีกับนางมิใช่น้อย กระนั้นเคราะห์ร้ายก็ยังคืบคลานเข้ามา เมื่อพี่ชายผู้เป็นที่พึ่งพาเดียวของนางนั้นใสซื่อจนไม่อาจตามทันเล่ห์กลของพี่สะใภ้ที่แสนโลภมาก สุดท้ายแล้วหลินหลันก็ถูกนางบีบบังคับให้ต้องออกเรือนแต่งงานไปเป็นนางบำเรอจนได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องดึงตัว หลี่ซิ่วฉาย ชายหนุ่มรูปงามผู้มีเบื้องหลังเป็นปริศนาในหมู่บ้านเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ ทั้งสองได้ตกลงทำสัญญาขึ้นมาหนึ่งฉบับ เขาช่วยนางให้หลุดพ้นจากการคลุมถุงชน ส่วนนางจะช่วยเขาแก้แค้นและทวงทุกสิ่งอย่างที่ถูกพรากไปกับคืนมาภายในระยะเวลาสามปี ทว่าแผนการช่วยเหลือเขาให้บรรลุเป้าหมายนั้นกลับไม่ง่ายดายอย่างที่คิดนี่สิ…

จื่ออี281 · ย้อนยุค
เรตติ้งไม่พอ
339 Chs

ตอนที่ 307 ความสุขสันต์

ตอนที่ 307 ความสุขสันต์

หลังสิ้นเสียงของหมิงอวิน ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบสงัดทันทีหลินหลันนำเสื้อผ้าเด็กอ่อนที่คลี่ไว้มาพับกลับไปดังเดิมทีละตัว นางพับมันอย่างเอาจริงเอาจัง ลูบรอยยับบนเนื้อผ้าทุกตัวให้ราบเรียบอย่างละเอียดถี่ถ้วน เสมือนต้องการสยบความหงุดหงิดภายในใจให้สงบลง

หมิงอวินไม่เอื้อนเอ่ยใดๆ อีกเช่นกัน ทำเพียงมองดูนางพับเสื้อผ้าตัวแล้วตัวเล่าจนเรียบร้อย เขาเข้าใจดีว่าในใจนางวุ่นวายสับสนเพียงใด ทว่าสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยให้นางลังเลใจเยิ่นเย้ออีกแล้ว

“ข้ารู้แล้ว” หลินหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยขณะก้มหน้า เมื่อในมือว่างงาน จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

หมิงอวินลุกขึ้นแล้วไปนั่งลงข้างนาง ดึงมือของนางมา แล้วใช้ปลายนิ้วถูไถลงบนใจกลางฝ่ามือนางเบาๆ พลางกล่าวอย่างนุ่มนวล “คิดเสียว่าเป็นสถานการณ์หนึ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป อย่างมากภายภาคหน้าก็ไม่ต้องไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง หากไม่อยากไปจริงๆ เจ้าก็อ้างว่าไม่สบาย แล้วพรุ่งนี้ข้าไปแทนเจ้าเอง”

หลินหลันเอนกายซบเข้าหาอ้อมกอดเขา แนบอิงแผงอกกำยำ ฟังเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะสงบ ทันใดนั้นจิตใจของนางก็รู้สึกถึงความผ่อนคลาย นางเชื่อว่า ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย เขาก็จะค่อยเคียงข้างนาง จู่ๆ นางก็นึกถึงคำพูดของเขาที่เอื้อนเอ่ยในวันนั้น...บนโลกนี้จะมีคู่สามีภรรยาที่รักใคร่กันอย่างสุดซึ้งเช่นข้ากับเจ้าสักกี่คู่เชียว นั่นสิ! นางโชคดีมากมายเพียงใด เพียงแค่เดินดุ่มๆ ไปเคาะประตูกระท่อม ก็ได้เจอะเจอคนผู้นี้แล้ว เช่นนั้นก็ปล่อยว่างเสียเถอะ! อย่างมากจากนี้ก็ไปมาหาสู่กันให้น้อยๆ หน่อย!

นางเผยรอยยิ้ม “ข้าไปเองจะดีกว่า! นั่นเป็นการอวยยศให้ท่านแม่ข้าเชียวนะ!”

เช้าวันรุ่งขึ้น ทางพระราชวังมีพระราชโองการเรียกนางเข้าวังอย่างที่คาดการณ์ไว้ หลินหลันเดินพ้นออกจากจวนก็เห็นพี่ชายกำลังรอนางอยู่ บนใบหน้าแต่งแต้มไว้ด้วยรอยยิ้มชื่นมื่น เห็นได้ว่าในใจของผู้เป็นพี่ชายมีความสุขมากเพียงใด

“ไปกันเถอะ!” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม

หลินเฟิงฉีกยิ้มเบิกบาน “ไป!”

สามคนพ่อลูกคุกเข่าขอบพระทัยฮ่องเต้ที่ทรงมีพระเมตตา โดยหลินจื้อย่วนเป็นผู้รับพระราชโองการ หลินหลันคุกเข่าอยู่ด้านหลังหลินจื้อย่วน จึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา ได้ยินเพียงน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อยเพราะความซาบซึ้ง ไม่รู้ว่าเป็นการแสดงหรือพรั่งพรูออกมาจากความรู้สึกจริงๆ หากนี่เป็นความรู้สึกที่แท้จริงก็คงเป็นแค่ความละอายแก่ใจที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจเท่านั้นกระมัง หลินหลันรู้สึกปวดใจขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้อีกครั้ง

หลังออกจากตำหนักใหญ่ หลินจื้อย่วนถือพระราชโองการสีทองอร่ามด้วยสองมือและถอนหายใจยาวเหยียด “เพ่ยหรง เป็นข้าเองที่กระทำผิดต่อเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ ทว่าสิ่งที่ข้าพอทำให้เจ้าได้มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้น”

หลินหลันเบนสายตาหนี ด้วยไม่อยากมองดูภาพฉากอารมณ์ดังกล่าว ส่วนหลินเฟิงกลับรู้สึกซาบซึ้งใจ จนน้ำตาเอ่อคลอ

หลินจื้อย่วนเงยหน้าขึ้น กะพริบตาถี่ๆ เสมือนต้องการผลักดันหยาดน้ำตากลับไป ชั่วพริบตา สภาพจิตใจและอารมณ์ของเขาก็กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง แล้วหันไปกล่าวต่อหลินเฟิง “เฟิงเอ๋อร์ พ่อคิดว่าอีกสองวันจะไปเฟิงอาน เจ้าเป็นบุตรชายคนโตก็ไปพร้อมพ่อด้วยกันเถอะ! ส่วนสำนักกองทหารลาดตระเวนนั่น เดี๋ยวพ่อไปบอกกล่าวเอง”

หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นเล็กน้อย “ลูกต้องไปรับท่านแม่ด้วยตนเองอยู่แล้วขอรับ”

หลินจื้อย่วนพยักหน้าอย่างชื่นชม แล้วหันไปมองหลินหลัน ก่อนกล่าวขึ้นด้วยความใส่ใจ “หลันเอ๋อร์ เจ้ามิต้องไปก็ได้ หมิงอวินมีภาระงานมากมาย เรื่องราวภายในบ้านจึงจำเป็นต้องลำบากเจ้าหน่อย”

หลินหลันไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด จดจ้องไปยังนกนางแอ่นคู่หนึ่งที่กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการสร้างรังบนหลังคาไกลออกไป ใช่แล้ว ท่านแม่ไม่สนใจชื่อเสียงเกียรติยศเหล่านี้หรอก ที่ท่านแม่ขอก็แค่ครอบครัวได้อยู่กันอย่างสงบสุข ทว่าท้ายที่สุด สิ่งที่ได้มาก็ยังคงมีเพียงชื่อเสียงเกียรติยศนี่เท่านั้น ช่างเถอะๆ ถึงอย่างไรก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย อีกอย่าง บนโลกนี้ยังมีสตรีที่โชคร้ายกว่ามารดาของนางอีกตั้งมากมาย

ยามราตรี จวนแม่ทัพจัดงานเลี้ยงสังสรรค์เพื่อเป็นการแสดงความยินดีต่อการได้รับการอวยยศของนางเฉิน และเพื่อการพบปะคนในครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา หลินหลันไม่อยากไปงานเลี้ยงนี่เลยจริงๆ นางไม่อาจไปเฉลิมฉลองกับสิ่งที่เรียกว่า อยู่กันเป็นครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตานี่ได้ ครอบครัวที่มีมารดานางต่างหาก ถึงจะเป็นครอบครัวที่แท้จริงในใจนาง

ดังนั้น หลี่หมิงอวินจึงเป็นตัวแทนนางไปร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์

หลังหมิงอวินกลับมา จึงบอกเล่าว่าพ่อตาร้องไห้ไม่รู้กี่ครั้งกี่หน

หลินหลันแอบตำหนิในใจ ร้องไห้ไร้สาระอันใด ก่อนหน้านี้หายไปไหนมาหรือ เจ้ามาร้องไห้บีบน้ำตาตอนนี้เพื่ออันใด ให้ใครเขาดูหรือ

การบอกเล่าเรื่องราวนี้จึงเป็นอันจบลงแค่นี้ จากนั้นหลินหลันก็เริ่มหันมาใจจดจ่ออยู่กับการเตรียมงานแต่งของหยินหลิ่วกับโม่จื่อโหยว ตอนแรกที่อวี้หลงออกเรือน เป็นจังหวะที่ตระกูลหลี่ประสบปัญหาพอดี ดังนั้น ทางท่านป้าสะใภ้จึงเป็นผู้จัดการทั้งหมด ยามนี้ ท่านป้าสะใภ้ใหญ่อยู่ที่เฟิงอานซึ่งห่างไกลออกไปมากทีเดียว หลินหลันจึงจำเป็นต้องจัดการเรื่องราวนี้ด้วยตนเอง ยังดีที่มีแม่โจวคอยช่วยเหลือ จึงผ่านพ้นไปอย่างราบรื่นเช่นกัน

วันที่สิบหกเดือนสาม หยินหลิ่วแต่งงาน โม่จื่อโหยวพูดคำไหนคำนั้น ยามที่มารับเจ้าสาวก็เอ่ยปากเรียกหลินหลันว่าศิษย์พี่ นั่นทำให้หลินหลันหัวเราะร่าด้วยความสุขไปพักใหญ่ กำลังคิดอยู่ว่า รอค่ำคืนนี้โม่จื่อโหยวได้เห็นของขวัญชิ้นใหญ่ที่หมิงอวินมอบให้เป็นพิเศษชุดนั้นแล้วจะมีสีหน้าเช่นไร นางยิ่งรู้สึกอารมณ์ดีเข้าไปใหญ่

อารมณ์ครึกครื้นเช่นนี้ดำเนินไปถึงยามราตรี หลินหลันนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วกล่าวขึ้นด้วยความเคยชิน “หยินหลิ่ว ช่วยข้าแกะเครื่องประดับบนผมหน่อยสิ!”

ประเดี๋ยวเดียวก็เห็นหรูอี้เดินเข้ามาสะท้อนอยู่ในกระจก ทันใดนั้นหัวใจของนางก็รู้สึกถึงความเคว้งคว้างชอบกล สามปีมานี้ ล้วนเป็นหยินหลิ่วคอยปรนนิบัตินางจัดแต่งผม หวีผม สระผมมาโดยตลอด เป็นคนข้างกายนายที่สนิทสนมมากที่สุด จู่ๆ ก็แยกจากไปกะทันหัน ไม่คุ้ยชินเอาเสียเลย!

“เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ยามนี้หยินหลิ่วกำลังยุ่งอยู่กับการทำหน้าที่เจ้าสาวอยู่น่ะสิเจ้าคะ! คงไม่ว่างมาปรนนิบัติเอ้อร์เส้าหน่ายนายแล้วละเจ้าค่ะ” หรูอี้กล่าวด้วยรอยยิ้มระรื่น

หลินหลันยิ้มขมขื่น “เรียกจนเคยชินเสียแล้วน่ะ”

“หยินหลิ่วโชคดีจริงๆ เลยนะเจ้าคะ ท่านโม่ผู้ดูแลร้านจะต้องปฏิบัติต่อนางอย่างดีแน่นอนเจ้าค่ะ” หรูอี้รู้ดีว่านายหญิงสะใภ้รองอาลัยอาวรณ์ต่อหยินหลิ่ว แม้นางและพวกจิ่นซิ่วต่างก็ปรนนิบัติอย่างทุ่มเทแรงกายแรงใจเช่นกัน ทว่านายหญิงสะใภ้รองยังคงเห็นความสำคัญของหยินหลิ่วมากที่สุด เพราะเรื่องบางเรื่องมันเทียบกันไม่ได้จริงๆ

นั่นสิ โมจื่อโหยวมีใจให้หยินหลิ่ว นึกถึงหยินหลิ่วและอวี้หลงที่ล้วนมีคู่ครองที่ดีเป็นของตนเอง ในฐานะผู้เป็นนาย นางก็ควรดีใจถึงจะถูก หลินหลันพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ หลังปรับสภาพอารมณ์และจิตใจได้แล้วจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่ต้องอิจฉาไปหรอก ในภายภาคหน้า ข้าก็จะช่วยหาสามีดีๆ ให้เจ้าสักคนด้วยเช่นกัน”

หรูอี้หน้าแดงระเรื่อขึ้นทันที “ข้าน้อยไม่แต่งงานหรอกเจ้าค่ะ!”

“อ้อ! ตอนแรกอวี้หลงและหยินหลิ่วต่างก็พูดไว้เยี่ยงนี้ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็แทบอดทนรอออกเรือนไปไม่ได้เสียแล้ว” หลินหลันบ่นอุบอิบ

ใบหน้าของหรูอี้แดงระเรื่อยิ่งขึ้น เขินอายถึงขั้นไปต่อไม่ถูก “เอ้อร์เส้าหน่ายนายไม่จำเป็นต้องหยอกล้อข้าน้อยเช่นนี้สักหน่อยเจ้าค่ะ”

หลี่หมิงอวินเดินออกมาหลังอาบน้ำเป็นที่เรียบร้อย แล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าเบิกบาน “พูดคุยอันใดกันหรือ ดูหรูอี้ร้อนรนใจเข้าสิ”

หลินหลันกล่าวโดยลากเสียงหยอกล้อ “กำลังพูดถึงเรื่องมงคลของหรูอี้น่ะสิ!”

“เรื่องมงคลอันใดหรือ” หลี่หมิงอวินก็พอจะคาดเดาได้เจ็ดแปดส่วน แต่กลับจงใจแสร้งซักถาม

หรูอี้วางหวีลงโดยที่ใบหน้าของนางแดงจนแทบปรากฏหยาดโลหิตออกมา “ข้าน้อยไปชงชาให้เอ้อร์เส้าเหยียก่อนนะเจ้าคะ” เมื่อกล่าวจบก็เดินก้มหน้าก้มตาไปทันที

หลินหลันหันมาขณะปล่อยผมยาวสยาย แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “เจ้าดูสิ เด็กสาวนี่นับวันยิ่งเอาใหญ่ ข้าเต็มใจช่วยนางวางแผน นางกลับละทิ้งหน้าที่ เดินหนีข้าไปเสียดื้อๆ”

หลี่หมิงอวินเดินเข้ามาพร้อมสีหน้าอบอุ่น แล้วหยิบหวีขึ้นมา “เช่นนั้นก็ให้สามีช่วยปรนนิบัติเจ้าแล้วกัน”

หลินหลันไม่ชอบใช้น้ำมันชโลมผมอะไรประเภทนี้ เพราะมันให้ความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะจะแย่ ทว่าตลอดที่ผ่านมาเส้นผมก็ยังคงดกดำเงางาม ทั้งนุ่มทั่งลื่น ประหนึ่งเส้นไหมชั้นเยี่ยม ทั้งยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เป็นธรรมชาติ เพียงใช้หวีไม้หวีอย่างเบามือ ก็หวีไปจนจรดปลายผมได้ในคราวเดียว คนสมัยก่อนมีความสุขไปกับการมองดูหน้าตาที่งดงามประดุจภาพวาด ทว่าเขากลับชื่นชอบการหวีผมยาวสลวยของนางมากที่สุด จึงตั้งใจว่าจะช่วยหวีผมให้นางไปทั้งชีวิต ตั้งแต่ผมดำเงาไปจนถึงผมขาวหงอก เขาก็จะชื่นชอบมันไม่มีเสื่อมคลาย หลี่หมิงอวินคิดเช่นนี้

“หมิงอวิน ข้านึกบางอย่างขึ้นมาได้” หลินหลันกล่าว

“เจ้าว่ามาสิ”

“เจ้าคิดว่าเหวินซานกับหรูอี้...เหมาะสมกันหรือไม่” หรูอี้เป็นคนที่คอยปรนนิบัติหมิงอวินมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นนิสัยหรือหน้าตาล้วนดีงามทั้งสิ้น เอาเป็นว่าคนที่อยู่ข้างกายนาง นางมักคิดหาช่องทางที่ดีที่สุดให้อยู่เสมอ จะให้พวกนางน้อยอกน้อยใจไปไม่ได้ ดังนั้นระหว่างที่พูดหยอกล้อ จู่ๆ ก็นึกถึงเหวินซานขึ้นมากะทันหัน

มือของหลี่หมิงอวินชะงักลง แล้วกล่าว “ดูๆ ไปก็ค่อนข้างเหมาะสมทีเดียว แต่อย่างไรก็รอเหวินซานกลับมาก่อน แล้วข้าจะลองหยั่งเชิงเหวินซานดู”

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ต้องให้ความรู้สึกตรงกันถึงจะดี” หลินหลันเห็นด้วย

“เอ๋? เด็กสาวนี่บอกว่าจะไปชงชามิใช่หรือ เหตุใดถึงยังไม่กลับมาเสียที” หลินหลันบ่นพึมพำ

หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มขณะวางหวีลง “นั่นเป็นข้ออ้างของนางต่างหาก ยังจะกล้ากลับมาอีกที่ไหนกัน ไม่กลับเข้ามาแล้วยิ่งดี”

“หมายความว่าอันใดหรือที่ว่าไม่กลับมาแล้วยิ่งดี” หลินหลันมองค้อนใส่เขาผ่านเงาสะท้อนในกระจก

วินาทีถัดมานางก็ถูกหลี่หมิงอวินอุ้มตัวลอยขึ้นอยู่ในอากาศ

หลินหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน “เจ้าจะทำอันใดหรือ อีกประเดี๋ยวหรูอี้เข้ามาเห็นแล้วจะดูไม่ดีเอาได้”

หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ “นางรู้งานอยู่หรอกน่า” ขณะกล่าว เขาอุ้มนางเดินตรงไปยังเตียงนอน ระยะนี้เพราะหลินหลันอารมณ์ไม่ดีด้วยเรื่องของบิดา ตามมาด้วยยุ่งวุ่นวายกับงานแต่งของหยินหลิ่ว เขาจึงต้องคอยอดกลั้นไว้แทบแย่แล้ว

สามีภรรยาเมื่ออยู่ด้วยกันนานวันเขา จึงพอเข้าใจกันและกันได้แม้ไม่เอื้อนเอ่ย หลินหลันจึงรู้ดีว่าหมิงอวินคิดจะทำอะไร ทันใดนั้นใบหูของนางก็รู้สึกร้อนผ่าวอย่างอดไม่ได้

ทันทีที่แผ่นหลังแตะเตียงนอน เรือนร่างของหมิงอวินก็ถาโถมลงมา เขารวบสองมือนางตรึงไว้เหนือศีรษะ แล้วพรมจุมพิตลงบนใบหน้าอย่างอ่อนโยน ก่อนที่ลมหายใจจะค่อยๆ หนักขึ้น

หลินหลันส่งเสียงแผ่วเบา “ดับตะเกียงก่อน...”

น้ำเสียงของเขาแหบพร่าขึ้นมาเล็กน้อยเพราะความกระหายที่รุนแรง ทว่าดวงตาของเขากลับดูอบอุ่นเป็นพิเศษ “หลันเอ๋อร์ ให้ข้าได้เชยชมเจ้าให้เต็มตาเถอะนะ”

เขาทำเสมือนกำลังเปิดของล้ำค่าน่าทะนุถนอมอย่างยิ่งชิ้นหนึ่ง เบามือ อ่อนโยนและเนิบช้า จนกระทั่งผิวขาวเนียนประดุจหิมะปรากฏเบื้องหน้า ดวงตาเขาที่เคยอ้อยอิ่งกลับแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนรุ่ม ตามด้วยเสียงพึมพำ “หลันเอ๋อร์...เจ้าช่างงดงามจริงๆ...”

คำกล่าวชมเช่นนี้ เขาพูดมันจนนับครั้งไม่ถ้วน เป็นการเอื้อนเอ่ยอย่างแฝงความลุ่มหลงเอาไว้เล็กน้อย ซึ่งให้ความรู้สึกได้อย่างลึกซึ้ง หลินหลันรู้ดีว่าตนเองไม่ถึงขั้นงดงามมีเสน่ห์ จัดอยู่แค่ระดับปานกลางเท่านั้น ทว่านางเชื่อว่าคำชมที่หมิงอวินกล่าวนั้นออกมาจากใจ นี่คงเป็นอะไรที่เรียกว่างดงามเสมอในสายตาคนรักสินะ

หลินหลันหลุบสายตาลงเล็กน้อยด้วยความเคอะเขิน แล้วพึมพำด้วยเสียงกระซิบ “หมิงอวิน ข้าหนาว...”

เขาเผยรอยยิ้มเล็กน้อย แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมา เพื่อให้ตนเองและนางอยู่ภายใต้การห่อหุ้ม พร้อมกับใช้ผิวที่ร้อนผ่าวของเขาช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้นางที่กำลังหนาวเย็น

“อีกเดี๋ยวก็หายหนาวแล้ว...” เขาหัวเราะเบาๆ

ยามที่แกนกายอันร้อนผ่าวของเขาเข้าสู่ร่างกายของนาง หลินหลันอดส่งเสียงกระเซ้าออกมาเบาๆ ด้วยความพึงพอใจไม่ได้ ทันทีที่เข้าได้รับแรงกระตุ้น การเคลื่อนไหวจึงหนักหน่วงขึ้นมาทันที

“หลันเอ๋อร์ แบบนี้รู้สึกดีหรือไม่ สบายหรือไม่...”

ตามจริงทุกปฏิกิริยาโต้ตอบของนางล้วนอยู่ในสายตาเขาทั้งสิ้น เขารู้ดีว่านางก็มีความสุขเช่นกัน เพียงแต่ ทุกคราที่เอ่ยถามเช่นนี้ นางล้วนหน้าแดงขึ้นมาเสมอ ยิ่งใบหน้าแสดงถึงอารมณ์ที่พรั่งพรู มันยิ่งงดงามมาก เขาชอบมองดูเช่นนี้ ความงดงามของนางที่มีเพียงเขาผู้เดียวได้สัมผัส

เขาพยายามอย่างหนักเพื่อหักห้ามแรงปรารถนาที่ต้องการปลดปล่อย จนกระทั่งใจกลางดอกไม้งามของนางเริ่มกระตุกหดตัว เขาถึงเร่งการเคลื่อนไหวทั้งหมดที่มี และในช่วงเวลาที่สำคัญยิ่ง เขากลับผละออกจากเรือนร่างของนางกะทันหัน แล้วปลดปล่อยมันไว้ด้านนอก

หลินหลันโอบกอดเขาไว้แนบแน่น ในยามที่แทบอดกลั้นไม่ไหวต่อความสุขที่ท่วมท้นเช่นนี้ เขากลับผละออกกะทันหัน นั่นทำให้นางเกิดความสงสัยขึ้นมา จำไม่ได้แล้วว่ามันเกิดขึ้นกี่ครั้งแล้ว ที่เขาทำเช่นนี้ หลายต่อหลายครั้ง นางพยายามแสดงออกเป็นนัยๆ ให้เขารับรู้ว่า นางอยากให้กำเนิดบุตรแก่เขา ทว่าเขายังคงทำเช่นนี้ หรือว่าเขาไม่อยากมีบุตรแล้วหรือ นางจำได้ว่าเมื่อก่อนเขาพูดอยู่บ่อยๆ ว่า...หลันเอ๋อร์ กำเนิดบุตรให้ข้าเถอะนะ! ตอนนั้นนางคิดว่าตนเองยังเด็กเกินไป ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ทว่าตอนนี้ถึงเวลาแล้ว เหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้หรือ

หลินหลันปล่อยมือออก เขาพลิกตัวลงจากเตียง โดยคลุมชุดคลุมตัวเดียวเท่านั้น เขาเริ่มจากทำความสะอาดบนเรือนร่างนางก่อน แล้วจึงไปห้องน้ำ หลินหลันยังคงมองดูม่านมุ้งที่กวัดแกว่ง พร้อมกับจิตใจที่ค่อยๆ บังเกิดความกังวลขึ้นมา