webnovel

ปฏิญญาค่าแค้น

หลินหลัน ทะลุมิติมาเกิดใหม่ในคราบของหญิงสาวชาวบ้านที่แสนลำบากยากจน แต่โชคยังดีที่ความสามารถด้านการแพทย์และประสบการณ์รักษาผู้คนที่สั่งสมมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนั้นติดตัวมาด้วย อีกทั้งครอบครัวในชาติภพนี้ก็ดีกับนางมิใช่น้อย กระนั้นเคราะห์ร้ายก็ยังคืบคลานเข้ามา เมื่อพี่ชายผู้เป็นที่พึ่งพาเดียวของนางนั้นใสซื่อจนไม่อาจตามทันเล่ห์กลของพี่สะใภ้ที่แสนโลภมาก สุดท้ายแล้วหลินหลันก็ถูกนางบีบบังคับให้ต้องออกเรือนแต่งงานไปเป็นนางบำเรอจนได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องดึงตัว หลี่ซิ่วฉาย ชายหนุ่มรูปงามผู้มีเบื้องหลังเป็นปริศนาในหมู่บ้านเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ ทั้งสองได้ตกลงทำสัญญาขึ้นมาหนึ่งฉบับ เขาช่วยนางให้หลุดพ้นจากการคลุมถุงชน ส่วนนางจะช่วยเขาแก้แค้นและทวงทุกสิ่งอย่างที่ถูกพรากไปกับคืนมาภายในระยะเวลาสามปี ทว่าแผนการช่วยเหลือเขาให้บรรลุเป้าหมายนั้นกลับไม่ง่ายดายอย่างที่คิดนี่สิ…

จื่ออี281 · ย้อนยุค
เรตติ้งไม่พอ
339 Chs

ตอนที่ 293 หงุดหงิดใจ

ตอนที่ 293 หงุดหงิดใจ

หลินหลันยุ่งหัวหมุนมาเป็นเวลาสองวันหนึ่งคืน เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด จึงรีบถอนตัวออกมาอย่างรวดเร็ว รวมไปติงฮูหยินที่ยังคิดจะตำหนิบุตรเขยสักหน่อยที่มาถึงช้าก็ถูกหลินหลันเชิญออกไปด้วยเช่นกัน เพื่อจะได้ให้พื้นที่และเวลาแด่คู่สามีภรรยาที่เพิ่งได้กลับมาพบเจอกันหลังแยกจากไปเนิ่นนาน ให้ใช้เวลาแห่งความสุขอันมีค่าเกินบรรยาย

แม่เหยารีบไปแจกจ่ายรางวัล ทั่วทั้งจวนไม่ว่าจะเบื้องบนเบื้องล่างต่างเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขสันต์

หลินหลันปิดเปลือกตา พักผ่อนหย่อนใจโดยการแช่ตัวอยู่ในอ่างน้ำขนาดใหญ่ น้ำค่อนข้างร้อนพอประมาณ ก่อให้เกิดไอน้ำลอยอวลในบรรยากาศเป็นหมอกที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ แทรกซึมสู่แขนขาทั้งสี่และข้อต่อนับร้อย ให้ทุกรูขุมขนเปิดออก พยายามหายใจเข้าออกอย่างผ่อนคลาย

หรูอี้เติมน้ำอุ่นพลางรายงายสถานการณ์ของคุณชายน้อยฮานเอ๋อร์ในสองวันมานี้

“ตงจึซื้อของเล่นกลับมาเป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีคนคอยเล่นเป็นเพื่อนเขาเยอะแยะเพียงนี้ ไม่เพียงแต่คุณชายน้อยฮานเอ๋อร์เล่นอย่างมีความสุข แต่ยังไม่งอแงต้องการพบภรรยาพี่ชายของเอ้อร์เส้าหน่ายนายอีกแล้วด้วยเจ้าค่ะ อ้อ! จริงสิ ภรรยาพี่ชายของเอ้อร์เส้าหน่ายนายแวะเวียนมาตลอดสองวันนี้เจ้าค่ะ นางต้องการนำตัวคุณชายน้อยฮานเอ๋อร์ไป ทว่าแม่โจวไม่ยอม จึงจับจ้องนางไว้อย่างไม่ให้เล็ดรอดสายตา กล่าวว่านี่เป็นคำสั่งของพี่ชายเอ้อร์เส้าหน่ายนาย หากต้องการพาตัวคุณชายน้อยฮานเอ๋อร์ไป พี่ชายของเอ้อร์เส้าหน่ายนายจะเป็นคนมาพาไปเองเท่านั้น ด้วยความที่นางจนปัญญา จึงทำได้เพียงยอมปล่อยเลยไปเจ้าค่ะ...”

หลินหลันส่งเสียง ‘อือ’ อย่างส่งเดช หรูอี้จึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “วันนี้ยามที่ข้าน้อยส่งภรรยาของพี่ชายเอ้อร์เส้าหน่ายนาย ดันเผอิญไปพบคุณชายใหญ่พอดี คุณชายใหญ่เดินด้วยความเร่งรีบ จึงชนนางเข้าเต็มแรง ผลปรากฏว่านางฉุดกระชากคุณชายใหญ่ไว้ และตะคอกใส่คุณชายใหญ่ว่าทำชุดใหม่ของนางสกปรก ต้องการให้คุณชายใหญ่ชดใช้ พูดจาไม่น่าฟังเอาเสียเลย ภายหลังพอนางรู้ว่าเป็นคุณชายใหญ่ถึงยอมปล่อยมือเจ้าค่ะ”

หลินหลันขมวดคิ้วเล็กน้อย เหยาจินฮวาผู้นี้คงไม่อาจขุดให้ขึ้นมาจากความเป็นสตรีปากตลาดได้จริงๆ หน้าตาของตระกูลหลินล้วนถูกนางทำลายไม่เหลือชิ้นดีหมดแล้ว

“เข้าใจแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถอะ! ข้าขออยู่ตามลำพังสักพัก” ยามนี้หลินหลันคร้านจะฟังเรื่องราวแย่ๆ ของเหยาจินฮวา เหนื่อยมาสองวันแล้ว นางอยากพักผ่อนให้เต็มที่เท่านั้น

หรูอี้ลองทดสอบระดับความอุ่นของน้ำ จากนั้นเติมน้ำร้อนลงไปอีกสองกระบวย แล้วถึงถอยออกไป

หลี่หมิงอวินรอคอยอยู่ด้านนอกเป็นเวลาเนิ่นนานพอตัวแต่ยังไม่เห็นหลินหลันออกมา ด้วยความไม่วางใจ จึงเตรียมเข้าไปดู หลินหลันในชุดเสื้อแขนยาวคู่กางเกงขายาวสีขาวพระจันทร์กลับเดินโซชัดโซเซออกมา ดวงตากึ่งหลับกึ่งตื่น นางเดินงัวเงียไปจนถึงขอบเตียงแล้วล้มตัวลง จากนั้นดึงผ้าห่มมาห่อหุ้มแล้วหลับไปทันที

หลี่หมิงอวินมองดูนางที่เหน็ดเหนื่อยจนกลายเป็นเช่นนี้จึงย่องเข้าไปหา ช่วยนางจัดผ้าห่มให้เข้าที่เข้าทาง ตามด้วยปล่อยม่านมุ้งลงและดับแสงเทียนข้างเตียงนอน จากนั้นเดินย่องกลับไปยังห้องด้านตะวันตกอีกครั้ง เขาหรี่แสงเทียนทางด้านนี้ให้สว่างน้อยลงเล็กน้อย แล้วเขยิบเข้าไปใกล้เชิงเทียนเพื่ออ่านสาส์นราชการ

หลินหลันได้นอนหลับลึกไปเต็มที่ วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาจึงรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง นี่ก็คือข้อดีของการเป็นหนุ่มสาวอย่างหนึ่ง

“เอ้อร์เส้าเหยียล่ะ” หลินหลันเอ่ยถามหยินหลิ่วพลางลุกขึ้นสวมใส่เสื้อผ้า

หยินหลิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เส้าเหยียไปทางด้านต้าเส้าเหยียนั่นเจ้าค่ะ”

หลินหลันชะงักไปชั่วครู่ “เอ้อร์เส้าเหยียไม่ไปว่าราชการหรือ”

หรูอี้ถือน้ำร้อนเข้ามา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ วันนี้เป็นวันหยุดพักของเอ้อร์เส้าเหยียเจ้าค่ะ”

เอ่อ! เช่นนั้นหรอกหรือ นางลืมไปแล้วจริงๆ

แม่โจวอุ้มฮานเอ๋อร์เข้ามารับประทานมื้อเช้ากับนายหญิงสะใภ้รอง หลินหลันหยอกล้อฮานเอ๋อร์อยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงไปเรือนเวยอวี่

สองพี่น้องหลี่หมิงอวินและหลี่หมิงเจ๋อกำลังพูดคุยกันในห้องหนังสือ

“เรื่องพิธีศพของท่านย่าจัดการเรียบร้อยสมบูรณ์แล้ว อยู่สุสานบริเวณเดียวกับท่านปู่ ข้าเองก็ไม่ได้กลับไปหลายปีมากแล้ว กลับไปครานี้จึงได้เห็นอะไรต่อมิอะไร มันให้ความรู้สึกหลากหลายจริงๆ ที่บ้านเกิดตระกูลหลี่ พวกเราถือว่าเป็นครอบครัวใหญ่โตและมั่งมีไม่เป็นสองรองใครเช่นกัน โดยเฉพาะครอบครัวท่านลุงใหญ่ ท่านลุงใหญ่มีกิจการในครอบครัวนับว่าไม่น้อยจริงๆ ลำพังที่ดินทำเลงามก็มีสามสิบกว่าไร่ แล้วยังมีห้องแถวร้านค้าอีกแปดเก้าห้อง ลูกพี่ลูกน้องทั้งสามคนต่างก็มีครอบครัวกันหมดแล้ว ทั้งยังมีลูกมีหลานมากมาย หากเปรียบเทียบกัน ครอบครัวของท่านอาสามชวนปวดใจยิ่งนัก รวมๆ แล้วมีพื้นที่ทำไร่ทำสวนประมาณสิบไร่เห็นจะได้ อีกทั้งพื้นที่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบริเวณภูเขา บ้านที่อาศัยอยู่ก็เป็นหลังเก่าที่สุดในบ้านใหญ่ของตระกูลหลี่” ในคำพูดของหลี่หมิงเจ๋อเผยให้เห็นถึงความรู้สึกไม่ยุติธรรม

หลี่หมิงอวินขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะถือถ้วยน้ำชา “เหตุใดถึงแตกต่างกันได้เพียงนี้หรือ”

หลี่หมิงเจ๋อยิ้มขมขื่น “ท่านอาสามฉลาดเจ้าเล่ห์เช่นลุงใหญ่เสียที่ไหนกัน ลุงใหญ่เป็นผู้นำครอบครัว พอเขาขึ้นรับหน้าที่ก็จัดการแบ่งสันปันส่วนพื้นที่และทรัพย์สินให้แต่ละคนเสร็จสรรพ ท่านอาสามก็มีหมิงจู้และหมิงต้งบุตรชายสองคน หมิงจู้ยังไม่แต่งงานมีครอบครัว หมิงต้งเพิ่งมีบุตรชายเพียงคนเดียว พอแบ่งสันปันส่วนกันเช่นนี้ แน่นอนว่าพวกเขาต้องเสียเปรียบเป็นธรรมดา หัวหน้าครอบครัวอื่นๆ ล้วนได้รับผลประโยชน์ของลุงใหญ่ จึงพากันคล้อยตามความประสงค์ของลุงใหญ่ อาสามสุขภาพร่างกายก็ไม่ค่อยดี ไม่มีกะจิตกะใจมาแก่งแย่ง เรื่องราวก็เลยกลายเป็นเช่นนี้ เดิมทีตามความประสงค์ของน้องสะใภ้คือที่ดินส่วนที่เป็นของพวกเรายี่สิบไร่นั่นล้วนมอบให้น้องหมิงต้งเป็นผู้จัดการดูแล ทว่าลุงใหญ่สร้างความลำบากใจให้ต่างๆ นานา หากมิใช่ข้ามอบที่ดินให้เขา ข้าว่าจนถึงปีหน้าท่านย่าก็คงยังไม่ได้ลงสู่หลุมฝังไปสู่สุคติ จึงทำได้เพียงตอบตกลงเขาไป”

“เห็นทีว่านิสัยละโมบโลภมาของท่านพ่อพวกเราคงได้จากลุงใหญ่มาสินะ” หลี่หมิงอวินกระตุกยิ้มมุมปากกล่าวถากถาง

หลี่หมิงเจ๋อส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “ข้าลองสังเกตดู บรรดาลูกพี่ลูกน้องฝั่งครอบครัวลุงใหญ่ก็เป็นเอามาก รู้ว่าท่านย่านำทรัพย์สมบัติมอบให้น้องสะใภ้ ก็พากันชักสีหน้าบึ้งตึงเย็นชาใส่ข้าไปด้วย ข้ากลับไปครั้งนี้ล้วนพักอยู่ที่บ้านของท่านอาสาม”

เมื่อยามที่ผู้เป็นย่าเสียชีวิต เรื่องที่ว่าลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่ก่อปัญหาวุ่นวายในตระกูลหลี่เหล่านั้น หลี่หมิงอวินรับรู้มาบ้างแล้ว ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีต่อครอบครัวลุงใหญ่ หากบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลหลี่ล้วนเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าผู้เป็นย่ามอบอะไรไว้ สั่งการอะไรไว้ เขาจะไม่สนใจไยดีทั้งนั้น แต่ดีที่ยังมีอาสามที่เป็นคนมีเหตุมีผลคนหนึ่งอยู่

“ข้าจำได้ว่าน้องหมิงจู้เหมือนจะสอบผ่านระดับมณฑลแล้ว”

หลี่หมิงเจ๋อพยักหน้า “ใช่แล้ว! หมิงรุ่ยของครอบครัวลุงใหญ่ก็ด้วยเช่นกัน เพียงแต่ข้าได้ยินมาว่าหมิงรุ่ยเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ทางไม่ดีในหมู่บ้านว่า พอสอบผ่านระดับมณฑลเข้าหน่อยก็หยิ่งยโส ผิดกับหมิงจู้ ครั้งก่อนมาเมืองหลวง เขาไม่เอ่ยถึงเลยด้วยซ้ำ ข้ากลับไปบ้านเกิดถึงได้รู้”

“เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ทางไม่ดี? เช่นนั้นก็ช่างเถอะ คนประเภทนี้ต่อให้ช่วยประคองขึ้นมา ภายภาคหน้าก็มีแต่จะสร้างมลทินให้ตระกูลหลี่ขายหน้า ส่วนน้องหมิงจู้ ให้เขาตั้งใจศึกษาเล่าเรียน หากช่วยได้ก็จะช่วยเต็มที่” หลี่หมิงอวินเลิกคิ้วกล่าวออกมา

“ข้าก็คิดอย่างนี้เช่นกัน ครอบครัวอาสามอบรมสั่งสอนได้ไม่เลวทีเดียว หมิงต้งและหมิงจู้ต่างเอาการเอางานอย่างยิ่ง และไม่วางตนโดดเด่นหยิ่งผยองเลยสักนิด” หลี่หมิงเจ๋อพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

หลี่หมิงอวินจิบน้ำชาอย่างใจเย็น เอ่ยถามเรื่อยเปื่อย “ท่านแม่เจ้าอยู่ที่บ้านเกิดเป็นเช่นไรบ้างหรือ”

ไม่ใช่ว่าหลี่หมิงอวินอยากถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ และไม่ใช่ว่าเขาเป็นห่วงเป็นใยนางฮานแต่อย่างใด เขาเพียงหวังว่าพี่ชายจะไม่ผูกพันกับนางฮานมากจนเกินไป เพื่อที่เขาจะได้ไม่ใจอ่อนคล้อยตามนางฮานไปอีก

เมื่อกล่าวถึงนางฮาน สีหน้าของหลี่หมิงเจ๋อหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด เขานิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าไปเยี่ยมนางมาครั้งหนึ่ง นางอยากมาปักธูปให้ท่านย่า ทว่าลุงใหญ่ไม่ยินยอม ข้าก็เลยไม่ให้นางมา น้องรอง พี่พอรู้ประมาณการอยู่ในใจ ขอเพียงนางไม่อดยากปากแห้งและเป็นกังวลก็พอ ถึงอย่างไรนางก็เลี้ยงดูข้ามายี่สิบกว่าปี”

หลี่หมิงอวินอมยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้เอื้อนเอ่ยใดๆ โต้ตอบ พี่ใหญ่รู้จักประมาณการก็ดีแล้ว แม่น้ำ ขุนเขานั้นเปลี่ยนแปลงง่าย ทว่านิสัยเดิมแท้นั้นเปลี่ยนแปลงยาก เขาไม่มีทางยอมให้นางฮานหวนกลับมาครอบครัวหลี่อีกเป็นอันขาด มิเช่นนั้นคงเป็นหายนะแห่งตระกูลหลี่

“น้องรอง เมื่อวานข้าเห็นพี่สะใภ้ของน้องสะใภ้ สตรีผู้นี้ ช่างดู...” หลี่หมิงเจ๋อนึกถึงท่าทางต่ำทรามของเหยาจินฮวานั่นก็รู้สึกรังเกียจ

หลี่หมิงอวินขมวดคิ้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “สตรีผู้นี้ ท่านมิต้องสนใจนางหรอก เมื่อยามที่หลินหลันอยู่บ้านเกิดถูกนางสร้างความทุกข์ยากลำบากให้ไม่น้อย”

หลี่หมิงเจ๋อเป็นอันเข้าใจได้ทันที “ข้าก็ว่าแล้ว นางดูไม่ใช่คนดีอะไร”

ตงจึวิ่งมาบอกกล่าว “ต้าเส้าเหยีย เอ้อร์เส้าเหยียขอรับ คุณชายเฉินและเฉินฮูหยินมาแสดงความยินดีขอรับ”

หลี่หมิงอวินตกตะลึง แล้วกล่าวด้วยความดีใจ “จื่ออวี้กลับมาแล้วหรือ”

ตงจึพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “ยามนี้กำลังคอยอยู่ที่โถงรับแขกส่วนหน้าขอรับ!”

หลี่หมิงอวินรีบหันไปชักชวนหมิงเจ๋อทันที “พี่ใหญ่ ไปกันเถอะ ไปเจอะเจอจื่ออวี้สักหน่อย”

เฉินจื่ออวี้ดื่มน้ำชาอยู่ก็ได้ยินเสียของหลี่หมิงอวิน “จื่ออวี้ จื่ออวี้...”

เฉินจื้ออวี้รีบวางถ้วยน้ำชาลง ยามที่เพิ่งลุกขึ้นยืน หลี่หมิงอวินก็สาวเท้ายาวเดินเข้ามาแล้ว ทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มเบิกบาน หลี่หมิงอวินกำหมัดทุบลงไปที่หัวไหล่ของจื่ออวี้อย่างเบามือหนึ่งที “ไอ้หนุ่มน้อย ไปเกาลี่มาดูล่ำสำขึ้นไม่น้อยเชียวนะ! อยู่ที่นั่นคงสุขสบายน่าดูเลยสิ! บอกมาตามจริง ไปติดใจสตรีงามที่เกาลี่มาบ้างหรือไม่”

เฉินจื่ออวี้กุมบ่า แสดงท่าทางเจ็บปวดเกินจริงและสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนบ่นโอดครวญ “เจ้าก็เบามือหน่อยไม่ได้หรือ ไปอยู่ที่เขตชายแดนตอนเหนือมาไม่เท่าไรก็ได้ทักษะพวกนี้กลับมาเช่นนั้นหรือ เมื่อวานข้าเพิ่งกลับมา วันนี้ก็เลยมาเยี่ยมเยียนท่าน ท่านก็ต้อนรับข้าอย่างนี้น่ะหรือ”

หลี่หมิงอวินหัวเราะร่า “เจ้าพูดถึงอีกแล้ว ตอนอยู่ในกองทัพได้เรียนรู้กระบวนท่าฝีไม้ลายมือกับหนิงซิ่งมานิดหน่อย กำลังคันมืออยู่พอดีเชียว!”

เฉินจื่ออวี้ชำเลืองมองเขาอย่างดูหมิ่น “เหตุใดท่านถึงไม่เรียนรู้สิ่งดีๆ มาบ้าง! เมื่อก่อนเอาแต่พูดอยู่เสมอว่าหนิงซิ่งมีแต่พละกำลังไม่มีสมองไม่มิใช่หรือ แต่แล้วท่านยังไปเรียนรู้จากเขาอีก”

หลี่หมิงอวินเบิกตาโตใส่เขา “คำพูดนี้เป็นเจ้าที่พูดต่างหากล่ะ ข้าไม่เคยพูด อย่ามาใส่ร้ายป้ายสีข้าเชียวนะ”

เฉินจื่ออวี้กลอกตามองบนใส่เขาพลางบ่นอุบอิบ “ความจำท่านนี่มันช่างดีจริงๆ” เมื่อชำเลืองไปเห็นหลี่หมิงเจ๋อที่อยู่ด้านหลังหลี่หมิงอวิน เฉินจื่ออวี้ถึงได้นึกจุดมุ่งมายประการที่สองของการมาครั้งนี้ขึ้นมาได้ เขารีบฉีกยิ้มกว้างแล้วเดินเข้าไปคารวะให้หลี่หมิงเจ๋อ “ท่านพี่หลี่ น้องเล็กขอแสดงความยินดีกับท่านด้วยขอรับ ยินดีต่อพี่ใหญ่สำหรับการถือกำเนิดของบุตรชายนะขอรับ!”

หลี่หมิงเจ๋อยกสองมือขึ้นคารวะกลับคืนขณะเผยรอยยิ้มเบิกบาน “คุณชายเฉินเกรงใจกันไปแล้ว เอาเป็นว่า น้องรอง เจ้าพูดคุยกับคุณชายเฉินไปก่อนแล้วกัน ข้าจะไปให้คนจัดหาสุราอาหารมาให้ อีกประเดี๋ยวทุกคนจะได้ดื่มกันสักหน่อย”

เฉินจื่ออวี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “สุรามงคลนี้เป็นอะไรที่จะตกหล่นไปมิได้จริงๆ ขอรับ”

หลี่หมิงอวินรู้สึกคึกคักอย่างยิ่ง “วันนี้วันหยุดพักของข้าพอดี ก็ดื่มเป็นเพื่อนเจ้าหน่อยแล้วกัน พวกเราพี่น้องไม่ได้สังสรรค์กันมานานมากแล้วด้วย”

“ไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้หนิงซิ่งหนุ่มน้อยนี่ว่างงานหรือไม่...” เฉินจื้ออวี้เอียงศีรษะขณะพึมพำกับตนเอง

“ไม่ว่าเขาว่างงานหรือไม่ หากรู้ว่าเจ้าและข้าจะดื่มสุรากันที่นี่ ต่อให้มีเรื่องราวใหญ่โตเพียงใด เจ้าหนุ่มนั่นก็ต้องรีบมาอย่างแน่นอน” หลี่หมิงอวินหันไปเรียกตงจึ “ตงจึ เจ้าไปค่ายเป่ยซานแล้วเรียนเชิญแม่ทัพหนิงมาที บอกไปว่าสามขาดหนึ่ง”

“พวกเจ้าค่อยๆ คุยกันไปก่อนแล้วกัน” หลี่หมิงเจ๋อยกสองมือขึ้นคารวะ ขอปลีกตัวเดินจากมาก่อน

ทันทีที่หลี่หมิงเจ๋อเดินจากไป หลี่หมิงอวินก็กำหมัดทุบลงไปบริเวณเดิมอีกครั้ง “พ่อหนุ่มน้อย มีความสามารถไม่ธรรมดาเลยนี่! ได้ขึ้นเป็นถึงขุนนางทูตจนได้ กลับมาครานี้ คาดว่าตำแหน่งขุนนางซื่อหลางแห่งหงหลู[footnoteRef:1]คงไม่หนีเจ้าไปไหนเป็นแน่” [1: ขุนนางซื่อหลางแห่งหงหลู (鸿胪寺卿) ยศตำแหน่งขุนนางอย่างเป็นทางการ ทำหน้าที่ต้อนรับแขกที่เป็นเจ้าผู้ครองแคว้นหัวเมืองตลอดจนชนเผ่าต่างๆ และคณะทูต เนื่องด้วยราชสำนักมีพิธีการที่เคร่งครัด ดังนั้นเมื่อเจ้าเมืองประเทศราชหรือทูตจากแว่นแคว้นภายนอกเดินทางเข้ามาในราชสำนักเพื่อเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ ขุนนางในหน่วยนี้ต้องเป็นผู้แนะนำพิธีการขั้นตอนของราชสำนักให้ทราบเพื่อความถูกต้องในการปฏิบัติ]

เฉินจื่ออวี้กุมหัวไหล่ด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง “พี่ใหญ่ ท่านก็ช่างรุนแรงเกินไปแล้ว นับวันยิ่งเหมือนไอ้เด็กหนุ่มหนิงซิ่งนั่นเข้าไปใหญ่แล้ว”

“ไหนว่ามาสิ บอกเล่าสิ่งที่พบเห็นและได้ยินมาที่เกาลี่ให้ข้าฟังหน่อย” หลี่หมิงอวินเชิญชวนให้เขานั่งลง

“เออนี่ ท่านไม่รู้อะไร เดิมทีข้าคิดว่าการไปครั้งนี้เป็นหน้าที่ต้องไปลำบากตรากตรำ คาดไม่ถึงว่าดันเป็นหน้าที่ที่สุขสบายเสียยิ่งอะไรดี! ทุกวันที่ข้าอยู่เกาลี่ หากมิใช่ได้กินดื่มอย่างดี ก็ได้เที่ยวเล่นสบายใจ สำราญใจเกินบรรยาย...” เฉินจื่ออวี้เริ่มคุยโวโอ้อวดอย่างภาคภูมิใจ

ในเรือนเวยอวี่ เผยจื่อชิ่งและหลินหลันกำลังหยอกเย้าเด็กทารกที่เพิ่งกินอิ่มแล้วกำลังนอนอยู่ในเปลไกว

“นี่! เจ้าดูเขาสิ รู้จักพ่นบ้วนฟองนมกับเขาด้วย! ช่างน่าเอ็นดูเกินไปแล้ว” เผยจื่อชิ่งมองดูเด็กทารกที่ผิวพรรณอ่อนนุ่ม รู้สึกถูกอกถูกใจเสียยิ่งอะไรดี หันกลับไปพูดคุยกับติงหลั้วเหยียนที่นอนอยู่บนเตียง “หลั้วเหยียน เด็กคนนี้ช่างเหมือนเจ้าเหลือเกิน ดูดวงตานี้สิ แล้วก็คิ้วนี่ เสมือนถอดแบบเจ้าออกมาเลย”

ติงหลั้วเหยียนเพิ่งเลื่อนขั้นเป็นมารดา แม้ว่าสภาพทางสติและอารมณ์ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์เสียทีเดียว แต่คนทั้งคนก็ฉายแววแห่งความเป็นมารดาออกมาให้เห็น ยิ่งดูอ่อนโยนและสงบนิ่งยิ่งขึ้น นางอดเผยรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อยไม่ได้ “ข้ายังหวังให้บุตรชายหน้าตาเหมือนท่านพ่อของเขาด้วยซ้ำ”

เผยจื่อชิ่งกล่าวเชิงไม่เห็นด้วย “ทำไมหรือ สตรีอย่างพวกเราอุ้มท้องอย่างทุกข์ยากมาเกือบสิบเดือน คลอดออกมาแล้วยังไม่เหมือนตนเองอีก เช่นนั้นก็ขาดทุนแย่สิ”

หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นเจ้ารีบๆ ให้กำเนิดสักคนที่เหมือนเจ้าเสียสิ”

เผยจื่อชิงหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที นางชำเลืองมองหลินหลัน “ข้าว่า เป็นเจ้าต่างหากที่ควรรีบมีสักคนได้แล้ว พวกเจ้าแต่งงานกันมาเกือบสามปีแล้วแท้ๆ”

หลินหลันเม้มริมฝีปาก “ข้าไม่รีบร้อนเสียหน่อย ข้ามีหลานชายแล้วด้วย! เจ้าต่างหาก พวกเจ้าตระกูลเฉินไม่มีบุตรหลานมาเพิ่มเติมนานมากแล้ว ท่านผู้อาวุโสตระกูลเฉินคงตั้งหน้าตั้งตารออย่างใจจดจ่อแล้วล่ะ!”

เผยจื่อชิ่งกล่าวสวนทันควัน “ข้าว่าเป็นเจ้าเองต่างหากที่คิดเป็นตุเป็นตะ ท่านผู้อาวุโสยังมิได้พูดอันใดสักหน่อย ไยเจ้าต้องมากังวลใจไปด้วย”

ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยร้อยยิ้ม “พวกเจ้าทั้งหมดนั่นล่ะ รีบๆ มีบุตรกันได้แล้ว! ลูกๆ ของพวกเราจะได้มีเพื่อนเล่นด้วยมิใช่หรือ”

หลินหลันกล่าวเมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ “ตั้งชื่อเรียบร้อยแล้วหรือ”

ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ใช่แล้ว! ยึดตามลำดับวงศ์ตระกูล อักษรรุ่นถัดไปคือเฉิง หมิงเจ๋อเลยร่างชื่อเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้วจำนวนสองสามชื่อ เมื่อคืนเลยเลือกกันว่า ให้ชื่อหลี่เฉิงเซวียน”

เผยจื่อชิ่งกล่าว “ชื่อนี้ไพเราะดี เฉิงเซวียน เซวียนเอ๋อร์ เสี่ยวเซวียนเอ๋อร์” เผยจื่อชิ่งเอ่ยขณะหันไปหยอกเย้าเด็กน้อย เด็กน้อยหดคอ และหาวปากกลม พอใช้แรงเข้าหน่อย ดวงหน้าน้อยๆ ก็แดงระเรื่อขึ้นมา ท่าทางเด็กน้อยช่างน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก

หยินหลิ่วขึ้นมาบนเรือน รายงานว่าแม่ทัพหนิงมาถึงแล้วเช่นกัน คุณชายใหญ่จัดโต๊ะเลี้ยงฉลองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเชิญทุกคนไปดื่มสุราร่วมกัน

เผยจื่อชิ่งขมวดคิ้ว “เขายังจะกินอีกหรือ ขืนกินขนาดนี้คงได้กลายเป็นคนอ้วนพอดี”

หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อะไรกัน จื่ออวี้ของเจ้าอ้วนขึ้นแล้วหรือ เขาภาคภูมิใจในตนเองถึงขั้นกล่าวว่าเป็นที่สองในเมืองหลวงเชียวนะ!”

เผยจื่อชิ่งยิ้มเจื่อน “เจ้าก็ช่างไปฟังเขาคุยโว หยินหลิ่ว เจ้าช่วยไปบอกกล่าวแทนข้าทีว่าให้เขาอย่าดื่มมากเกินไป”

หลินหลันคว้ามือของเผยจื่อชิ่งมาจับไว้ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าก็อย่าได้กังวลใจไปเพียงนี้เลย ไว้กลับไปเจ้าค่อยให้เขาวิ่งตามรถม้ากลับจวน ก็ถือว่าเป็นการลดน้ำหนักไปในตัวก็สิ้นเรื่อง? ไปๆ พวกเราไปหาอะไรกินกันหน่อยเถอะ กินกันไปคุยกันไป”

ติงหลั้วเหยียนหยอกล้อ “พวกเจ้าต้องการกินของอร่อยๆ ก็รีบไปเร็วเข้า อย่ามัวพูดยั่วข้าให้หิวไปด้วยอยู่ตรงนี้ พวกเจ้านี่นิสัยเสียจริงๆ เชียว”

หลินหลันกล่าวด้วยสีหน้าเบิกบาน “พี่สะใภ้อย่าใจร้อนไปเลยเจ้าค่ะ ไว้ท่านครบเดือนแล้ว อยากกินอะไรอร่อยๆ ก็ได้กินแน่นอนเจ้าค่ะ” หลินหลันจูงมือเผยจื่อชิ่งลงเรือนขณะกล่าว

ทั้งสองคนเพิ่งลงจากเรือนชั้นบน ยังไม่ทันพ้นจากเรือนเวยอวี่ ป้าจางก็มารายงานว่ามีคนมาขอพบนายหญิงสะใภ้รองที่ด้านนอกประตู กล่าวว่าเป็นผู้ดูแลจวนของท่านแม่ทัพ

หลินหลันเลิกคิ้ว “คนของจวนแม่ทัพมาทำอันใดหรือ ข้าไม่ขอออกไปเจอ”

ป้าจางกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ “คนผู้นั้นกล่าวว่ามีเรื่องสำคัญเจ้าค่ะ ขอให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายพบเจอเขาสักครั้งเจ้าค่ะ”

เผยจื่อชิ่งเอ่ยถามเสียงกระซิบ “เรื่องนั้นเป็นความจริงหรือ”

หลินหลันรู้ดีว่าเผยจื่อชิ่งถามถึงคำพูดที่ตาเฒ่านั่นป่าวประกาศไปทั่วเหล่านั้น ภายในใจยิ่งรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ “ไม่จริง ข้ามิได้ชะตาที่ชีวิตดีเพียงนั้นเสียหน่อย ท่านพ่อข้าตายไปตั้งนานแล้ว”

เผยจื่อชิ่งเห็นท่าทีหงุดหงิดใจของนางเช่นนั่น ก็รู้ได้ทันทีว่าเรื่องนี้คงเป็นความจริงแน่นอน ตามจริงนางคิดจะมาถามไถ่หลินหลันตั้งนานแล้ว ในเมื่อด้านนอกพากันแพร่งพรายต่อๆ กันเสียขนาดนั้น มีการพูดถึงกันต่างๆ นานา มีทั้งอิจฉา มีทั้งพูดให้ร้าย ที่นางเป็นกังวลมากที่สุดคือเฝิงฮูหยิน เฝิงฮูหยินและหลินหลันเป็นสหายที่ดีต่อกันเสมอมา คราวนี้ดันกลายเป็นแม่เลี้ยงของหลินหลันไปเสียแล้ว แล้วทั้งสองคนจะคบค้าสมาคมกันได้อย่างไรหรือ นั่นมันช่างเป็นอะไรที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเห็นๆ! แม้ว่าในใจจะใคร่รู้อย่างยิ่ง ทว่าก็เกรงใจเกินกว่าจะมาถามไถ่ ในเมื่อแต่ละครอบครัวล้วนมีความนึกคิดเป็นของตน

“เจ้าไปบอกเขาแล้วกันว่า วันนี้ข้าไม่ว่างจึงไม่ขอพบเจอ” หลินหลันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นคล้องแขนเผยจื่อชิ่งเดินไปยังเรือนหลั้วเซี๋ยจาย

ไม่นานนักป้าจางก็กลับมารายงานอีกครั้ง กล่าวว่าคนผู้นั้นไปแล้ว ทว่ามีคำพูดฝากให้มาบอกนายหญิงสะใภ้รอง โดยให้กล่าวว่าครอบครัวป้าใหญ่ตระกูลหลินถูกท่านแม่ทัพส่งกลับบ้านเกินไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หลินหลันไม่พูดจาใดๆ ด้วยความหงุดหงิด ป้าใหญ่จะไปหรือไม่ไปมันเกี่ยวอะไรกับนาง ทำไม่ต้องมาบอกกล่าวนางด้วย อ้อ เขาคิดว่าการที่ไล่ป้าใหญ่กลับไปแล้วก็ถือว่าเป็นการขจัดปัญหาแล้วหรือ ตาเฒ่านี่ไม่รู้จักแก่นแท้ของปัญหาเรื่องจริงๆ สินะ ป้าใหญ่น่าเคียดแค้นก็จริง แต่ตัวเขาเองต่างหากที่ชวนให้คนรู้สึกเคียดแค้นมากที่สุด จริงๆ เลย จะให้นางได้อยู่อย่างสงบสุขสักวันสองวันไม่ได้เลยหรือ

เผยจื่อชิ่งเห็นนางไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก จึงเอ่ยถามเสียกระซิบ “เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

หลินหลันเม้มริมฝีปาก “ไม่เป็นไร ป้าจาง เจ้าออกไปเถอะ! วันหลังเรื่องของจวนแม่ทัพมิจำเป็นต้องมาบอกกล่าวข้าแล้ว คนของจวนแม่ทัพ นอกจากซานเอ๋อร์ ข้าไม่พบผู้อื่นใดทั้งนั้น”

ป้าจางขานรับแล้วถอยออกไป

เผยจื่อชิ่งนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แต่ก็ยังไม่อาจอดกลั้นได้จึงเอ่ยถาม “แล้วเจ้าก็ไม่แยแสเฝิงฮูหยินด้วยน่ะหรือ”

หลินหลันถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม “จื่อชิ่ง ตั้งแต่ข้าเริ่มรู้เรื่องรู้ราว ข้าก็คิดว่าท่านพ่อข้าตายไปแล้ว ท่านแม่ข้าเพื่อเลี้ยงดูข้าและพี่ชายให้เติบโหญ่ ต้องทนทุกข์ยากลำบากมาไม่น้อย ยามนี้จู่ๆ ดันมีพ่อคนหนึ่งปรากฏตัวออกมา แล้วยังเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งราชสำนัก แล้วยังแต่งภรรยาใหม่ พร้อมทั้งให้กำเนิดบุตรชายแล้วอีกด้วย ลองเป็นเจ้า เจ้าจะยอมรับได้หรือไม่”

เผยจื่อชิ่งไม่รู้จะพูดอะไรดี นั่นมันก็เป็นเรื่องที่ยากเกินรับได้อยู่เล็กน้อย ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกมากที่สุดคือสหายที่ดีกับตนเองดันเป็นมารดาเลี้ยงของตนเองนี่สิ

“ท่านพ่อเจ้าอาจมีปัญหาความยากลำบากอันใดหรือไม่” เผยจื่อชิ่งโน้มน้าว

หลินหลันสบถฮึอย่างเย็นชา “ไม่ว่าเขามีปัญหายากลำบากอันใด ข้าก็ไม่อาจให้อภัยเขาได้ทั้งนั้น”

ท่าทีของหลินหลันเด็ดขาดเพียงนี้ เผยจื่อชิ่งเชื่อว่าหลินหลันต้องมีเหตุผลของนางเป็นแน่ หลินหลันไม่ใช่คนไร้เหตุผล ในทางกลับกัน นางเป็นคนที่จิตใจดี ชาญฉลาด และมีเหตุมีผลอย่างยิ่งผู้หนึ่ง การโกรธเคืองจนกลายเป็นเช่นนี้ ส่วนใหญ่คงเป็นเพราะบิดานางทำเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่งแล้วเป็นแน่ เพียงแต่คนภายนอกเหล่านั้นไม่เข้าใจด้วย จึงคาดเดาไปต่างๆ นานา และไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ท่านแม่ทัพหลินในสายตาและจิตใจของทุกคนล้วนเป็นวีรบุรุษผู้สูงศักดิ์ คนภายนอกจึงเอาแต่สนับสนุนเขาและหันมาตำหนิหลินหลัน

“หลินหลัน พวกเราก็ถือว่ารู้ใจกันมากทีเดียว ดังนั้น ข้าขอพูดกับเจ้าจากใจจริงสักสองสามประโยคแล้วกัน เรื่องนี้จะปล่อยให้ยืดเยื้อเช่นนี้มิได้ ถึงอย่างไรมันก็เป็นผลไม่ดีต่อตัวเจ้า เจ้าควรคิดวิธีจัดการปัญหานี้โดยเร็วที่สุดถึงจะดี มิเช่นนั้นก็ให้ท่านแม่ทัพหลินออกโรงเป็นฝ่ายอธิบายให้กระจ่างแจ้งเสีย เพื่อขจัดความสงสัยของผู้คน คำพูดที่เขาปล่อยออกไป ให้เขาหาวิธีกู้คืนกลับมาด้วยตนเอง” เผยจื่อชิ่งกล่าว

หลินหลันกระตุกยิ้มมุมปาก เผยรอยยิ้มขมขื่น “อย่างเขาน่ะไม่มีทางออกโรงอธิบายหรอก ต่อให้อธิบายก็เป็นการช่วยพูดเพื่อตัวเองเสียมากกว่า มีหรือเขาจะนำความผิดพลาดของตนป่าวประกาศทั่วทั้งหล้า?”

เอ่อ! นี่มันก็จริงอยู่ เผยจื่อชิ่งนิ่งเงียบไปชั่วครู่ นางรู้สึกได้รับความไม่ยุติธรรมแทนหลินหลันอย่างมาก กว่าจะได้ความสงบสุขคืนมาไม่ง่ายเลย ดันมีคลื่นปัญหาใหม่เกิดขึ้นอีกระลอก หลินหลันจึงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเสียที

“ช่างเถอะ ไม่เอ่ยถึงเขาแล้ว จะพาลเสียอารมณ์ไปเปล่าๆ หยินหลิ่ว ไปดูหน่อยสิว่ากุ้ยซ่าวเตรียมอาหารไว้พร้อมแล้วหรือไม่” หลินหลันหันไปสั่งการหยินหลิ่วหลังสะบัดศีรษะขับไล่ความหงุดหงิดออกไปจากสมอง

เผยจื่อชิ่งพยายามหาหัวข้อสนทนามาสร้างบรรยากาศรื่นเริงด้วยเช่นกัน “จริงสิ ช่วงก่อนหน้านี้ข้าได้พบเจออู่หยางด้วย”

“เป็นอย่างไรบ้างหรือ ตอนนี้นางยังสบายดีหรือไม่” หลินหลันกล่าวด้วยความใส่ใจเช่นกัน ตระกูลฉินแม้จะน่ารังเกียจ แต่นางยังมีความรู้สึกดีๆ ต่ออู่หยางอยู่มากทีเดียว

เผยจื่อชิ่งเผยสีหน้าหดหู่และนึกตำหนิตนเอง อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะหาหัวข้อสนทนามาสร้างบรรยากาศรื่นเริง ปรากฏว่าดันพูดเรื่องไม่ควรพูดขึ้นมาอีกเสียได้

“นางไม่ค่อยสู้ดีเท่าใดนัก ผอมจนดูไม่ได้ ข้าได้ยินว่าองค์ชายเจิ้นหนานอะไรนั่นก็ไม่ใช่คนดีอะไร ในบ้านมีอนุภรรยาไม่รู้กี่สิบคน แล้วอู่หยางที่ทระนงในศักดิ์ศรีเพียงนั้น จะสสุขกายสบายใจได้หรือ”