webnovel

ปฏิญญาค่าแค้น

หลินหลัน ทะลุมิติมาเกิดใหม่ในคราบของหญิงสาวชาวบ้านที่แสนลำบากยากจน แต่โชคยังดีที่ความสามารถด้านการแพทย์และประสบการณ์รักษาผู้คนที่สั่งสมมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนั้นติดตัวมาด้วย อีกทั้งครอบครัวในชาติภพนี้ก็ดีกับนางมิใช่น้อย กระนั้นเคราะห์ร้ายก็ยังคืบคลานเข้ามา เมื่อพี่ชายผู้เป็นที่พึ่งพาเดียวของนางนั้นใสซื่อจนไม่อาจตามทันเล่ห์กลของพี่สะใภ้ที่แสนโลภมาก สุดท้ายแล้วหลินหลันก็ถูกนางบีบบังคับให้ต้องออกเรือนแต่งงานไปเป็นนางบำเรอจนได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องดึงตัว หลี่ซิ่วฉาย ชายหนุ่มรูปงามผู้มีเบื้องหลังเป็นปริศนาในหมู่บ้านเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ ทั้งสองได้ตกลงทำสัญญาขึ้นมาหนึ่งฉบับ เขาช่วยนางให้หลุดพ้นจากการคลุมถุงชน ส่วนนางจะช่วยเขาแก้แค้นและทวงทุกสิ่งอย่างที่ถูกพรากไปกับคืนมาภายในระยะเวลาสามปี ทว่าแผนการช่วยเหลือเขาให้บรรลุเป้าหมายนั้นกลับไม่ง่ายดายอย่างที่คิดนี่สิ…

จื่ออี281 · ย้อนยุค
เรตติ้งไม่พอ
339 Chs

ตอนที่ 223 ช่วงเวลาของการได้พบกันอีกครั้ง

ตอนที่ 223 ช่วงเวลาของการได้พบกันอีกครั้ง

หญิงชราดวงตาลุกวาว มุมปากกระตุก พยายามอย่างหนักด้วยความต้องการจะพูดแต่กลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว

แม่จู้จึงปลอบประโลมหญิงชรา “ใจเย็นๆ เจ้าค่ะ ค่อยๆ พูดนะเจ้าคะ”

“หมิง...อวิน...” หญิงชราพ่นทีละคำออกมาอย่างยากลำบาก

แม่จู้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เส้าเหยียมาแล้วเจ้าค่ะ เอ้อร์เส้าเหยียมาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ”

ขณะเอ่ย หลี่หมิงอวินสาวเท้ายาวๆ เข้ามาจนถึงเบื้องหน้าเตียงของหญิงชรา หลี่หมิงอวินหันคารวะให้นาง “ท่านย่า หลานมาเยี่ยมขอรับ”

หลังจ้องมองหมิงอวินครู่หนึ่ง หยาดน้ำตาก็ไหลรินออกจากหางตาของหญิงชรา นางพยายามอย่างหนักที่จะยกมือขึ้น ทว่ามือไม้กลับไม่เชื่อฟังเอาเสียเลย นอกจากนนั้นยังสั่นเทิ้มตลอดเวลา

หลี่หมิงอวินเห็นนางในอาการเช่นนี้จึงเดินก้าวขึ้นไปเบื้องหน้าหนึ่งก้าว กอบกุมมือผู้เป็นย่าแล้วหย่อนตัวนั่งลงบนขอบเตียง

หญิงชรากอบกุมมือของหลานชาย ความรู้สึกต่างๆ นานาที่เปี่ยมล้นมากยิ่งขึ้นส่งผลให้หยาดน้ำตาไหลรินจากหางตาและไหลซึมเข้าสู่ไรผมขาว

แม่จู้ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาช่วยซับหยาดน้ำตาให้นางแล้วกล่าวเสียงบางเบาขณะที่ดวงตารู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาเช่นกัน “เหล่าไท่ไท เอ้อร์เส้าเหยียมาเยี่ยมท่าน ท่านดีใจหรือไม่เจ้าคะ”

หญิงชราพยักหน้าตามด้วยเสียงพึมพำ “ดี...ใจ...”

หลี่หมิงอวินมองดูใบหน้าชราที่นองไปด้วยหยาดน้ำตาของผู้เป็นย่า ภายในใจจึงเกิดความรู้สึกหลากหลายนับไม่ถ้วน ต่อผู้เป็นย่า เขาเคยรู้สึกโกรธเคือง ซึ่งไม่ว่าตอนนั้นนางจะรู้สึกหรือไม่ การไม่ไยดีของย่าที่ปฏิบัติต่อมารดา เข้าข้างนางฮาน ปฏิบัติต่อตระกูลเยี่ยอย่างดูถูกเหยียดหยาม ปฏิบัติต่อเขาอย่างคนอื่นคนไกล ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการที่ตระกูลหลี่เดินมาถึงสถานการณ์เช่นวันนี้ ผู้เป็นย่าคือส่วนหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบด้วย ทว่าตอนนี้เห็นนางล้มป่วยติดเตียง พูดจาปกติไม่ได้ จึงเกิดความรู้สึกสงสารนางอย่างยิ่ง

หญิงชราออกแรงสุดความสามารถขณะกอบกุมมือหมิงอวิน ริมฝีปากที่บิดเบี้ยวพะงาบขึ้นออกเสียงพึมพำไม่ชัดเจน สีหน้าอารมณ์ดูร้อนใจนัก ดวงตาเต็มไปด้วยการรอคอย เสมือนต้องการคำชี้แจง ต้องการขอร้อง

หลี่หมิงอวินมองเห็นดังกล่าวจึงเอ่ยขึ้น “ท่านย่าวางใจเถิดขอรับ หลานจะต้องคิดหาวิธีช่วยพี่ใหญ่ออกมาให้จงได้แน่นอนขอรับ”

หญิงชราดูเหมือนสงบนิ่งลงได้ชั่วขณะ แต่แล้วก็เผยท่าทีกระวนกระวายขึ้นมาอีกระลอก

แม่จู้เข้าใจความนึกคิดของหญิงชราเป็นอย่างดี หญิงชราหวังว่านายน้อยรองจะช่วยเหลือนายท่านใหญ่ แม่จู้จึงมองนายน้อยรองด้วยความลำบากใจ

หลี่หมิงอวินอมยิ้มเล็กน้อยและแตะมือของผู้เป็นย่า “วันนี้ท่านย่าเหนื่อยมากแล้วเช่นกัน ท่านย่าพักผ่อนแต่หัววันเถิดขอรับ ไว้พรุ่งนี้หลานจะมาเยี่ยมท่านอีกครั้ง” เขาปล่อยมือของผู้เป็นย่าแล้วยืนขึ้นพลางเอ่ย ทำเพียงมองดูนัยน์ตาของผู้เป็นย่าที่ฉายให้เห็นถึงความผิดหวัง การช่วยบิดาให้หลุดพ้นจากความลำบาก เขาทำไม่ได้จริงๆ นั่นเป็นบทลงโทษที่บิดาควรได้รับ

ดวงตาทั้งคู่ของหญิงชราค่อยๆ หม่นหมองพร้อมกับท่าทีที่สงบนิ่งลงอย่างช้าๆ เช่นกัน จะมีก็แต่หยาดน้ำตาที่ยังคงไหลรินไม่ขาดสาย

แม่จู้จึงรีบกล่าวต่อหญิงชราทันที “เหล่าไท่ไท บ่าวออกไปส่งเอ้อร์เส้าเหยียนะเจ้าคะ”

เมื่อออกพ้นโถงจาวฮุย แม่จู้กล่าวด้วยท่าทีลังเลใจ “เอ้อร์เส้าเหยีย ท่านอย่าถือโทษโกรธเคืองเหล่าไท่ไทเลยนะเจ้าคะ ไม่มีแม่คนไหนจะอดทนมองดูลูกตนเองทุกข์ระทมได้หรอกเจ้าค่ะ ต่อให้ภายในใจนางก็โกรธเคืองไม่แพ้กันก็ตาม”

หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มให้แม่จู้เล็กน้อย “ท่านเป็นคนดี คนดีจะได้รับการตอบแทนที่ดี”

แม่จู้ชะงักไปชั่วขณะ นายน้อยรองตอบไม่ตรงคำถามเห็นๆ

หลี่หมิงอวินเงยหน้ามองดูพระจันทร์สว่างจ้าเคียงคู่กับดวงดาวที่กำลังพร่างพราวบนผืนนภาอันมืดมิด และกล่าวขึ้น “แน่นอนว่า คนชั่วก็ควรได้รับโทษทัณฑ์ที่ควรได้รับเช่นกัน นี่เป็นกฎธรรมชาติแห่งสวรรค์” หลี่หมิงอวินโน้มตัวลงเบื้องหน้าเล็กน้อยหลังเอ่ยจบ แล้วเดินก้าวยาวจากไป

แม่จู้ตกอยู่ในภวังค์ไปเนิ่นนานพอตัวก่อนจะส่ายหน้าแล้วถอนหายใจออกมา นางรู้ดีแก่ใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนายน้อยรองไม่มีทางช่วยเหลือนายท่านใหญ่เป็นแน่

ยามที่หลี่หมิงอวินกลับถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจาย แม่โจวกำลังนำทุกคนจัดเก็บข้าวของ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายไปส่งแขกเจ้าค่ะ” อวิ๋นอิงกล่าว

หรูอี้เดินเข้ามารายงาน “เอ้อร์เส้าเหยียเจ้าคะ น้ำร้อนกับใบส้มโอเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

หลี่หมิงอวินพยักหน้า ยามที่พ้นคุกออกมาหมาดๆ ฮ่องเต้ประทานน้ำร้อนเพื่อใช้ในการอาบน้ำเป็นพิเศษให้เขาเพื่อนำไปชำระล้างสิ่งชั่วร้าย แม้เอ่ยว่าเป็นน้ำร้อนที่ได้รับพระราชทานมา ทว่าในน้ำนั่นไม่รู้ว่าผ่านมือใครต่อใครมากบ้างแล้ว จึงอาบโดยไม่รู้สึกสบายเท่าใดนัก แต่มันก็เป็นพระเมตตาอย่างหนึ่ง หากให้พูดถึงความสบาย มีหรือจะสู้อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ที่บ้านได้

หลี่หมิงอวินลงไปแช่น้ำด้วยความผ่อนคลาย กระทั่งเขาออกมา หลินหลันผ่านการอาบน้ำแบบธรรมดาทั่วไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางเปลี่ยนมาอยู่ในชุดเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวสีชมพูเทา กำลังก้มหน้าก้มตาอยู่บนโต๊ะหนังสือเขียนอะไรบางอย่าง

“กำลังเขียนอันใดหรือ” หลี่หมิงอวินสอดมือโอบกอดรอบเอวของนางจากทางด้านหลังและวางคางไว้บนบ่าของนางอย่างเบาๆ แล้วจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันแสนอ่อนโยน

กลิ่นลมหายใจของบุรุษที่คุ้นเคยผสมกับกลิ่นหอมของใบส้มโอลอยเข้าสู่จมูก ภายในใจหลินหลันจึงรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาเล็กน้อย “ตระกูลฮว๋าขอยืมหมอจากทางด้านข้าจำนวนหนึ่ง ข้าก็เลยร่างรายชื่อไว้ให้ศิษย์พี่รองช่วยจัดการ” นางกล่าวด้วยเสียงบางเบา

หลี่หมิงอวินส่งเสียงอ้อด้วยการลากหากเสียงยาวแล้วโอบกอดนางอย่างสงบเงียบ รอคอยนางร่างรายชื่อให้เสร็จสิ้นด้วยความอดทน

หลินหลันนำแผ่นกระดาษพับอย่างดิบดีแล้วใส่เข้าไปในซองจดหมาย เตรียมเอ่ยปากร้องเรียกคนเข้ามา แต่ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเรียกคนเข้ามาเห็นเขาที่กำลังกอดนางเช่นนี้มีหวังได้อับอายแย่ จึงส่งมือดันเขาออกห่าง “ข้าจะเรียกคนเข้ามาหน่อย”

หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มระรื่นก่อนยอมปล่อยมือด้วยความเสียดาย แล้วไปหย่อนตัวลงนั่งด้านข้างอย่างว่านอนสอนง่าย ระหว่างนั้นเขาหยิบฝาถ้วยน้ำชาที่หลินหลันช่วยเตรียมไว้ให้มาถือเล่นไปพลางๆ

หลินหลันตะโกนเรียกหยินหลิ่ว นำจดหมายส่งให้นางแล้วบอกกล่าวสองสามประโยค หลังจากนั้นจึงส่งหยินหลิ่วออกไปจากห้อง เมื่อหันกลับมา นางมองเห็นเส้นผมของหลี่หมิงอวินยังคงเปียกชื้นอยู่เล็กน้อยจึงไปหยิบผ้าสะอาดมาผืนหนึ่ง

“ดูเจ้าสิ ผมเผ้ายังไม่แห้งเลยด้วยซ้ำ” หลินหลันเดินไปหยุดข้างกายเขาแล้วช่วยเช็ดผมให้เขาอย่างเบามือ

หลี่หมิงอวินปิดเปลือกตาลงด้วยความรู้สึกอบอุ่นและกล่าว “ได้กลับบ้านมานี่มันดีจริงๆ”

หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน “เจ้าไปเยี่ยมท่านย่ามาแล้วหรือ”

“อืม ท่านย่าสีหน้าดูดีขึ้นมาก” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“นางฟื้นฟูกลับมาเป็นสภาพเช่นนี้ได้นับว่าไม่เลวแล้ว แต่หากคิดจะดีขึ้นไปมากกว่านี้อีกขั้น เกรงว่าคงเป็นการยากเสียแล้ว” หลินหลันกล่าว

หลี่หมิงอวินนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ไม่ใช่เพราะรู้สึกแย่ เพียงแต่รู้สึกอ่อนใจเล็กน้อย ผู้เป็นย่าตกอยู่ในสภาพนี้แล้ว ยังคงคิดถึงแต่ท่านพ่อของเขา ทว่าท่านพ่อคิดถึงแต่ตัวเขาเองเท่านั้น

วันนี้เป็นวันแห่งความสุข คงจะดีกว่าหากไม่เอ่ยถึงเรื่องราวชวนหมดอารมณ์แห่งความสุขเหล่านี้ หลินหลันจึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดพวกเจ้าถึงเลิกงานเลี้ยงแต่หัวค่ำเพียงนี้ล่ะ”

หลี่หมิงอวินนึกถึงคำพูดของลูกพี่ลูกน้องชาย ภายในใจจึงเกิดความเร่าร้อนปะทุขึ้นมา เขาคว้ามือของนางที่กำลังยุ่งอยู่บนศีรษะเขาแล้วดึงนางลงมานั่งบนหน้าตัก “ไม่ต้องเช็ดแล้วละ ให้ข้าได้กอดเจ้าให้เต็มที่เสียหน่อย”

หลินหลันแนบอิงซบอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างสงบ ได้ช่วงเวลาอันสงบสุขเช่นนี้กลับคืนมาครอบครองอีกครั้ง ทำให้นางรู้สึกราวกับหลุดออกไปอยู่อีกดินแดนหนึ่ง ราวกับอยู่ในห้วงแห่งความฝัน มันงดงามจนดูไม่เหมือนความจริง ทว่าข้างใบหูยังคงได้ยินเสียงจังหวะหัวใจเต้นของเขาอย่างชัดเจน จมูกยังคงได้กลิ่นลมหายใจอันชวนหลงใหลที่คุ้นเคย ซึ่งมันเป็นสิ่งที่บอกนางได้ว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความจริง นางฉีกยิ้มกว้างขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว นางไม่เคยรู้สึกถึงคำว่าความสุขได้ชัดเจนเท่านาทีนี้มาก่อน

“หลันเอ๋อร์ ทำให้เจ้าลำบากเสียแล้ว” เจ้าของเรือนร่างที่นั่งอยู่บนตักน้ำหนักเบาขึ้นมาไม่น้อย รอบเอวของนางก็บางคอดยิ่งขึ้นเช่นกัน ไม่ยากที่จะจินตนาการได้เลยว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานี้นางต้องเผชิญความยากลำบากมากเพียงใด หลี่หมิงอวินกระชับมือแน่นด้วยความรู้สึกสงสารที่เกิดขึ้นภายในใจ

หลินหลันส่ายหน้าเล็กน้อย “ขอเพียงเจ้าปลอดภัย ต่อให้ได้รับความยากลำบากเพียงใด เศร้าเสียใจเพียงใด มันล้วนคุ้มค่าทั้งนั้น”

หลี่หมิงอวินจรดจุมพิตลงไปที่หน้าผากซึ่งให้ความรู้สึกเย็นเล็กน้อยด้วยความซาบซึ้งใจ แล้วส่งเสียงกระซิบอย่างอ่อนโยน “ชั่วชีวิตนี้ของคนอย่างข้าหลี่หมิงอวิน มีเพียงเรื่องเดียวที่นับว่าประสบความสำเร็จที่สุด นั่นก็คือการได้แต่งงานกับเจ้า”

หลินหลันเผยรอยยิ้มขณะเงยหน้า จ้องมองไปยังนัยน์ตาคู่อบอุ่นซึ่งฉายความรู้สึกรักใคร่อย่างไร้ที่สิ้นสุด หลังเวลาผ่านไปชั่วขณะหนึ่งนางจึงเอ่ยถามเขา “หากไท่โฮ่วนำชะตาชีวิตข้ามาข่มขู่เจ้าจริงๆ เจ้าจะแต่งงานกับอู่หยางจวิ้นจู่หรือไม่”

หลี่หมิงอวินกล่าวตอบจริงจังโดยไม่แม้แต่จะครุ่นคิด “ไม่มีทาง”

หลินหลันตกตะลึงปนประหลาดใจ “แล้วข้าล่ะ จะทำอย่างไร”

หลี่หมิงอวินสัมผัสมือลงบนพวงแก้มที่มีผิวพรรณละเอียดนุ่มของนาง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความรักอันลึกซึ้ง “ข้าไม่มีทางยอมให้เกิดอันใดกับเจ้า และไม่มีทางแต่งกับผู้อื่นใดทั้งสิ้น ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรทำอย่างไร แต่ข้าคิดว่าถึงอย่างไรมันก็ต้องมีสักวิธี” เขาหยุดชะงักไปชั่วครู่แล้วจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “หากเดินไปถึงทางตันจริง เช่นนั้นสิ่งเดียวที่ข้าทำได้ก็คือยินยอมตายไปดีกว่าทำร้ายจิตใจเจ้า ข้าตายแล้ว เจ้าก็จะไม่มีความหมายใดๆ ต่อไท่โฮ่วอีก”

หลินหลันอดรู้สึกตระหนกตกใจไม่ได้ นางรีบยกมือขึ้นปิดปากของเขาแล้วกล่าวออกไปภายใต้หน้านิ่วคิ้วขมวด “ห้ามพูดเรื่องเป็นๆ ตายๆ เด็ดขาด ขอเพียงข้ายังมีรากฐานที่มั่นคงดำรงอยู่ การยอมพ่ายแพ้ชั่วครู่ชั่วคราวไม่อาจส่งผลกระทบหรือทำอันใดได้ทั้งนั้น”

หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเล็กน้อยและคว้าฝ่ามือคู่เล็กของนางวางทาบลงบนแผงอก สายตาล้ำลึกประดุจท้องทะเลเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ดวงหน้าหล่อเหลาค่อยๆ ก้มลงประทับจุมพิตลงบนกลีบปากที่เขาโหยหามาเนิ่นนาน ตามด้วยเสียงพึมพำขณะคลอเคลียอยู่ที่ริมฝีปากอย่างหลงใหล “หลันเอ๋อร์ คิดถึงข้าหรือไม่”

คำถามนี่มันออกจะเป็นคำถามไร้สาระเห็นๆ หลินหลันจึงใช้การแสดงออกเพื่อเป็นการบอกเขาว่านางคิดถึงเขามากเพียงใด คิดถึงจนเจ็บปวดใจ คิดถึงจนแทบเป็นบ้า นางออกแรงกลืนกินกลีบปากของเขาอย่าง ‘ดุดัน’ ก่อนส่งลิ้นนุ่มสีชมพูสดที่เคลื่อนไหวอย่างว่องไวและเร่าร้อนเข้าสำรวจ โดยการตวัดรัดลิ้นอุ่นร้อนของเขา

ความร้อนแรงของนางเสมือนคบเพลิงที่กำลังลุกโชน ทำให้โลหิตในกายของเขาพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง นาง ‘คิดถึง’ เขาเพียงนี้เชียว แล้วเขาจะยอมน้อยหน้าได้อย่างไรกัน การโต้กลับอย่างดุเดือดจึงเริ่มขึ้นเพื่อทำให้นางรับรู้ว่าความ ‘คิดถึง’ ของเขามันรุนแรงเพียงใด ยิ่งกว่านางก็ว่าได้

ท้ายที่สุดหลินหลันคงต้องยอมรับอย่าง ‘ตรงไปตรงมา’ ว่าบุรุษที่มีแรงปรารถนาอันแรงกล้าสะสมมาเป็นเวลาสองเดือนกว่า ทั้งยังมีสภาพร่างกายดีเยี่ยมและอยู่ในวัยเลือดร้อนกำลังพลุ่งพล่านมันเป็นเรื่องหนึ่งที่อันตรายมากเพียงใด

จุมพิตของเขาไม่ต่างจากพายุลมฝนกระโชก ถาโถมเข้ามาอย่างดุดันและร้อนแรง เสมือนกองทัพม้านับหมื่นประดาหน้าเข้ามาโจมตีอย่างไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ ด้วยซ้ำ นางพ่ายแพ้อย่างราบคาบ ไร้หนทางต่อสู้ ทำได้เพียงหายใจรวยรินยอมจำนนแต่โดยดี

มือของเขาหาได้ปล่อยว่างไม่ มันถูกส่งขึ้นมาปลดเชือกคาดเอวของนางตั้งแต่เนิ่นๆ หลังจากนั้นจึงแทรกซึมเข้าไปใต้เสื้อผ้าของนางแล้วกอบกุมอกอวบอิ่มของนางและฟอนเฟ้นอย่างเบามือ สลับกับการหยอกเย้ายอดเชอร์รี่สีแดงสดที่เคยอ่อนนุ่มจนชูชันขึ้นมาด้วยปลายนิ้วของเขา เสมือนการบังคับให้นางปล่อยเสียงกระเส่าออกมา

“หมิงอวิน...”

หลินหลันส่งเสียงกระซิบพร่าเบาประหนึ่งลูกแมวตัวน้อย ทว่านั่นยิ่งเป็นเสมือนยากระตุ้นเพลิงราคะชั้นเลิศ หลี่หมิงอวินรู้สึกเพียงท่อนล่างของเขามันปวดหนึบจนไม่อาจหักห้ามต่อไปได้อีก เขาจึงช้อนตัวนางอุ้มขึ้นแล้วสาวเท้าเดินไปยังเตียงนอนอย่างรวดเร็ว ตามด้วยปลดเปลื้องเสื้อผ้าของทั้งสองออกภายในชั่วพริบตา เขาตราตรึงนางไว้ใต้เรือนร่าง พรมจุมพิตอย่างละเมียดละไมเคลื่อนไปตามลำคอระหงของนาง ก่อนไล้ลงมาตามกระดูกไหปลาร้าและส่งเสียงกระซิบกระซาบไปในขณะเดียวกัน “หลันเอ๋อร์...พระเจ้า ข้าคิดถึงเจ้ามากเหลือเกิน...”

ยามที่กลีบปากของเขาอ้อยอิ่งอยู่บนท้องน้อยของนาง หลินหลันจึงรู้สึกได้ถึงสัญญาณเตือนบางอย่าง แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อสมองของนางถูกแรงปรารถนาโจมตีจนไม่อาจตอบโต้ได้เสียแล้ว กระทั่งยามที่นางนึกขึ้นได้ว่าต้องการยับยั้ง เขาก็เคลื่อนใบหน้าไปอยู่บริเวณใจกลางหว่างขาทั้งสองของนางและกลืนกินจุดที่ไวต่อความรู้สึกมากที่สุดของนางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“อ๊า...ไม่นะ...” หลินหลันส่งเสียงพร่าเบา สัญชาตญาณทำให้นางอยากดึงสองขามาเกี่ยวพันกัน ทว่ามันสายไปเสียแล้ว

การจุมพิตเช่นนี้มันช่างชวนให้รู้สึกเขินอายเกินไป การจุมพิตเช่นนี้มันช่างสร้างความเสียวซ่านมากเกินไป หลินหลันอดสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้ นางอ้อนวอนเสียงบางเบาด้วยความอยากร่นถอย “หมิงอวิน ปล่อยข้าเถอะ...”

เขาไม่ยินยอมให้นางร่นถอยเลยด้วยซ้ำ นางเขยิบถอยหนึ่งคืบ เข้าเดินหน้าเข้าสองคืบ ปลายลิ้นตวัดใจกลางดอกไม้งามของนาง ลิ้มรสหยาดน้ำผึ้งแสนหวานที่อยู่ภายในด้วยความกระหาย

“หมิงอวิน...ข้อร้องเจ้าละ...” หลินหลันอ้อนวอนหงิงๆ ประหนึ่งลูกแมว บริเวณท้องน้อยรู้สึกราวกับมีคลื่นไฟฟ้าประทุขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วนก่อนแพร่กระจายไปทั่วแขนขาทั้งสี่ ทุกอณูของร่างกายล้วนเกร็งตัวขึ้น มันคือแรงปรารถนา แรงปรารถนาที่ทวีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อสัมผัสได้ถึงใจกลางดอกไม้งามของนางหดเกร็งอย่างต่อเนื่อง ตามด้วยหยาดน้ำผึ้งที่ไหลออกมาไม่ขาดสาย หลี่หมิงอวินถึงได้ยอมเงยหน้าขึ้น เขาคุกเข่าอยู่ระหว่างขาทั้งสองของนาง เตรียมนำพานางไปแตะถึงขีดสุด เขามองดูความผงาดที่ค่อยๆ จมดิ่งลงในกลีบดอกไม้งาม

“อา...” ความแข็งแกร่งดำดิ่งลงมาอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคง ให้ความรู้สึกแข็งกร้าวและร้อนผ่าวของเขาอย่างชัดเจน นางไม่รู้สึกเจ็บ เพียงแต่ความรู้สึกของการถูกเติมเต็มมันเอ่อล้นจนยากเกินบรรยาย หลินหลันแอ่นลำตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อต้อนรับเขา

เขาโน้มลงมาแล้วโอบกอดนางไว้ ตามด้วยพรมจูบไปที่ใบหูอันอ่อนนุ่มของนางแล้วเอ่ยปากถาม“หลันเอ๋อร์ เจ็บหรือไม่”

หลินหลันโอบกอดเขาและส่ายหน้าพัลวัน “ไม่เจ็บ...”

หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเล็กน้อยก่อนออกแรงช่วงเอว กดมันจมดิ่งสุดปลายทาง นำมาซึ่งเสียงร้องกระเส่าพร้อมเรือนร่างที่สั่นสะท้านเล็กน้อยของคนใต้ร่าง

บทสวาทที่บรรเลงครั้งนี้ดำเนินไปอย่างเอ้อระเหยราวกับไม่มีวันสิ้นสุด ไม่เพียงแค่เนื้อแนบเนื้อ ยิ่งไปกว่านั้นคือการไปได้เผชิญกันของจิตวิญญาณ หลังฝ่าฟันความยากลำบากจนผ่านพ้นไป มีเพียงวิธีเดียวนี้เท่านั้นที่แสดงออกถึงความรักของทั้งคู่ที่มีต่อกันได้อย่างเต็มที่

ไม่รู้เช่นกันว่ามันดำเนินไปเนิ่นนานเพียงใด หลินหลันรู้สึกเหนื่อยล้าจนสายตัวแทบขาด ในที่สุดหมิงอวินก็เร่งความเร็วในช่วงสุดท้ายเพื่อปลดปล่อยมันออกมา ทั้งสองโอบกอดกันแนบแน่น แม้จะรู้สึกเหนื่อยล้าแต่กลับรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างยิ่ง

“หลันเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่ เหนื่อยหรือไม่” หลังจังหวะลมหายใจของหลี่หมิงอวินกลับมาราบเรียบอีกครั้ง จึงจรดจุมพิตไปบนกลีบปากของหลินหลันแล้วเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน

หลินหลันไม่อยากแม้แต่จะเอ่ยปากพูด ศึกเนื้อแนบเนื้อครานี้ เดิมทีก็เรี่ยวแรงไม่อาจต่อกรคู่ต่อสู้ได้อยู่แล้ว ผนวกกับเขาวันๆ เอาแต่กินๆ นอนๆ อยู่ในห้องขัง ได้เติมพละกำลังไว้เต็มเปี่ยม ทว่านางต้องวิ่งเข้านอกออกในทุกวันไม่หยุดหย่อน ทั้งสภาพจิตใจและร่างกายจึงอ่อนล้า ผิดกับเขาที่เต็มไปด้วยพละกำลังแข็งแกร่ง นางจึงไม่เพียงแค่รู้สึกเหนื่อย แต่ยังรู้สึกราวกับว่าเอวจะขาดแล้วด้วยซ้ำ

หลินหลันออกแรงผลักเขาหนึ่งทีแล้วกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “หนักชะมัด ข้าจะหายใจไม่ออกแล้ว”

หลี่หมิงอวินส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนพลิกกายลงจากเรือนร่างของนางแล้วลงจากเตียงนอน เขาเก็บกวาดเสื้อผ้าที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นขึ้นมา คว้าเอาชุดคลุมตัวนอกมาสวมใส่แล้วมุ่งไปห้องน้ำ ไม่นานนักเขาก็ออกมาพร้อมกับน้ำอุ่นและผ้าขนหู ช่วยเช็ดหยาดเหงื่อบนเรือนร่างให้แก่นางแล้วจึงเตรียมช่วยเช็ดทำความสะอาดส่วนล่างให้นาง

หลินหลันรีบหลบหลีกและกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ “เดี๋ยวข้าจัดการเองดีกว่า...”

หลี่หมิงอวินมองดูใบหน้าแดงก่ำของนางราวกับโลหิตจะซึมออกมาแล้วก็ว่าได้ เขาจึงปล่อยให้นางจัดการ ระหว่างนั้นเขาเลือกที่จะเดินไปรินน้ำมาให้นาง “ดื่มหน่อย จะได้สบายคอ”

หลังจัดเก็บข้าวของที่หลินหลันใช้เรียบร้อยแล้ว หลี่หมิงอวินจึงถอดเสื้อคลุมแล้วขึ้นไปบนเตียงนอน เขาให้หลินหลันเอนกายซบเข้าหาเรือนร่างของเขาแล้วส่งฝ่ามือหนาไปลูบคลำแผ่นหลังเปลือยเปล่าของนางอย่างเบามือ ก่อนเริ่มระบายความรู้สึกต่อหลินหลันภายใต้น้ำเสียงเกียจคร้านหลังได้รับความอิ่มเอมใจ “หลันเอ๋อร์ ตอนที่อยู่ในห้องขัง ข้าคิดว่าหากออกมาได้ ข้าไม่ขอเป็นขุนนางอีกแล้ว ข้าขอพาเจ้ากลับไปใช้ชีวิตที่เฟิงอาน หรือไม่ก็ไปซูหาง พวกเราจะได้ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข น่าเสียดาย...เรื่องราวกลับไม่เป็นดังที่ปรารถนาไว้ แล้วยังต้องไปหลางซานอีกด้วย”

หลินหลันฉีกยิ้มอ่อนหวาน “ไปหลางซานก็ดีออก เป็นบุรุษทั้งทีหากไม่ถือโอกาสช่วงยังหนุ่มยังแน่นสั่งสมประสบการณ์ให้มากๆ เอาแต่อยู่และทำกับสิ่งเดิมๆ จนกระทั่งถึงวัยแก่เฒ่า คงต้องเสียใจภายหลังที่ชีวิตนี้ไม่ได้ทำอันใดเป็นรูปเป็นร่างอย่างแน่นอน อีกอย่างในภายภาคหน้าลูกๆ หลานๆ ห้อมล้อมเจ้าให้เล่าเรื่องราวให้พวกเขาฟัง เมื่อเจ้าเอ่ยปากโดยได้นึกย้อนไปถึงช่วงเวลาของเจ้าและข้าที่ได้ฝ่าฟันกันมา ไม่ใช่เพียงเดินชมนกชมไม้ไปวันๆ จนแก่เฒ่า แสนน่าเบื่อเสียยิ่งอะไรดี”

หลี่หมิงอวินหัวเราะขึ้นมาแล้วกล่าวขึ้นขณะลูบคลำเส้นผมสลวยของนาง “ที่เจ้าพูดก็ถูก เช่นนั้นคงน่าเบื่อจริงๆ”

“จริงสิ หนิงซิ่งร่วมทางไปด้วยครั้งนี้ พี่ชายของข้าก็ไปด้วยกันใช่หรือไม่” หลินหลันเอ่ยถาม

“น่าจะไปด้วย ในเมื่อตอนนี้พี่ชายของเจ้าเป็นคนใต้บัญชาของหนิงซิ่ง”

“เช่นนั้นก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ล้วนเป็นคนกันเอง ทั้งวางใจได้และได้มีเพื่อนร่วมทางไปด้วย” หลินหลันเริ่มรอคอยวันที่จะได้ออกเดินทางไปยังหลางซาน

“จริงสิ หลินฮูหยินเอ่ยว่า ยามที่เจ้าจะออกเดินทางให้ช่วยบอกกล่าวนางสักหน่อย นางอยากให้พวกเราช่วยนำจดหมายไปให้ท่านแม่ทัพฮ๋วยหยวน”

หลี่หมิงอวินครุ่นคิด “น่าจะอีกประมาณครึ่งเดือนกระมัง”

“รวดเร็วเพียงนี้เชียวหรือ” หลินหลันยกมือขึ้นนับนิ้ว “เช่นนั้นระยะนี้ข้าจะต้องวางแผนให้เรียบร้อย ก่อนออกเดินทางจัดงานแต่งของอวี้หลงให้เรียบร้อย แล้วก็เรื่องเปิดทำการร้านใหม่อีกครั้งของหุยชุนถาง แล้วยังมี...จริงสิ ก่อนออกเดินทางเจ้าช่วยพาพี่ใหญ่ออกมาหน่อยได้หรือไม่ พอพวกเราไป บ้านนี้ก็จะต้องโยนให้พี่สะใภ้ดูแล พี่สะใภ้ตัวคนเดียวทั้งยังต้องดูแลท่านย่า แล้วยังต้องดูแลเรื่องในบ้านอีก ข้าเกรงว่านางจะเหนื่อยเกินไป”

หลี่หมิงอวินนิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนกล่าวขึ้น “เรื่องของพี่ใหญ่น่าจะมีความคืบหน้าในเร็วๆ นี้ละ วันนี้ยามที่เข้าเฝ้าฮ่องเต้ ข้าได้ขอร้องฮ่องเต้แล้ว ฮ่องเต้รับปากว่าจะพยายามพิจารณาให้โดยเร็วที่สุด”

หลินหลันกล่าวด้วยความดีใจ “เช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย วันนี้ข้าเห็นท่าทีเศร้าโศกของพี่สะใภ้ ภายในใจข้ารู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย ในเมื่อสามีของข้าได้ออกมาแล้ว ทว่าสามีของนางยังคงนั่งอยู่ในห้องขัง”

หลี่หมิงอวินหุบยิ้มราวกับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “จริงสิ ช่วงที่ผ่านมานี้มีข่าวคราวของนางฮานบ้างหรือไม่”

หลินหลันเม้มริมฝีปาก “ไม่มีเลย จะว่าไปแล้วก็แปลก ข้าจัดการส่งคนไปจับตาดูพวกนางไว้แล้ว ทว่าจู่ๆ ก็ไม่ได้ข่าวคราว นี่ก็นานมากแล้ว ไม่รู้เช่นกันว่าพิษในร่างกายของหมิงจูขจัดหมดแล้วหรือไม่ สรุปแล้วนางฮานพาหมิงจูไปไหนแล้วกันแน่”

หลี่หมิงอวินนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ “ช่างเถอะ พวกเราจบสิ้นกับพวกนางไปแล้ว ต่างคนต่างไปมีชะตาชีวิตของตนเอง หมิงจูก็ได้รับผลของกรรมในครั้งนี้ไปแล้ว”

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ หลินหลันก็นึกรังเกียจและเคียดแค้นพ่อผู้ไร้ยางอายอย่างยิ่ง จึงกล่าวขึ้นด้วยความเดือดดาล “หากจะโทษก็คงต้องโทษท่านพ่อเจ้าเท่านั้นที่โหดเหี้ยมได้เพียงนี้ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะลงทัณฑ์เขาหรือไม่”

หลี่หมิงอวินแสยะยิ้ม “ครั้งนี้เขาหนีไม่พ้นตัวบทกฎหมายที่เป็นเครื่องกำหนด ตอนอยู่ในห้องขัง ข้าเคยได้พบเจอเขาครั้งหนึ่ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขามาเพื่ออันใด”

หลินหลันขมวดคิ้ว “คงมิใช่ว่ามาเกลี้ยกล่อมให้เจ้าทำตามประสงค์ของไท่โฮ่วหรอกนะ?”

หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเย็นชาแล้วกล่าว “ในหัวใจเขามีเพียงตัวเขาผู้เดียวเท่านั้น ในสายตาเขา ผู้อื่นล้วนเป็นเพียงตัวหมากที่มีประโยชน์และไร้ประโยชน์เท่านั้น”

นี่มันช่างไร้ยางอายจริงๆ คนไร้ยางอายประเภทนี้ควรได้รับการลงโทษสถานหนัก มิเช่นนั้นเทพเจ้าคงตาบอดไปแล้ว

“ช่างเถอะ อย่าเอ่ยถึงเขาเลย หวังว่าก่อนพวกเราออกเดินทาง ฮ่องเต้จะพิจารณาโทษเขาเสียที ข้าอยากจะเห็นฉากต่อไปที่เขาต้องเผชิญ” หลินหลันกล่าวด้วยความวาดหวัง

หลี่หมิงอวินมองดูนางที่กำลังหน้าชื่นตาบานจึงเอ่ยถาม “เจ้าเหนื่อยแล้วมิใช่หรือ”

หลินหลันกล่าว “เมื่อครู่เหนื่อยมาก แต่ได้พักผ่อนหน่อยก็เลยดีขึ้นมากแล้ว”

หลี่หมิงอวินหรี่ตาลงเล็กน้อย ทันใดนั้นมือของเขาก็เริ่มซุกซนด้วยการไปกอบกุมอกอวบอิ่มของนางและฟอนเฟ้นมันเบาๆ “ในเมื่อหายเหนื่อยแล้ว พวกเขามาทำกันอีกสักรอบ?” เขาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

หลินหลันปัดมือของเขาทิ้งทันทีแล้วออกแรงผลักเขาขณะใบหน้าแดงก่ำ “ข้าเหนื่อยแล้ว อยากนอนพัก”

นางพลิกตัวไปขณะเอ่ยแล้วดึงผ้าห่มมาห่อหุ้มเรือนร่างไว้อย่างมิดชิด เมื่อนึกถึงระดับความเร่าร้อนเมื่อครู่นี้ หลินหลันอดหัวใจเต้นระรัวขึ้นมาไม่ได้

หลี่หมิงอวินแนบกายเข้าหาด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม มือข้างหนึ่งแทรกเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วคืบคลานไปยังช่วงท้องน้อยของนาง

เขากล่าวเสียงกระซิบพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าเหนื่อยแล้วก็ไม่ต้องขยับ ให้ข้าขยับเองก็พอ”

หลินหลันพยายามปัดป้องขณะหลบหลีก แต่กลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่เด็ดขาดเอาเสียเลย “ไม่ได้...”

หลี่หมิงอวินโน้มใบหน้าลงไปข้างใบหูของนางแล้วเอ่ยอย่างผู้น่าสงสาร “ข้าไม่ได้กลืนกินเจ้ามาตั้งนานเพียงนี้แล้ว ข้าโหยหาเจ้าจริงๆ นะ อีกอย่างหลังพวกเราออกเดินทางแล้ว ทว่ากลางกองทัพทหารนั่นคงไม่สะดวกสบาย ซึ่งข้าคงต้องอดทนไปอีก...หลันเอ๋อร์ ข้าขอเถอะนะ ตกลงหรือไม่ ข้าจะออกแรงให้เบาๆ หน่อย...” ขณะอ้อนวอน เขาส่งความแข็งแกร่งกดลงบนสะโพกของนางเป็นระยะๆ

เมื่อได้ยินเขาพูดอย่างน่าเวทนาเช่นนี้ หลินหลันจึงอดใจอ่อนไม่ได้ ฝ่ามือคู่น้อยของนางที่กระชับผ้าห่มไว้แน่นจึงคลายออกแต่โดยดี