บทที่ 12
[ควินซ์]
"พูดอีกทีสิ ใครดูแลใครกันแน่"
มองคนบนเตียงคนไข้อย่างเยาะเย้ยแล้วก้มหน้าปอกแอปเปิ้ลต่อ
"..." นับหนึ่งมุดเข้าผ้าห่มอย่างอับอาย
ผมได้แต่หัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหัวให้กับคนป่วย สองอาทิตย์ก่อนหน้านี้ พูดเป็นมั่นเป็นเหมาะเลยว่าจะดูแลผมอย่างนั้นอย่างนี้แต่ไปๆ มาๆ ก็เอาเป็นผมอยู่ดีที่ต้องมาตามดูแลตามเก็บเรื่องราวที่มันทำไว้
ถามว่าทำไมตอนนี้ถึงมาอยู่โรงพยาบาลได้ เมื่อสองวันก่อนเป็นวันหยยุดแล้วนับหนึ่งลากผมไปปีนเขาและอยากโชว์หรือยังไงไม่รู้ ทำเป็นปีนเขาเร็วทำเป็นเก่ง สรุปตกเขาแต่ดีที่ไม่เป็นอะไรมากไม่ได้หล่นจากที่ที่สูงนักแต่หัวกระแทกพื้นเลยให้นอนโรงพยาบาลดูอาการสักหน่อย
ถ้าไม่มีอาการอะไรแทรกซ้อนอีกสองสามวันก็ค่อยให้ออกจากโรงพยาบาล
"คราวหลังก็อย่าทำเป็นเก่ง" ผมลุกเอามีดไปเก็บ "แก่แล้ว ร่างกายไม่ได้แข็งแรงเท่าเด็กวัยรุ่นนะ"
"เลิกบ่นได้แล้ว มึงบ่นกูมาสองวันจนหูชาไปหมดแล้วนะ" นับหนึ่งลดผ้าห่มที่ใช้คลุมโปงลงเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่มีรอยถลอกรอยช้ำอันเป็นแผลจากการตกเขา
"แล้วใครมันทำให้กูต้องบ่น"
เดินกลับมานั่งเก้าอี้ข้างเตียงแล้วใช้ส้อมเล็กจิ้มแอปเปิ้ลเอาจ่อริมฝีปากนับหนึ่ง คนได้รับการดูแลทำเป็นฮึดฮัดเหมือนจะไม่อยากกินแต่พอเห็นผมจะชักมือกลับก็รีบหันมาอ้าปากงับเคี้ยวๆ กลืนผลไม้ลงไป
นิสัยเด็กจริงๆ
ผมป้อนแอปเปิ้ลไปได้ครึ่งจาน อีกฝ่ายก็ส่ายหัว ผมเลยหยิบน้ำมาให้กิน
"ออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไร" สีหน้าดูดีกว่าวันแรกที่มานอนโรงพยาบาลเยอะมาก
"ทำไม? อยากกลับไปทำงานแล้ว?" หยุดพักนานหน่อยจะลงแดงตายรึไง ผมอยากหยุดอีกสักหลายวันหน่อย เหตุผลเหรอ ขี้เกียจไง ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้แล้ว
"นิดหน่อย" นับหนึ่งทำหน้านึกถึงงานที่ยังค้างอยู่แล้วกุมหัวคล้ายปวดหัวจี๊ดขึ้นมา "งานมันเยอะนะ ควินซ์"
"งั้นเอางานมาทำที่นี่ก็ได้"
เข้าใจว่าความชอบของนับหนึ่งคือการทำงานแต่ต้องควบคุมปริมาณงานให้มันอยู่ในระดับที่พอดี มันมีคนประเภทหนึ่งที่ชอบทำงานและนับหนึ่งก็เป็นคนแบบนั้น
ผมรู้ว่ายังไงเขาก็ไม่สามารถทำตัวแบบพี่ออสตินที่แม้จะมีธุรกิจหลายแสนล้านในมือแต่ทำตัวว่างงานได้ หรือทำตัวแบบนับสองที่ออกไปใช้ชีวิตเรียนรู้โลกไม่ได้เอาเวลาทั้งชีวิตไปผูกกับการทำงานอย่างเดียว
ตอนนี้ผมเองก็เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของนับหนึ่งแล้ว เพิ่มวันหยุดให้ตัวเอง ออกไปเที่ยวเล่นและกำลังหางานอดิเรกใหม่ๆ นอกจากการนั่งอ่านหนังสือธุรกิจ ดูข่าวหุ้นไปวันๆ
เป็นเรื่องที่ผมปลื้มใจมากแต่ไม่ได้พูดอะไรให้มันได้ใจ อยากรู้ว่ามันจะเปลี่ยนไปได้ขนาดไหนและพยายามได้เท่าไร
แต่สองอาทิตย์มานี้ทุกอย่างดีมากจริงๆ
ชอบหาอะไรน่ารักๆ มาให้ผม จีบผมไม่ต่างจากเด็กมัธยมวัยใส ชวนผมไปดูหนังรักโรแมนติกทั้งที่ตัวเองไม่ชอบ ดอกไม้ยังคงส่งมาให้ทุกวันแต่เริ่มเปลี่ยนมาเป็นดอกไม้พร้อมกระถาง
จนผมต้องเอาไปไว้ที่ชั้นดาดฟ้าของบริษัทแล้วดูแลรดน้ำ ผ่านมาสองสัปดาห์ก็สิบสี่วันรวมแล้วตอนนี้มีดอกไม้สิบสี่กระถางแล้ว อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะสรรหาดอกไม้มาให้ผมได้สักกี่กระถาง
"มึงให้กูเอางานมาทำได้จริงอะ?" นับหนึ่งอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ผมหลุดจากภวังค์ความคิดแล้วหันไปมองหน้าคนบนเตียงที่กำลังตาแววเหมือนเด็กได้ของเล่นแล้วอ่อนใจนิดๆ
"อืม" พยักหน้าแล้วพูดดักไว้ก่อน "แต่ห้ามทำงานหนัก"
"โอเค"
หันไปมองนาฬิกาเพื่อดูเวลา "ให้ทำงานแค่สามชั่วโมงพอนะ"
"เฮ้ย น้อยไป" นับหนึ่งส่ายหน้า "สักห้าชั่วโมง"
"งั้นไม่ต้องทำ"
"สี่ชั่วโมงก็ได้!" ต่อรอง
"ไม่"
"สามชั่วโมงครึ่ง!"
ผมลูบคางแสร้งทำเป็นลำบากใจคิดหนักและสุดท้ายก็พยักหน้า "ก็ได้ สามชั่วโมงครึ่งก็ได้" นับดูแล้วถ้าเริ่มทำงานตอนนี้ก็จะเสร็จงานประมาณสี่โมงครึ่งพอดี
ตั้งใจว่าตอนเย็นจะพาไปเดินสูดอากาศที่สวนด้านล่าง อุดอู้อยู่แต่ในห้องสีขาวแบบนี้มันไม่สดชื่นหรอก
นับหนึ่งที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในเวลาที่น้อยนิดในความคิดของเขาดูจะไม่พอใจเท่าไรแต่ไม่กล้าแย้งอะไรเพราะกลัวว่าผมจะลดเวลาให้น้อยลงไปอีก
ผมโทรบอกให้เนบิวล่าเอางานเข้ามา อันที่จริงผมเตรียมไว้ให้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วเพราะรู้ว่าวันนี้นับหนึ่งคงกระสับกระส่ายอยากทำงานแน่ๆ
เคยเห็นคนลงแดงเพราะไม่ได้ทำงานมั้ย
อนาคตอาจจะมีนับหนึ่งเป็นคนแรก
เนบิวล่ากับผู้ติดตามอีกสามคนช่วยกันหอบแฟ้มหอบโน๊ตบุ๊กเข้ามา ผมให้เอาไปวางบนโซฟาก่อนแล้วบอกให้ออกไป นับหนึ่งลงจากเตียงแล้วลากเสาน้ำเกลือมานั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะตัวใหญ่
ผมเอาโน๊ตบุ๊กไปให้นับหนึ่งก่อนแล้วมาดูแฟ้มเอกสารที่จำเป็นต้องจัดการก่อนออกมา
เมื่อเข้าสู่โหมดทำงาน บรรยากาศผ่อนคลายในห้องพักผู้ป่วยจึงเคร่งขรึมขึ้น เวลาสามชั่วโมงครึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วและงานก็เสร็จไปพอสมควร ครบตามเวลาที่กำหนดแล้วจึงยื่นมือดึงปากกาในมือของนับหนึ่งออกมา
คนที่จมอยู่กับการทำงานจนลืมรอบข้างพลันได้สติขึ้นมา เขาชะงักมองมือที่ว่างเปล่าก่อนจะเงยหน้ามองผมตาละห้อย
"ครบแล้วเหรอ"
"ใช่" ผมพยักหน้าแล้วเดินไปเอารถเข็นมา "ไปเดินเล่นกันเถอะ"
เมื่อกี้ก่อนจะมาดึงปากกาออกจากมือนับหนึ่ง ผมเดินไปเปิดม่านดูท้องฟ้าอากาศข้างนอกพบว่ากำลังดี แดดกำลังตกน่าจะเย็นสบายอยู่
"อยากกินกาแฟ" คนป่วยบอกความต้องการออกมาพร้อมขยับตัวนั่งลงบนรถเข็น
"เอาสิ" ผมแขวนถุงน้ำเกลือเข้ากับเสาน้ำเกลือของรถเข็นก่อน "กูอยากกินชานม ไปกันเถอะ"
ร้านกาแฟภายในโรงพยาบาลมีอยู่แถมอร่อยด้วย เราเดินไปซื้อน้ำกันก่อนแล้วค่อยไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ ผมเข็นรถได้ไม่นานก็เหนื่อย เปลี่ยนให้ผู้ติดตามมาทำแทนแล้วตัวเองเดินชิวๆ สบายๆ อยู่ข้างกายคนป่วย
ผมเดินเข้าไปซื้อน้ำกับคุกกี้ ฝากขนมไว้บนตักของนับหนึ่งก่อนจะส่งกาแฟให้
"ควินซ์ อยากกลับบ้านแล้ว" นับหนึ่งบ่นอย่างหงุดหงิด "ผลตรวจก็ไม่เป็นอะไรแล้วจะอยู่โรงพยาบาลต่อทำไม"
"อยู่อีกสักวันสองวัน บริษัทมึงไม่เจ๊งหรอก" แขวะไปคำแล้วมองไปรอบๆ เพื่อหาเก้าอี้นั่งพัก
"แต่ที่นี่มันน่าอึดอัด ไม่ชอบ" เอาแก้วกาแฟให้ผมถือแล้วตัวเองนั่งแกะคุกกี้กิน "กูไม่ชอบกลิ่นยา"
"งั้นคราวหลังจะทำอะไรก็ดูสังขารตัวเองด้วย"
"รู้แล้ว" นับหนึ่งเห็นผมทำท่าจะเทศนามันอีกเลยกระตุกแขนผมแล้วหยิบคุกกี้ยัดใส่ปากผมเป็นการอุดปากให้เงียบ
ผมถลึงตาตอบไปเพราะในปากมีคุกกี้อยู่จึงพูดอะไรไม่ได้ เดินวนรอบสวนดอกไม้ได้รอบหนึ่งก็หามุมดีๆ เจอแล้ว พวกผู้ติดตามถอยห่างออกไปแต่ไม่ได้ไปไกลนัก ยังคงรักษาความปลอดภัยอยู่รอบๆ
"ว่าไง ให้กลับบ้านได้ยัง" นับหนึ่งยังไม่ยอมจบเรื่องนี้
"กลับบ้านได้ แต่อย่าเพิ่งไปทำงาน" หัวเพิ่งจะกระแทกมานะ สมควรพักผ่อนก่อนมั้ย
"กูไม่เป็นไรแล้ว ไปทำงานได้"
"ได้ มึงกลับไปทำงาน กูกลับไทย" ผมตอบหน้าตายพร้อมกัดหลอดดูดชานมไปด้วย
คนฟังแทบทำแก้วกาแฟร่วง "มึงกล้าเหรอ!"
"แล้วทำไมกูจะไม่กล้า" ตอนนี้ผมเป็นต่ออยู่นะ นับหนึ่งไม่กล้าให้ผมห่างไปไหนหรอก เพราะเวลานี้เจ้าตัวกำลังพยายามทำคะแนนสร้างความมั่นใจให้ผมอยู่ "ที่นี่มีผู้ช่วยอันอยู่ ไม่ต้องมีกูก็ได้ บริษัทที่ไทยต้องการกูมากกว่า"
ผมพูดความจริง ที่นี่มีผู้ช่วยอันหมิงอยู่แล้ว คนคนนี้เก่งมากแถมควบคุมดูแลงานที่จีนยังไงก็ต้องเก่งกว่าผมเป็นธรรมดา ดังนั้นการที่ผมจะกลับไปทำงานที่ไทยมันน่าจะดีกับบริษัท
ดีกับบริษัทแต่ไม่ดีกับตัวเจ้าของบริษัทที่กำลังตามจีบผมเช้าเย็น หึหึ
"ไม่ให้กลับ!" นับหนึ่งแทบจะปาถุงคุกกี้ใส่ผมแต่เจอสายตาดุๆ จากผมไปจึงหดมือหดไม้ว่าเสียงอ่อน "บริษัทต้องการมึงแล้วกูไม่ต้องการมึงรึไง"
"หึ"
"ยังไงก็ไม่ให้กลับ!" ท่าทางดื้อรั้นแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน "ถ้ามึงกลับไปแล้วใครจะดูแลกู!"
"ไหนมึงบอกจะเป็นคนดูแลกูไง"
"ไม่เอาแล้ว" นับหนึ่งโวยไม่ยอม "มึงดูแลกูเหมือนเดิม ไม่ดูแลมึงแล้ว!"
"..." ผม
ขอทุบมันสักทีได้มั้ย
ผมไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกับนับหนึ่ง โอเค คำพูดอาจจะไม่ดีเท่าไรแต่เข้าใจว่ามันไม่อยากให้ผมกลับไทยเลยอยากให้ผมดูแลมันต่อเหมือนที่ผ่านมา แต่มาพูดว่าจะไม่ดูแลผมแล้วนี่มันน่าถีบจริงๆ
"งั้นอยู่ที่จีนมึงไม่ต้องเป็นเลขากูก็ได้ มาเป็นคนดูแลกูดีกว่า" นับหนึ่งปรบมือเสียงดังเมื่อคิดว่าไอเดียของตัวเองนั้นบรรเจิดขนาดไหน
"มึงเป็นง่อยหรือไง" เออ ถึงต้องมีคนดูแลอะ
"ไม่รู้เว้ย ยังไงก็ไม่ให้มึงกลับไทย!" นัยน์ตาคมกริบหลุกหลิกอย่างชั่วร้าย "ถ้ามึงกลับ กูจะขังมึงไว้ที่บ้าน!"
ผัวะ!
"โอ๊ย ตบกูทำไม!" นับหนึ่งร้องลั่นแล้วจับหัวตัวเองอย่างเจ็บๆ
"ตบเรียกสติไง" จิ้มนิ้วไปที่หัวของมัน "กูว่ามึงดูจำเลยรักมากไปแล้ว เลิกนะ ดูละครแล้วทำตาม"
"กูไม่เคยดูจำเลยรัก!"
ขนาดไม่ได้ดูยังจะมากักขังผมอีก เชื่อเขาเลย
"เอาเถอะ" ส่ายหัวแล้วเดินเอาแก้วชานมกับแก้วกาแฟที่หมดแล้วไปทิ้ง "ขึ้นห้องเถอะ"
เริ่มอากาศเย็นแล้วกลัวว่าคนสุขภาพขึ้นๆ ลงๆ จะป่วยเลยคิดพาขึ้นห้องพัก นับหนึ่งพยักหน้าแล้วหันไปกวักมือเรียกผู้ติดตามให้มาเข็นรถ
เมื่อกลับถึงห้องแล้วทางโรงพยาบาลก็เอาอาหารมื้อเย็นเข้ามาให้ ระหว่างกินข้าวเหมือนนับหนึ่งเพิ่งนึกขึ้นได้เลยพูดกับผม
"มึงยังไม่ตอบเลยนะ กลับบ้านได้ยัง"
มัวแต่ทะเลาะเลยลืมประเด็นหลักไป "จะทำเรื่องออกให้พรุ่งนี้เช้า แต่มึงต้องพักอยู่บ้านอีกสองวัน ทำงานอยู่บ้านก็ได้"
ไปทำงานบริษัทมันจะวุ่นวายและหนักหน่อยเพราะจะมีคนขึ้นมาหาพูดคุยงานเกือบตลอด เพิ่งหัวกระแทกมาเกรงว่าใช้สมองมากๆ จะปวดหัว
ผมเลยอยากให้เขาพักก่อน
"ก็ได้" นับหนึ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง "ขอแค่ออกจากโรงพยาบาลก็พอ"
หลังจากตกลงได้แล้วเมื่อกินข้าวเสร็จ ผมก็ออกไปแจ้งกับพยาบาลทำเรื่องให้เรียบร้อย เมื่อกลับมาก็เห็นนับหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่โซฟาตัวใหญ่เล่นไอแพดผมอยู่
"ทำอะไร" เดินไปนั่งข้างๆ
"ดูหนังกัน" เขาชวนผมแล้วยื่นหนังมาให้เลือก
เรานั่งอิงแอบใกล้ชิดดูหนังกันจนถึงเที่ยงคืน นับหนึ่งที่เอาแต่คลอเคลียกอดตัวผมระหว่างดูหนังทำหน้าเป็นลูกน้อยถูกทิ้งไม่อยากปล่อยเมื่อหนังจบ แถมยังทำท่าจะให้ผมไปนอนบนเตียงคนไข้ด้วยกันอีก
ผมถลึงตาใส่ไปที "โรงพยาบาล! อย่ามารุ่มร่าม!"
นับหนึ่งยอมปล่อยด้วยท่าทีไม่อยากปล่อย ทำหน้างอนแล้วหนีขึ้นไปนอนบนเตียง ผมส่ายหน้าอย่างจนใจแล้วไปปรับโซฟาให้เป็นเตียงนอนก่อนจากนั้นค่อยไปปิดไฟ
พรุ่งนี้ออกจากโรงพยาบาลแล้วก่อนกลับบ้าน
ชวนนับหนึ่งไปดูละครเวทีดีกว่า
อืม ไปเดต :)
"คุณควินซ์ครับ เซ็นต์รับด้วยครับ"
ผมคิ้วกระตุกมองต้นกระบองเพชรในมือของพนักงานส่งของอย่างพูดไม่ออก ช่วงนี้นอกจากได้รับดอกไม้แล้วยังได้ต้นไม้มาอีก แต่ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะถูกจีบด้วยต้นกระบองเพชรดูมุ้งมิ้งน่ารัก
ตอนนี้กลับมาทำงานที่ประเทศไทยแล้ว ตอนอยู่ที่จีนเอาดอกไม้มาให้แต่พออยู่ไทยดันเปลี่ยนมาให้ต้นไม้แทน
เมื่อวานมันให้ต้นว่านหางจระเข้มา
ถามจริงเถอะ ใครมันจีบคนแบบนี้ฮะ!
"วันนี้มีสองต้นครับ คุณควินต์" พนักงานส่งของยกอีกกระถางมาให้ผม
"นี่มันอะไรกัน"
"ต้นกะเพราไงครับ"
"ผมรู้!" ผมรู้สึกเหมือนความดันจะขึ้นและกำลังจะอารมณ์เสียเลยโบกมือให้พนักงานส่งของกลับไปจากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้นุ่มอย่างปวดหัวจัด "เฮ้อ"
จริงๆ ผมแอบคุยกับเก้ามานะ เก้าแอบบอกว่าได้บอกเทคนิคการจีบไปบ้างแล้วและผมเชื่อมั่นว่าผู้ชายคนนี้คงไม่มีทางแนะนำให้นับหนึ่งเอาต้นไม้แบบนี้มาจีบผมแน่ๆ
ความคิดมันเองหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ชัวร์ป้าบ
นั่งหมดแรงมองต้นไม้สองต้นอย่างอยากจะเอาไปทุ่มหน้าไอ้บอสในห้องจริงๆ แต่มันดันมีแขกและกำลังคุยงานสำคัญอยู่เลยต้องสงบสติอย่างหนัก
กำลังจะลุกเอาต้นกะเพราไปไว้รวมกับต้นไม้ต้นอื่นๆ ในเรือนกระจกที่อยู่บนดาดฟ้าแต่ดันมีคนมาใหม่หยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของผมซะก่อน
"อ้าว นับสอง" ผมตกใจนิดหน่อยก่อนจะยิ้มกว้าง
"ฮายยย! คิดถึงนับเปล่า!" นับสองยิ้มหัวเราะแล้วชูของในมือให้ดู "มีของมาฝากด้วย!"
ผมกลับไทยมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว กลับมาก็ได้ข่าวว่านับสองไปดูไบแต่ไปกับไนน์ไม่ได้ไปกับเก้า มีหลายครั้งที่เก้าไปทำงานจนไม่สามารถไปเที่ยวกับนับสองได้ คนที่มักไปเที่ยวด้วยมักเป็นไนน์ไม่ก็น้องไวท์น้องชายา
แต่นับสองก็ไม่ได้งอนอะไร น้องบอกว่าชีวิตคนเราก็ต้องมีเพื่อน มีพื้นที่ส่วนตัว ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันตลอด และการเที่ยวกับเพื่อนมันก็ไม่ได้แย่ มีความสุขไปอีกแบบ
เห็นน้องมองโลกในแง่ดีได้ขนาดนี้ บอกเลยว่ากว่าจะมองโลกได้ดีขนาดนี้ น้องเขาก็มองโลกแง่ลบสุดโต่งมาแล้วแต่โชคดีที่น้องทำตามคำแนะนำจิตแพทย์นักบำบัดบวกกับความพยายามของตัวเองเลยกลายเป็นคนที่สดใสอย่างแท้จริง
ผมยิ้มเอ็นดูแล้วรับของมาดู "ได้อะไรมาฝากพี่เนี่ย"
เปิดถุงดูพบว่ามีกล่องกำมะหยี่เล็กใหญ่อยู่หลายกล่องเลยเดาว่าน่าจะเป็นเครื่องประดับ เปิดดูอีกถุงพบว่าเป็นช็อกโกแลตจึงหยิบออกมาดูก่อน
"อันนี้เป็นช็อกโกแลตนมอูฐ อร่อยนะ!" น้องนั่งลงตรงข้ามแล้วโฆษณาให้ฟัง
"ไปเที่ยวไหนมาบ้าง สนุกมั้ย" บางทีผมก็รู้สึกว่าตัวเองทำตัวเหมือนเป็นแม่นับสองเข้าไปทุกวัน
นับสองได้ยินแล้วก็ตาวาววับรีบเล่าให้ฟังหมดเปลือก ฟังไปฟังมาเริ่มคิ้วกระตุกเมื่อนับสองพูดถึงผู้ชายหล่อๆ ที่เจอในดูไบ บรรยายความหล่อชนิดไม่เกรงใจสามีตัวเองเลย
"อะแฮ่ม" ผมกระแอมไอเบาๆ เรียกสตินับสอง "เบาได้เบานะ"
"ก็แค่อาหารตาอาหารใจ" น้องโบกมือไปมาแล้วเงียบไปเมื่อสังเกตเห็นอะไรบางอย่างบนโต๊ะผม "นี่มันต้นกะเพราไม่ใช่เหรอ มาอยู่อะไรตรงนี้"
ผมนึกได้ว่ายังไม่ได้เก็บต้นไม้ก็หน้าแดงอับอายขึ้นมา "ขึ้นไปดูเรือนกระจกกับพี่หน่อยไป"
ว่าจบก็ลุกขึ้นหยิบยกกระถางต้นกะเพราเดินนำนับสองงุนงงขึ้นไปยังชั้นดาดฟ้า น้องตามมาอย่างไม่เข้าใจยิ่งเข้ามาในเรือนกระจกยิ่งงงกว่าเดิม
"ทำไมมีต้นมะเขือด้วย!" น้องหันไปมองอีกด้านก็พบว่าเป็นไม้ประดับสวยงามปกติแต่ฝั่งนี้มีแต่ต้นผักต้นสมุนไพรที่ไม่เข้ากันอยู่ในนี้ด้วย
"ไปถามพี่ชายตัวดีของนับสิ" ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้ววางต้นกะเพราลงไปข้างๆ ต้นมะเขือที่ได้มาเมื่อสามวันก่อน
นับสองกลอกตาไปมามองซ้ายมองขวาเพื่อใช้ความคิดแล้วคาดเดา "อย่าบอกนะว่าป๋าเอาต้นไม้พวกนี้มาจีบพี่?"
"อืม" ไม่อยากจะตอบสักเท่าไรแต่ไม่มีอะไรต้องปิดบัง "ไปกระซิบบอกเขาหน่อยไปว่าไม่ต้องให้อะไรพี่แล้วก็ได้"
ยิ่งรับมายิ่งปวดหัวมากกว่าจะซาบซึ้งใจเต้น
"เฮ้อ ผมเชื่อเลยจริงๆ" น้องชายส่ายหัวไปมาจะขำก็ขำไม่ออกแล้วเดินวนดูต้นไม้ต้นอื่นๆ "จีบแบบนี้จะติดชาติไหนเนี่ย พี่ควินซ์ พี่คิดแง่ดีสิ!"
"แง่ดี?"
"ก็แบบอยากสื่อให้พี่ทำอาหารให้รึเปล่า" คนมองโลกแง่ดีพยายามหาเหตุผลมาช่วยพี่ชาย "แบบผักที่พี่ปลูกเองด้วยความใส่ใจ แล้วพี่เอามาทำอาหารด้วยความรัก ทำเพื่อเขา โรแมนติกจะตาย"
"พอเลย ไปอยู่กับพี่ชายเลยไป" โรแมนติกอะไร เหนื่อยที่ต้องมารดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยอีก "เขาไม่น่าจะคิดซับซ้อนขนาดนั้น คงอยากทำอะไรประหลาดๆ ให้แตกต่างมากกว่า"
"เออ ก็จริง" นับสองพยักหน้าหงึกหงักว่าเสียงใส "พี่ผมมันก็แปลกๆ ประหลาดๆ ตลอดอะ"
"..." ผม
ผมยิ้มบางแล้วเดินไปหยิบบัวรดน้ำเพื่อมารดต้นไม้ ส่วนนับสองยังคงเดินดูรอบๆ เจอต้นไหนถูกใจก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป
เดินรดน้ำได้ครึ่งหนึ่งเท่านั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมฟังครู่หนึ่งพบว่าเป็นของตัวเองจึงหยิบออกมากดรับ คิดไม่ผิดจริงๆ คนที่โทรมาคือนับหนึ่ง
"มีอะไร"
(อยู่ไหน) เสียงนับหนึ่งดูเหนื่อยๆ (วันนี้ไม่ทำงานแล้ว กลับบ้านๆๆ)
"เป็นอะไร ตอนนี้อยู่เรือนกระจก" ผมขมวดคิ้วแล้ววางบัวรดน้ำลงวางกับพื้น
(หุ้นตก) เสียงขบกรามแน่นบ่งบอกอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่น (ช่างเถอะ)
ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย "เกิดอะไรขึ้น"
(เดี๋ยวเล่าให้ฟัง ไปกินข้าว กลับบ้านกัน)
"โอเคๆ" ผมรีบตอบรับแล้วเก็บโทรศัพท์และไม่ลืมหันไปชวนนับสอง "นับหนึ่งมีปัญหานิดหน่อย จะไปกินข้าวแล้วก็กลับบ้าน ไปด้วยกันเถอะ"
น้องส่ายหัว "ไม่เป็นไร ผมมากับพี่ไนน์ เขาอยู่ร้านกาแฟตึกตรงข้ามนี่เอง"
"งั้นพี่ไปก่อนนะ" ผมเป็นห่วงนับหนึ่งเลยจะรีบไปดู ไม่รู้ป่านนี้หัวเสียไปถึงไหนแล้ว
นับสองเห็นท่าทางห่วงใยและร้อนรนของผมแล้วก็อมยิ้มกริ่มคล้ายพึงพอใจ
"พี่ควินซ์"
ตอนผมกำลังจะก้าวพ้นประตูเรือนกระจกนั้น นับสองได้เรียกผมไว้ก่อน ผมหันกลับไปมองแล้วพบเข้ากับรอยยิ้มอบอุ่นแววตาจริงจังระคนอ่อนโยน แววตาของผมสะท้อนความงุนงงออกมาประมาณว่าเรียกทำไม มีอะไรรึเปล่า
"ขอบคุณ"
"..."
"แล้วก็ฝากดูแลพี่ชายผมด้วยนะครับ"
เหมือนหัวใจจะเต้นแรงขึ้นมาเล็กน้อย กระบอกตาร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแถมยังมีก้อนแข็งๆ มาจุกที่คอให้ความอึดอัดจนอยากร้องไห้ออกมา
มันเป็นคำพูดง่ายๆ เหมือนจะไม่มีอะไรแต่คำพูดของนับสองมันคือการยอมรับหมดใจและวางใจที่จะฝากฝังนับหนึ่งไว้กับผม
ผมกำมือแน่นแล้วพยักหน้าส่งยิ้มตอบกลับไป
"วางใจเถอะ"
"..."
"นอกจากพี่คงไม่มีใครดูแลนับหนึ่งได้อีกแล้ว"
เขาเป็นของผม
จะให้คนอื่นดูแลได้ยังไง
อา ผมต้องไปดูแลเด็กชายนับหนึ่งแล้ว
ไม่รู้ป่านนี้จะหน้าบึ้งหน้าตึงร้องไห้รึยัง
ต้องรีบไปปลอบ :)