webnovel

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา... แม้โชคชะตาจะกำหนดให้ชีวิตเขามิอาจยืนยาว แต่เขาก็อยากจะพลิกชะตาฟ้า ท้าลิขิตสวรรค์! ระดับขั้นการบำเพ็ญเพียรแบ่งออกเป็น 9 ขั้น 1.ขั้นรวบรวมพลังจิต 2.ขั้นกำหนดดวงดาว 3.ขั้นชำระกระดูก 4.ขั้นถอดจิต 5.ขั้นทะลวงอเวจี 6.ขั้นรวบรวมดวงดาว 7.ขั้นบริวารเทพศักดิ์สิทธิ์ / ขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ 8.ขั้นอำพรางเทพ 9.ขั้นมหาอิสระ

มาวนี่ · ตะวันออก
Not enough ratings
1076 Chs

ส่วนที่ 1 ตอนที่ 006

ตอนที่ 6 เปิดตำราแล้วยินดี

เฉินฉางเซิงพลันหยุดก้าวเดิน หันหลังกลับมองไปยังอาจารย์อย่างไม่เข้าใจ หลังจากนั้นเขาเพิ่งนึกถึงผู้คนที่ได้เห็นก่อนหน้านี้ออก จึงเข้าใจสาเหตุที่ฝ่ายตรงข้ามโมโห ผู้เข้ารับการทดสอบที่ยังไม่สามารถผ่านการชำระล้างกระดูก หลังจากนั้นคงจะถอยกลับไปด้วยความห่อเหี่ยว อาจารย์ท่านนั้นคงคิดว่าตนควรที่เป็นเช่นนั้น แต่ว่าเขากลับเดินไปข้างหน้าต่อ คิดดูแล้วคงจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่ยินดี

เขาไม่อยากเสียเวลาไปกับการทะเลาะวิวาทและเข้าใจผิดอย่างไร้ความหมาย เขามุ่งตรงไปยังอาจารย์ที่กำลังลุกขึ้นยืนท่านนั้นแล้วทำความเคารพด้วยความจริงจัง อธิบายออกไปว่า “อาจารย์ ข้ามิได้ก่อกวน”

อาจารย์ท่านนั้นกำลังเตรียมที่จะดุด่าเขา อยู่สนามสอบที่เป็นทางการจะมีจุดมุ่งหมายในการก่อกวนเพราะเหตุใด ทันทีได้ยินประโยคที่เขาแย่งพูดขึ้นก่อน จึงหยุดนิ่ง สะกดกลั้นความเหลือทนไว้ ถอดถอนหายใจออกมาสองที ด่าออกไปว่า “แล้วเหตุใดเจ้ายังไม่รีบถอยออกไป!”

หนุ่มน้อยที่เข้าแถวเพื่อรอสอบที่อยู่ถัดจากเฉินฉางเซิง รอคอยจนรู้สึกกระวนกระวายใจ เวลานี้ได้พบเจอเขาที่ไม่ยอมจากไป คิดว่าเขาทำตัวปลิ้นปล้อนเพราะโกรธเป็นอย่างมาก จึงได้โต้เถียงกับอาจารย์ออกมา ถูกผู้คนหัวเราะเยาะเขาคงทุกข์ทรมานเสียใจจนเป็นบ้า

เฉินฉางเซิงเอาคำพูดและเสียงหัวเราะเยาะเหล่านั้นฟังอยู่ในหู แต่ลักษณะท่าทางกลับมิได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างใด ที่จริงมองดูแล้วไม่เหมือนหนุ่มน้อยอายุสิบสี่ปี ความเงียบสงบคงจะทำให้ผู้คนทำอะไรไม่ถูก เขามองไปยังอาจารย์ท่านนั้น จึงทักทายด้วยความเคารพอีกครั้ง กล่าวอย่างทั่วถึงว่า “ข้าไม่เคยบำเพ็ญเพียร แต่ว่าข้ายังคงสามารถสมัครสำนักเทียนเต้าได้”

อาจารย์นิ่งอึ้งไป ไม่รู้ว่าหนุ่มน้อยคนนี้อยากจะกล่าวอะไร ในเมื่อแม้แต่การชำระล้างกระดูกเจ้ายังไม่สำเร็จ แล้วจะมีคุณสมบัติเข้าร่วมการสอบต่อไปได้อย่างไรเล่า หลายปีผ่านมานี้เคยมีผู้ใดได้อภิสิทธิ์พิเศษหรือ ถึงแม้ว่าจะมี เจ้าคิดว่าจะสับเปลี่ยนมาถึงตัวเจ้ารึ

เฉินฉางเซิงกล่าวต่อ “ตามกฎของสำนักเทียนเต้าบทที่สิบเจ็ดข้อที่สี่วรรคหมายเหตุที่แปด การสมัครสอบเข้าสำนักโดยการใช้ข้อสอบมีเพียงมาตรฐานเดียว เมื่อสิบเอ็ดปีก่อนเจ้ากรมอาญาคนก่อนก็เคยตัดสินกรณีนี้มาแล้ว”

มองดูเสื้อผ้าที่เขาสวมอย่างเรียบง่าย อาจารย์ท่านนั้นหลังจากได้สติเตรียมที่จะตำหนิ ไม่ใช่เพราะรังเกียจความยากจนชื่นชอบความร่ำรวย แต่เดิมทีไม่เชื่อว่าหนุ่มน้อยที่มาจากหมู่บ้านทุรกันดารไกลโพ้นคนนี้ เขาจะเทียบกับผู้ควบคุมการสอบขั้นที่หนึ่งที่ดูแลการทดสอบมาหลายปีและเข้าใจกฎของสำนักเทียนเต้ามากกว่าได้หรือ อะไรคือข้อหมายเหตุ...ในกฎของสำนักมีหัวข้อนี้ด้วยหรือ เหตุใดตนไม่รู้สึกคุ้นแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตามตอนที่เขากำลังจะเตรียมเรียกให้คนนำตัวของหนุ่มน้อยออกไป พลันได้ยินคำว่า ‘เจ้ากรมอาญา’ อดไม่ได้ที่จะตื่นตกใจ ประโยคที่จะเอ่ยออกมาจึงนำกลับไปเสีย

เดิมทีกรมอาญาเป็นแผนกเกี่ยวกับบุคคลในราชวงศ์ต้าโจวซึ่งเป็นหน่วยงานที่ไม่โดดเด่นนัก พร้อมกับที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เริ่มปกครองบ้านเมือง เนื่องจากผู้อาวุโสที่ครอบครัวนางเคารพนับถือเป็นขุนนางที่ขึ้นชื่อเรื่องความเหี้ยมโหด เขาได้จัดการกับกรมจัดระเบียบขุนนางจนแปรเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ไม่รู้ว่าขุนนางอาวุโส ขุนพลในเชื้อพระวงศ์ที่ซื่อสัตย์สุจริตที่อยู่กันแบบสามัญชนปกติทั่วไปเสียชีวิตกันไม่รู้กี่หลังคาเรือน ชื่อนี้ทำให้ขุนนางทั้งเล็กใหญ่ในราชวงศ์ต้าโจวทั้งหมดเพียงได้ยินชื่อพลันอกสั่นขวัญหาย

สำนักเทียนเต้าถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในการปกครองของกรมอาญา แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเกรงกลัวอยู่บ้าง สิ่งที่ทำให้อาจารย์ท่านนี้ไม่สงบอย่างยิ่งก็คือ เพราะว่ากรมอาญาอยากจะลบล้างชื่อเสียงที่ไม่ดี จึงให้ความสำคัญกับละครพื้นบ้าน พบปะกับประชาชนที่มาร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม ถ้าจะกล่าวถึงคำว่า ‘เหตุผล’ หากกฎระเบียบของสำนักเทียนเต้ามีข้อระเบียบดังเช่นที่หนุ่มน้อยเอ่ยถึงจริง เกรงว่าจะเกิดความยุ่งยากเสียแล้ว...

จ้องมองเฉินฉางเซิงที่มีท่าทางสงบนิ่ง ทันใดนั้นอาจารย์ท่านนี้จึงรู้สึกไม่มั่นใจในตนเองเล็กน้อย เขาลังเลชั่วขณะ ขมวดคิ้วพลางด่าทอไปยังข้างหลังขบวนแถวไม่กี่ประโยค จึงหันตัวจากไป มิรู้ว่าไปที่ใด เสียงด่าทอของกลุ่มคน เสียงยั่วเย้าค่อยๆ หยุดลง เปลี่ยนเป็นกระซิบกระซาบ ไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น

เวลาผ่านไปชั่วครู่ อาจารย์ท่านนั้นถึงจะกลับมา จ้องมองไปยังเฉินฉางเซิงด้วยสายตาที่สลับซับซ้อน

เฉินฉางเซิงรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามก่อนหน้านี้คงจะไปตรวจดูกฎระเบียบของสำนัก ทั้งยังเห็นข้อหมายเหตุที่ตนได้เอ่ยถึงแล้ว เมื่อตอนเขายังเด็กอยู่ที่วัดท่องตำราไม่หยุดไม่หย่อน คัมภีร์สามพันเล่มล้วนอยู่ในสมอง คัมภีร์กี่บทต่อกี่บทก็ท่องจนชำนาญ แม้แต่กฎระเบียบของบ้านเมืองและรายละเอียดของประเพณี ล้วนแต่อ่านไม่รู้กี่รอบ เป็นธรรมดาที่จะไม่จำผิดเป็นแน่

“ถึงแม้ว่าเจ้าจะได้สอบต่อ ก็คงไม่มีโอกาสแต่อย่างใด เหตุใดต้องทำให้เสียเวลาเล่า”

อาจารย์มองเฉินฉางเซิงด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก กล่าวออกไปด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก

เฉินฉางเซิงกล่าวตอบ “ศิษย์ยังอยากลองดู”

อาจารย์กล่าว “เจ้ายังไม่สำเร็จการชำระล้างกระดูก แล้วเจ้าจะสามารถแก้ปัญหาได้หรือ และเจ้ายังจะสิ้นเปลืองสมองอีกด้วย แน่ใจว่าจะสอบรึ”

ประโยคนี้แท้จริงแล้วไม่ได้กล่าวหลอก หลังจากชำระล้างกระดูกจิตใจจะใสสะอาด นอกจากระดับความแข็งแรงของร่างกายที่แตกต่างก็คือระดับความแกร่งกล้าของจิตญาณ นี่คือชะตากรรมที่มีมาแต่กำเนิด พละกำลังของคนธรรมดาไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ ยังไม่เคยชำระล้างกระดูกคงไม่มีทางทำหัวข้อที่สุดแสนยากได้ จนกระทั่งอาจจะได้รับบาดแผลที่รุนแรง ดังนั้นโต๊ะของเพิงไม้ไผ่ บนโต๊ะมีหินหน่วงนำสีดำที่กลายเป็นด่านตรวจสอบที่จะต้องผ่านเป็นด่านแรก เพียงแค่ไม่สามารถทำให้หินสีดำเปล่งแสงสว่างจะต้องถูกคัดออก เช่นนี้จึงกลายเป็นข้อปฏิบัติหรือสิ่งที่ทุกคนย่อมรู้ ดังนั้นคนพ่ายแพ้ก่อนหน้านี้ไม่มีการเอ่ยถึงข้อคิดเห็นที่แตกต่าง จนกระทั่งปรากฏความแปลกประหลาดของเฉินฉางเซิงขึ้น

เฉินฉางเซิงกล่าวอย่างเคารพ “ศิษย์แน่ใจว่าจะสอบ”

สีหน้าของอาจารย์ไม่ดีมากนัก ในใจครุ่นคิดว่าเจ้าคงยังไม่รู้ว่ากฎระเบียบที่บังเอิญไปอ่านเจอจะทำให้ตนเองเสียเวลาแล้ว ยังจะทำให้ผู้คนทั้งหมดล่าช้า อย่างนั้นก็ตามแต่ใจเจ้าเถอะ ถ้าหากจิตญาณได้รับบาดเจ็บจนเปลี่ยนเป็นคนปัญญาทึบ ก็เป็นเพราะเจ้าหาเรื่องเอง

“เจ้าไปเถอะ”

เฉินฉางเซิงโค้งตัวทำความเคารพอีกครา ไม่พูดซ้ำ เดินออกจากเพิงไม้ไผ่ มุ่งไปยังสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ด้านในของสำนักเทียนเต้า

อาจารย์ท่านนั้นไม่กล่าวสิ่งใดอีก มองไปยังผู้สมัครที่เหลือ สีหน้าประหนึ่งน้ำแข็ง กล่าวต่อว่า “คนต่อไป”

ไม่สามารถผ่านการตรวจสอบจากหินหน่วงนำ แต่กลับเข้าไปสอบต่อในสำนักเทียนเต้า สิบกว่าปีมานี้ เฉินฉางเซิงคือคนแรก หนุ่มน้อยที่รอคอยการสอบได้มองไปยังเขาที่ห่างไกลออกไป พวกเขาไม่เข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้น คนที่รู้สถานการณ์ภายในก็ไม่สามารถนำมาปะติดปะต่อเป็นเรื่องเดียวกันได้ การแสวงหาช่องทางท้ายที่สุดก็คือการหาเสาะแสวงหาช่องทาง ยังไม่เคยชำระล้างกระดูก ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำหรือว่าการคิดวิเคราะห์คำนวณล้วนแต่ธรรมดา เดิมทีคงไม่สามารถทำข้อสอบสอบเข้าของสำนักเทียนเต้าได้ การกระทำของเฉินฉางเซิงมีหลากหลายรูปแบบเหมือนกับฉากละครที่น่าสนใจ

ท่ามกลางสิ่งปลูกสร้างอาคารแรกของสำนักเทียนเต้า ผู้คนต่างจ้องมองเฉินฉางเซิงกำลังเดินเข้าไปในอาคาร ผู้คนจำนวนมากคิดว่าเขาไม่ได้มีสิ่งพิเศษอันใด การทดสอบควรจะสิ้นสุดไปแล้ว ดั่งเช่นถังซานสือลิ่วผู้ได้เข้าไปยังสำนักเทียนเต้าอย่างสมเหตุสมผล เมื่อจ้องมองเฉินฉางเซิงด้วยสองตาอันลึกซึ้ง เขาคาดคิดว่าเฉินฉางเซิงคงไม่ผ่านการทดสอบ แต่เขาก็ชื่นชมฝ่ายตรงข้ามที่ดื้อรั้นจนถึงที่สุด เหตุเพราะทำให้คิดไปถึงตนเอง ขณะนี้ รองเจ้าสำนักเทียนเต้ามาปรากฏกายข้างเขา ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นมีโอกาสรึ ข้าไม่คิดเช่นนั้น คนก่อนที่มีฐานะเป็นเพียงแค่คนธรรมดาสามารถเข้ามาสำนักเทียนเต้าคือใคร คนนั้นนามว่าหวังจือเช่อ ดินแดนต้าลู่ หลายร้อยปีมาแล้วยังไม่เคยมีใครปรากฏดังเช่นหวังจือเช่อ”

หวังจือเช่อ เป็นบุคคลในตำนานของแผ่นดินต้าลู่นี้ ปลายรัชสมัยไท่จู่ ตอนนั้นเขายังเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบหกปี ยังเป็นบุคคลธรรมดาที่ไม่เคยฝึกบำเพ็ญเพียร หลังจากสำเร็จวิชาจากสำนักเทียนเต้า เขาได้ทำงานเกี่ยวกับเอกสารธรรมดาในราชสำนัก ทำจนถึงอายุสี่สิบปี ในค่ำคืนหนึ่งในจิงตูพลันมีเสียงคำรามยาวดังขึ้น ค่ำคืนนั้นหวังจือเช่อก็ตระหนักในหลักปรัชญา เขาจึงเริ่มฝึกบำเพ็ญเพียร ใช้เวลาไม่กี่ปี จนกระทั่งได้เดินทางไปถึงยอดเขาเตียน หลังจากนั้นได้เป็นรองแม่ทัพ เขาได้เป็นผู้ออกคำสั่งชี้ขาดในการรบจนทำให้เผ่ามารพ่ายแพ้ราบคาบมาถึงกระทั่งทุกวันนี้ รูปภาพของเขายังแขวนไว้ที่หอหลิงเหยียน

โลกมนุษย์ไม่พบเห็นหวังจือเช่อมานานแล้ว

ถังซานสือลิ่วกล่าว “ข้าก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะสามารถผ่านการทดสอบ ยิ่งไม่คิดว่าเขาคือหวังจือเช่อคนต่อไป แต่ข้าคิดว่าถ้าหากอยากเป็นหวังจือเช่อที่เก่งกาจ อย่างน้อยต้องเป็นดั่งหนุ่มน้อยคนนั้น มีความรู้สึกไม่ย่อท้อต่อความพ่ายแพ้ และยังดำเนินชีวิตด้วยความรอบคอบ แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่คิดว่าคนที่มีพรสวรรค์จะเก่งกาจสักเพียงไหน คนที่น่าเกรงกลัวอย่างแท้จริงคือ คนที่ยืนหยัดแน่วแน่ต่างหาก”

รองเจ้าสำนักพยักหน้าพลางกล่าว “ปีนั้นหวังจือเช่อท่องศึกษาหาความรู้ ท้องฟ้าเหน็บหนาวแผ่นดินกลายเป็นน้ำแข็ง กินข้าวต้มที่ถูกแช่แข็ง ในมือไม่ยอมปล่อยตำรา หนุ่มน้อยคนนั้นจะสามารถทำได้สักกี่ส่วนเชียวรึ”

ถังซานสือลิ่วกล่าวตอบ “หนุ่มน้อยคนนั้นอย่างน้อยก็แกร่งกล้ากว่าคนธรรมดาอย่างมาก”

รองเจ้าสำนักมองเขาแวบหนึ่ง กล่าวต่อ “แท้จริงเจ้าคือถังถัง มองเหตุการณ์มองคนเช่นนี้เอง ช่างไม่เหมือนกับคนธรรมดา”

ถังซานสือลิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยว่า “โปรดเรียกข้าว่าถังซานสือลิ่ว”

รองเจ้าสำนักหัวเราะออกมา กล่าวว่า “เข้ามายังสำนักเทียนเต้าของพวกเรา เห็นทีชื่อของเจ้าคงจะต้องเปลี่ยนอีกครั้งเสียแล้ว”

ถังซานสือลิ่วสีหน้าเป็นปกติเอ่ยตอบ “นั่นเป็นเรื่องที่ต้องทำ”

รองเจ้าสำนักมองไปยังอาคารหลังนั้น รับรู้ถึงกลิ่นหอมเบาบางที่ล่องลอยมาจากหน้าต่าง กล่าวถาม “เจ้าต้องการรอต่อไปหรือไม่”

ถังซานสือลิ่วเอ่ยตอบ “ใช่ขอรับ”

รองเจ้าสำนัก ถามกลับ “เพราะเหตุใด”

ถังซานสือลิ่ว กล่าวตอบ “ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถผ่านไปได้ แต่ว่าข้าอยากจะรู้ว่าเขาจะได้กี่คะแนน”

ข้อสอบที่อยู่บนโต๊ะหนาเป็นอย่างยิ่ง เปรียบดังเทือกเขาเล็กๆ ก็มิปาน เฉินฉางเซิงไม่รู้เนื้อหาในข้อสอบ หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะตื่นเต้น ทุกคนล้วนทราบกันดี สอบเข้าสำนักเทียนเต้ายากอย่างยิ่ง เหตุเพราะข้อสอบครอบคลุมทุกอย่าง ตั้งแต่สัจธรรมของเต๋า วิเคราะห์หนังสือเทียนซู ไปจนถึงยุทธวิธีการรบ แม้กระทั่งข้อสอบด้านการเพาะปลูกก็มี

เขานั่งอยู่ด้านหน้าของโต๊ะ หลับตาพักผ่อนห้าอึดใจ หลังจากนั้นเปิดตาขึ้น ยื่นมือไปพลิกข้อสอบหน้าแรก เมื่อเขามีการกระทำเช่นนี้ อารมณ์ของเขาสับสน เป็นความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนและยังไม่รู้ว่าความไม่สงบนี้มาจากที่ใด แต่กลับยังเฝ้าคอยอย่างไม่รู้สาเหตุ

นิ้วมือของเขาทันใดนั้นหยุดชะงัก ดวงตาสว่างไสวดั่งกระจกปรากฏความไม่มั่นใจแวบหนึ่ง

ล้วนแต่กล่าวกันว่าข้อสอบของสำนักเทียนเต้ายากยิ่ง ถ้าหากเป็นข้อสอบเกี่ยวกับเนื้อหาในคัมภีร์ ก็มักจะเกี่ยวกับบทประพันธ์อันลึกซึ้งในตำราที่ผู้คนเสาะแสวงหายากลำบาก แต่เพราะเหตุใด...ข้อสอบข้อที่หนึ่งของหน้าแรก ตนเองอ่านแล้วรู้สึกคุ้นตา เฉินชานจื่อกับท่านราชครูรุ่นที่เจ็ดได้แบ่งเนื้อหาออกเป็นสามสิบเอ็ดบท ตนเคยอ่านเมื่อใดกันหนอ เหมือนว่าจะเป็นตอนอายุสามขวบในปีนั้น...เป็นวรรคเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาในตำราไหวหนานที่เขียนอธิบายเกี่ยวกับคัมภีร์หนานหัว แต่เขามั่นใจว่าตนเคยอ่าน เคยท่อง อีกทั้งตอนอายุห้าขวบและสิบเอ็ดขวบ ยังเคยอ่านและเคยท่องอีกคราหนึ่ง

ช่างคุ้นตาอะไรเช่นนี้ เขาจดจำสิ่งเหล่านี้จนขึ้นใจ

เฉินฉางเซิงมีบางอย่างที่ไม่เข้าใจ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่หนุ่มน้อย ยิ่งกว่านั้นคือความแปลกใจระคนดีใจ ไม่ได้คิดสิ่งใดไปมากกว่านี้ เริ่มที่จะนำเนื้อหาบทประพันธ์เหล่านั้นที่อยู่ในสมอง นำการวิเคราะห์อย่างเฉียบแหลมของผู้มีสติปัญญาและมีความสามารถในสมัยก่อนที่เคยจดจำมาบรรจงเขียนบนกระดาษ หลังจากนั้นเขาเปิดไปหน้าที่สอง ไม่มีความประหลาดใจ มองเห็นก็เป็นบทความที่คุ้นตาอีก...

คัมภีร์มหามรรคครอบคลุมทุกสรรพสิ่ง ข้อสอบเข้าสำนักเทียนเต้าเกือบทั้งหมดอยู่ในคัมภีร์มหามรรคสามพันบท

และทั้งสามพันบทนั้น เขาสามารถท่องจากข้างหลังมาข้างหน้าได้อย่างคล่องแคล่ว

การสอบเช่นนี้ ความยากเช่นนี้ จะสามารถล้มเขาได้อย่างไร