webnovel

ตอนที่ 12

ตอนที่ 12 เรียกพี่ชายให้ฟังอีกครั้งซิ

และก็เป็นเพราะแฮชแท็กนี้ คนที่แชทเข้ามาในกล่องข้อความส่วนตัวของเธอจึงมีมากยิ่งขึ้น ทั้งยังส่งรูปประหลาดมาให้

คอมเมนต์ใต้โพสต์เวยปั๋วของอิ๋งลู่เวยก็เปลี่ยนทิศทาง

[ลู่เวย อย่าถูกหลานสาวตัวเองหลอกนะ]

[คนพวกนี้ ยิ่งดีด้วยมากเท่าไรก็ยิ่งได้ใจ ดังนั้นจะตามใจไม่ได้ ทุกคน ฉันพูดถูกไหม]

[เห็นๆ อยู่ว่าตัวเองผลักลู่เวยตกบันได]

ไม่เพียงแต่อิ๋งจื่อจินจะไม่โกรธ ยังตั้งใจอ่านด้วย ถือโอกาสเรียนศัพท์สมัยใหม่ “ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร”

เธอไม่แคร์ตระกูลอิ๋ง ยิ่งไปกว่านั้นไม่ได้แคร์คนพวกนี้

ตราบใดที่ไม่มาหาเรื่องซึ่งหน้า เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องทำอะไรเธอไม่ได้มาแต่ไหนแต่ไร

“ไม่ได้หรอก” ฟู่อวิ๋นเซินยิ้ม น้ำเสียงราบเรียบ “เด็กน้อยว่าง่ายขนาดนี้ แถมยังฉลาดความสามารถสูง ฉันทนเห็นเธอถูกด่าขนาดนี้ไม่ได้”

อิ๋งจื่อจินนวดหู เอาโทรศัพท์ออกห่างหน่อย “มาตกลงกันหน่อย เลิกเรียกฉันว่าเด็กน้อยได้ไหม”

จึ๊ เสียงเพราะใช้ได้

ดูเหมือนจะช่วยเยียวยาอาการหงุดหงิดจากการถูกปลุกได้

“หืม?” ฟู่อวิ๋นเซินพูดช้าลง “อายุห่างสามปีก็มีช่องว่างระหว่างวัยแล้ว พี่ชายคนนี้โตกว่าเธอห้าปี เธอไม่ใช่เด็กน้อยจะเป็นอะไร”

อิ๋งจื่อจินชะงัก ขมวดคิ้ว “พี่ชายเหรอ”

ให้เธอเป็นเด็กน้อย แถมยังอยากเป็นพี่ชายของเธอด้วยงั้นเหรอ

น้ำเสียงของเด็กสาวเดิมทีก็เป็นประเภทที่เย็นชาชวนหมดอารมณ์ แต่เนื่องจากเพิ่งตื่นจึงงัวเงียเล็กน้อย กลับให้ความรู้สึกเย้ายวนอย่างเห็นได้ชัด ฟังแล้วอยากออกไปซื้อแมวมาสักตัว

แม้แต่ฟู่อวิ๋นเซินก็ตกใจ

ดวงตาดอกท้อหรี่ลง “เรียกพี่ชายให้ฟังอีกครั้งซิ”

“ฝันเก่งนะคุณ”

“...”

ได้ การเจรจาล้มเหลว

ฟู่อวิ๋นเซินยอมแพ้

เด็กน้อยหลอกยากพอตัว

อิ๋งจื่อจินดื่มน้ำ เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวเธอกวาดตามองไปที่ริมหน้าต่าง

มองไปที่ประตูเหล็กพอดี เห็นหญิงสาวลงจากรถมาเซราติ ทั้งยังประคองหญิงชราที่อายุมากพอสมควรคนหนึ่งมาด้วย

พรวด!

เพียงชั่วพริบตาเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตก็ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้า

“ฉันมีธุระต้องไปจัดการนิดหน่อย” อิ๋งจื่อจินหรี่ตา “ไว้จะเลี้ยงข้าวคุณ แล้วจะถือโอกาสเอาของไปให้คุณด้วย”

“อืม ได้” ฟู่อวิ๋นเซินหลุบตาลง น้ำเสียงเนือย “พี่ชายจะรอยารักษาไตจากเธอนะ...”

โทรศัพท์ถูกกดตัดสาย

อิ๋งจื่อจินเอาโทรศัพท์มือถือใส่เข้ากระเป๋าด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ให้เรียกพี่ชาย งานอดิเรกอะไรน่ะ

ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ก๊อกๆๆ เสียงดังมาก

“คุณหนูรอง รีบลุกเถอะครับ อยากให้คุณนายโมโหเหรอครับ”

ไม่มีเสียงตอบ

พ่อบ้านหน้าบึ้ง หยิบกุญแจ ต้องการเปิดประตูเข้าไปเอง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำอะไร

ตึง!

ประตูที่หนักอึ้งพังลงตรงหน้าเขา อีกนิดเดียวก็จะโดนเขาแล้ว

แสงแดดสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ให้ความสว่างแก่ทางเดินที่มืดทึบ

พ่อบ้านยืนอึ้ง มองเด็กสาวที่ยืนย้อนแสงด้วยความตกใจ ขาสั่นอย่างไม่รู้ตัว เกือบขี้แตกฉี่ราดแล้ว

สองมือของอิ๋งจื่อจินล้วงกระเป๋า พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ได้ฤกษ์เปลี่ยนประตูแล้ว”

แค่เธอสะกิดนิดหน่อยก็พังแล้ว

ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเรียกว่าอะไรนะ

อ๋อ ของกากๆ

พ่อบ้านยังขาสั่นอยู่ เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก อยากพูด แต่เสียงกลับไม่ออก

เสียงจากชั้นบนย่อมหนีไม่พ้นหูของจงมั่นหวา เธอหน้านิ่ว ขณะที่กำลังเตรียมขึ้นไปดูด้วยตัวเองทันใดนั้นประตูบ้านก็เปิดออก

เสียงอ่อนโยนของผู้หญิงดังขึ้น เจือไปด้วยความตกใจ

“พี่สะใภ้ใหญ่ ยังไม่กินข้าวกันอีกเหรอคะ”

“ลู่เวยเหรอ” จงมั่นหวาหันมา อึ้งไปชั่วขณะ “คุณแม่ มาได้ยังไงคะ”

คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งถือไม้เท้า “ทำไม คนแก่อย่างฉันมาไม่ได้รึ”

“คุณแม่ หนูไม่ได้หมายความแบบนั้นนะคะ” จงมั่นหวาตกใจ รีบเดินเข้าไปหา “ก็แค่นึกไม่ถึงว่าคุณแม่จะมา ไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลยค่ะ”

นับตั้งแต่เธอมีลูกคนที่สอง คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งก็ย้ายออกไปอยู่คอนโดใจกลางเมืองกับอิ๋งลู่เวย มีแค่ตอนเทศกาลเท่านั้นถึงจะกลับมา

“ไม่มีอะไรให้ต้องเตรียม ฉันมาจัดการธุระเสร็จก็กลับ” คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งไม่รับน้ำใจ “เรียกลูกสาวเธอคนนั้นออกมา”

เห็นได้ชัดว่ารังเกียจถึงขั้นที่ไม่อยากเรียกชื่อ

จงมั่นหวาเดาได้ เธอเม้มริมฝีปาก พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “คุณแม่นั่งก่อนนะคะ หนูจะไปตามให้”

“พี่สะใภ้ใหญ่ คุณแม่ไม่ได้เจอพี่นานแล้ว อยู่เป็นเพื่อนคุณแม่เถอะค่ะ” อิ๋งลู่เวยยิ้ม “ฉันไปเรียกเสี่ยวจินให้ดีกว่า ฉันต้องขอโทษเสี่ยวจินด้วย”

“ขอโทษเหรอ” ชัดเจนว่าคำพูดนี้ทำให้คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งโมโห เธอเอาไม้เท้ากระแทกพื้นอย่างแรง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มั่นหวา ลูกสาวคนนี้ของเธอช่างกล้าดีจริงๆ นะ ตัวเองทำผิดยังต้องให้คนอื่นขอโทษอีก”

“ตระกูลอิ๋งของเราไม่แยกแยะถูกผิดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

จงมั่นหวารู้สึกอึดอัด ไม่กล้าเถียงแม้แต่คำเดียว

“เวยเอ๋อร์ ไม่ต้องไป” คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งจับมืออิ๋งลู่เวยไว้ พูดอย่างเย็นชา “มีที่ไหนกันผู้ใหญ่ไปเชิญเด็ก”

จงมั่นหวาสูดลมหายใจเข้าลึก เรียกเสียงดัง “อิ๋งจื่อจิน!”

ตรงบันได เด็กสาวเดินลงมาอย่างเอ้อระเหย

เธอเงยหน้า กวาดตามองที่ห้องโถง ดูเหมือนจะไม่ได้แปลกใจกับสถานการณ์ที่เหมือนขึ้นศาลแบบนี้ “มีธุระเหรอคะ”

ท่าทีไม่แยแสแบบนี้ทำให้จงมั่นหวาโมโหควันออกหู “เจอผู้ใหญ่ทำไมไม่ทักทาย”

“ไม่ต้อง” คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งยกมือขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฉันมีหลานสาวแค่คนเดียว”

หลานสาวแท้ๆ ของเธอกำลังเรียนอยู่ที่ยุโรป ลูกเลี้ยงไม่ใช่หลานสาวของเธอ

อิ๋งจื่อจินพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ใส่ใจและก็ไม่ได้เสียอาการ “ก็ดีค่ะ หนูเองก็ไม่ได้มีนิสัยนับญาติกับใครไปทั่ว”

ไม้เท้าในมือคุณนายผู้เฒ่าอิ๋งสั่น เกือบหายใจไม่ทัน

เดิมทีจุดประสงค์ของเธอต้องการหักหน้าลูกเลี้ยงคนนี้ ใครจะรู้ว่ากลับกลายเป็นเธอที่ถูกประชด

จงมั่นหวาสีหน้าแย่ลงกว่าเดิม พูดด้วยความโมโห “พูดอะไรน่ะ พูดจาแย่ขนาดนี้เลยเหรอ”

“พี่สะใภ้ใหญ่!” อิ๋งลู่เวยตกใจ รีบปลอบ “พี่สะใภ้ใหญ่อย่าโกรธเลยค่ะ เสี่ยวจินยังเด็ก มีอะไรพวกเราใจเย็นๆ คุยกันนะคะ”

“ใจเย็นๆ คุยกันเหรอ” จงมั่นหวาโมโหดวงตาแดงก่ำ “ไร้มารยาท ขอโทษเดี๋ยวนี้!”

ลูกสาวแท้ๆ ของเธอมาเพื่อหักหน้าเธอจริงๆ ทำให้เธอเงยหน้าไม่ขึ้นต่อหน้าแม่สามี

อิ๋งจื่อจินเงยหน้า ท่าทางเหนื่อยหน่าย “ฉันรู้จักพวกคุณเหรอคะ”

ท่าทีไม่แยแสไม่เห็นใครในสายตาแบบนี้ทำให้จงมั่นหวาโมโหมากกว่าเดิม “อิ๋งจื่อจิน!”

“เอาล่ะ” กลับเป็นคุณนายผู้เฒ่าอิ๋งที่พูดขึ้น เธอพูดอย่างใจเย็น “วันนี้ฉันไม่ได้มาดูเธอสั่งสอนลูกสาว เธอให้ลูกสาวเธอพูดมาซิว่าทำไมวันนั้นต้องผลักเวยเอ๋อร์ในงานเลี้ยงด้วย”

เธอหลับตา “คงไม่ใช่เพราะคิดว่าถ้าไม่มีเวยเอ๋อร์ ตัวเองก็จะเป็นนายหญิงของตระกูลเจียงได้หรอกนะ”

คำพูดนี้เป็นการต่อว่าตรงๆ

จงมั่นหวาสีหน้าเปลี่ยนไปมากทันที เริ่มกระวนกระวาย “คุณแม่คะ ไม่มีเรื่องแบบนั้น คุณแม่อย่าไปเชื่อข่าวลือนะคะ”

“นั่นสิคะแม่” อิ๋งลู่เวยก็ช่วยพูด “ไม่มีเรื่องแบบนั้น ทำไมคุณแม่ยังติดใจเรื่องนี้อยู่ ไม่เชื่อหนูเหรอคะ”