webnovel

ข้ากลายเป็นสาวใช้ของแม่ทัพหนุ่ม

องค์หญิงอวี้หลัน องค์หญิงน้อยผู้แสนอาภัพ แห่งแคว้นโหย่ว ในวัยเพียงแปดชันษา พระองค์ต้องเผชิญชะตากรรมที่แสนเศร้าและเจ็บปวด ทั้งการกลั่นแกล้ง ใส่ความให้ร้ายของเหล่าคนรอบกาย เพื่อหวังจะยึดครองตำแหน่งองค์หญิงสุดที่รักจากท่านอ๋องใหญ่บิดาของนาง ซึ่งเป็นถึงองค์ รัชทายาทของแคว้นโหยว ความโชคร้ายไม่จบสิ้น มีคนร้ายได้ลอบวางยาพิษลงในสระน้ำส่วนตัวขององค์หญิงน้อย ทำให้นางต้องจบชีวิตลงในชั่วพริบตาที่สูดดมกลิ่นหอมพิษ ซึ่งโชยขึ้นมากับไอน้ำ ก่อนที่จะสิ้นใจตายพระนางได้อธิษฐานว่า ถ้าหากได้เกิดใหม่ ตนก็ปรารถนาเกิดเป็นคนธรรมดา แม้จะไม่ได้ยศถาบรรดาศักดิ์ใด ๆ ไม่มีชีวิตที่สบาย ไม่ร่ำรวยเงินทองอย่างที่เคยเป็น ก็ยินดีเช่นนั้น และแล้ว องค์หญิงน้อยก็ได้สิ้นพระทัยลงต่อหน้าธารกำนัลทุกคน ตลอดช่วงชีวิตที่มีมา องค์หญิงน้อยพบว่าไม่เคยมีใครสักคนที่รักนางจริงแม้แต่คนเดียว แต่พระนางคิดผิด... สิบปีผ่านไป องค์หญิงผู้แสนอาภัพ ได้มีชีวิตใหม่ในนาม ฟ่งหลันหลั่น หญิงสาวชาวยุทธ์ทั่วไป แม้ฝีมือด้านวิทยายุทธ์จะไม่เก่งกาจมากนัก แต่นางนั้นเปี่ยมไปด้วยน้ำใจและคุณธรรมหาผู้ใดเสมอเหมือนได้ ด้วยนิสัยรักความยุติธรรมมากเกินไป นางจึงมักเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นอยู่หลายครั้ง จนมีครั้งหนึ่ง ฟ่งหลันหลั่นได้เกิดพลาดพลั้งเสียทีให้กับศัตรูที่ตามมาแก้แค้น หนึ่งในคนพวกนั้นได้ใช้อาวุธลับ ซัดใส่นางเองจนนางถูกพิษชนิดหนึ่งเข้า และทำให้สูญเสียวรยุทธ์ไปชั่วคราว พอรู้สึกตัวอีกที ฟ่งหลันหลั่นก็ได้กลายมาเป็นสาวใช้คนใหม่ของจวนแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นโหย่ว แม่ทัพใหญ่ของจวนนี้คือ หลงอี้หลิง ผู้มากความสามารถและมีชื่อเสียงเลื่องลือเกรียงไกรด้านการรบ นามของเขานั้นเป็นที่โจษจันและเกรงกลัวของฝ่ายศัตรูเป็นอย่างมาก หลงอี้หลิง ได้ใช้พลังหยินในตัวของเขา ช่วยขับพิษในกายให้ฟ่ง-หลันหลั่น และได้เผลอเปิดจุดลมปราณที่เคยถูกสกัดไว้ให้นางด้วย ทำให้ความทรงจำที่เคยหายไปกลับคืนมา องค์หญิงอวี้หลันทรงจดจำเรื่องราวในอดีตของตนได้ทั้งหมด ว่าตนไม่ได้ตายอย่างที่คิดไว้ แต่เป็นเพราะพระองค์พยายามลบความทรงจำที่เจ็บปวดเลวร้ายนั้นให้หายไป เมื่อองค์หญิงน้อยอวี้หลันจดจำเรื่องราวทุกอย่างได้ จึงอยากที่จะเอาคืนทุกคนที่เคยทำร้ายนาง แต่ด้วยต้องแลกความทรงจำให้กลับมา ด้วยการที่ต้องสูญเสียพลังยุทธ์ไปโดยถาวร ทำให้ต้องตกเป็นหน้าที่ของหลงอี้หลิง แม่ทัพใหญ่ผู้คลั่งรักต้องออกโรง ช่วยแก้แค้นแทนและทวงคืนความยุติธรรมให้กับสาวใช้ของตน เรื่องราวจะดำเนินต่อไปยังไง หลงอี้หลิง แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นโหยว จะช่วยฟ่งหลันหลั่นหรือองค์อวี้หลัน แก้แค้นและทวงความยุติธรรมได้หรือไม่ ต้องมาติดตามไปพร้อม ๆ กัน

Anastazia23_Boss · ย้อนยุค
Not enough ratings
91 Chs

ตอนที่ ๖๒ พระตำหนักต้องห้าม

 ยามเว่ยของวันต่อมา หลงอี้หลิงก็ได้มารับฟ่งหลันหลั่นจากเรือนหลงหลิงและพานางเดินทางเข้าวังหลวงด้วยกัน 

 ในขณะที่ทั้งสองนั่งอยู่บนรถม้า สตรีน้อยกลับเอาแต่ทำหน้าเซ็ง ดูหมดอารมณ์ไปตลอดเส้นทาง 

 หลงอี้หลิงมองหน้าสาวใช้อยู่นาน ซึ่งเจ้าตัวกำลังนั่งหันข้างให้ เขาจึงถามนางขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

 "มีใครทำอะไรขัดใจมางั้นหรือ เจ้าถึงได้นั่งทำหน้าตาไร้อารมณ์ตั้งแต่ขึ้นรถม้าแล้ว แถมเบ้าตาก็คล้ำดำเหมือนคนอดหลับอดนอนมาค่อนข้ามคืน" 

 ฟ่งหลันหลั่นไม่ตอบ นางคงทำหน้าบูดบึ้งไม่สบอารมณ์เช่นเดิม แถมยังสะบัดหน้าเบือนหนีไปทางด้านข้างอย่างขุ่นเคือง นางได้พ่นลมออกมาทางปลายจมูกเล็กน้อย และบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

 "ฮึ! ยังจะมีหน้ามาถามข้าอีก ก็ใครกันล่ะที่ส่งลูกน้องคนสนิทของตัวเอง มานั่งเฝ้าอยู่ข้างกำแพงด้านนอกของเรือนสกุลหลงตลอดทั้งคืนจนถึงเช้า จนพานทำให้แผนของข้าพังไม่เป็นท่า"

 และในหัวของนางพลางคิดถึงเรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมา

 แป๊ก! แป๊ก!

  "ยามจื่อแล้ว[1]...ห้ามผู้ใดออกนอกเรือน ก่อนเข้านอนระวังฟืนไฟ" 

 เสียงเคาะไม้สองทีดังขึ้นและตามมาด้วยเสียงร้องบอกเวลาของบุรุษผู้ที่กำลังทำหน้าที่ของเขาได้ดังขึ้นไปทั่วท้องถนนไม่แรงมากนัก แต่ด้วยเพราะความเงียบสงัดของค่ำคืนทำให้เสียงก้องได้ยินไปหลายหลังคาเรือน

 ฟ่งหลันหลั่นผู้ที่เตรียมการและนั่งรอเวลาอยู่ในเรือนพักของตัวเองนานแล้ว พอได้ยินเสียงคนร้องเดินบอกเวลาดังลอดเข้ามา นางก็ลุกขึ้นยืนอย่าง ขึงขังเพื่อจะแอบหนีออกไปข้างนอกเรือนสกุลหลง ตามที่ได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่เมื่อตอนกลางวัน 

 แต่จังหวะที่สตรีน้อยกำลังจะกระโดดลงจากหลังกำแพงไปอีกฝั่งทางถนนด้านข้างของเรือนสกุลหลง นางก็แทบจะชะงักร่างกายของเองไว้แทบไม่ทัน 

 เมื่อพบว่านายกองร่างท้วมยืนกอดดาบประจำตัวของเขาและเอาแผ่นหลังหนาพิงเข้ากับกำแพงของเรือนสกุลหลง เหมือนกำลังดักรอใครบางคนอยู่ตรงนั้น

[1] ยามจื่อ (子:zǐ) คือ 23.00 - 24.59 น.

  สตรีน้อยจึงจำต้องถอยร่นกลับห้องพักของตนไปก่อน และชั่วยามต่อมา นางก็ได้พยายามอีกครั้ง แต่ก็ยังพบว่าเข่อลั่ว นายกองหนุ่มร่างท้วมยังคงยืนอยู่ในท่าเดิม 

 และแม้ว่าเขาจะเผลองีบหลับไปบ้าง แต่สตรีน้อยก็ไม่อยากเสี่ยงหนีออกไปเยี่ยงนี้ เพราะขืนหากโดนแม่ทัพหนุ่มจับได้ ไม่รู้ว่านางจะถูกเขาลงโทษอย่างไรอีก

 สุดท้ายแล้ว คนที่คิดจะแอบหนีออกไปนอกเรือนในยามวิกาลก็ต้องถอดใจอย่างไม่มีทางเลี่ยง

 ด้านหลงอี้หลิงซึ่งนั่งมองดวงหน้างามไม่ละสายตา เขาก็สังเกตเห็นอากัปกิริยาของสาวใช้คนโปรดปราน แทนที่เจ้าตัวจะเคืองโกรธ แต่กลับเผยยิ้มอ่อนขึ้นมาบนใบหน้าอันหล่อเหลาอย่างพึงพอใจ เหมือนจะเดาออกว่า เหตุใดนางถึงได้แสดงท่าทีกระฟัดกระเฟียดไม่พอใจใส่ตน

 ไม่นานรถม้าของแม่ทัพหนุ่มก็วิ่งผ่านประตูใหญ่และเคลื่อนตัวเข้ามาสู่เขตพระราชฐานชั้นในของวังหลวง โดยตลอดเส้นทางมีกำแพงสูงหลายสิบจั้งหรือเป็นร้อยจั้ง[1] ตั้งตระหง่านดำถมึงทึงขนาบทั้งสองข้าง และไม่อาจจะประมาณความสูงของกำแพงนี้ด้วยสายตาได้เลย

[1] 1 ลี้ (里) = 150 จั้ง (丈) = 500 เมตร (米)

  เวลาผ่านไปราวเกือบสองเค่อ รถม้าของแม่ทัพหนุ่มก็มาหยุดอยู่ตรงบริเวณหน้าประตูใหญ่อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งอาณาเขตนี้น่าจะเป็นส่วนของพระราชฐานเขตใน เพราะสังเกตได้จากมีทหารองครักษ์และทหารมหาดเล็ก ยืนคุ้มกันอยู่ตรงหน้าประตูอย่างหนาแน่น

 ในขณะที่แม่ทัพหนุ่มลุกขึ้นจากที่เบาะนั่งและเดินนำหน้าลงจากรถม้าไป โดยมีฟ่งหลันหลั่นเดินตามหลังเขามาติด ๆ แต่แล้วจู่ ๆ นางก็มีอาการผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น

 ร่างอรชรเดินเซไปทางด้านข้างเล็กน้อยจนเกือบจะตกลงมาจากรถม้า ลักษณะของนางดูคล้ายกับคนที่มีอาการหน้ามืดหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ

 แม่ทัพหนุ่มซึ่งยืนรออยู่ด้านล่างเห็นเช่นนั้นก็รีบโผเข้าไปประคองสตรีน้อยและเอ่ยถามขึ้นอย่างห่วงใย

 "เป็นอะไรไป หรือว่าเจ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหน"

 ฟ่งหลันหลั่นยกมือข้างหนึ่งขึ้นมากุมขมับของตัวเอง แข้งขาก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงเอาดื้อ ๆ จนตัวเซไปซบลงบนหน้าอกกำยำแข็งแรงของแม่ทัพหนุ่ม 

 "ข้ารู้สึกหน้ามืดขึ้นมากะทันหัน แข้งขาก็ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเอาเสียเลย สงสัยว่าข้าคงจะติดตามท่านเข้าไปด้านในไม่ได้เสียแล้ว" น้ำเสียงหวานดังขึ้นลอย ๆ ถ้อยคำฟังดูไม่ค่อยหนักแน่นเหมือนคนไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงจริง ๆ 

 แม่ทัพหนุ่มได้ฟังเช่นนั้น ก็นึกถึงรายงานที่ได้รับจากเข่อลั่วมาเมื่อ ตอนเช้า ว่าในคืนที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นบ้างระหว่างที่ลูกน้องของเขาไปดักเฝ้าไม่ให้สตรีน้อยผู้นี้แอบหนีออกนอกเรือนสกุลหลงในยามวิกาล เขาจึงเชื่อว่านางอาจจะไม่สบายจริง ๆ

 "กลางค่ำคืนใครใช้ให้เจ้าไม่ยอมหลับยอมนอนกันเล่า ร่างกายถึงได้หมดเรี่ยวแรงเอาเช่นนี้ไง ช่างเถอะ! เจ้ารอข้าอยู่ที่รถม้านี้ก็แล้วกัน แต่ห้ามเดินเพ่นพ่านไปไหนเด็ดขาด จำไว้ว่าตอนนี้เจ้าเป็นเพียงสาวใช้ของเรือนหลงหลิง มิใช่ผู้ใดที่เจ้าเคยเป็นในครั้งอดีต"

 แม่ทัพหนุ่มได้ย้ำคำต่อสตรีน้อยอย่างหนักแน่น แม้เขาจะเชื่อว่านางอาจจะไม่สบายจริง ๆ แต่ก็ยังรู้สึกไม่วางใจทั้งหมดเสียทีเดียว เพราะเด็กคนนี้มีเบื้องหลังและมีอดีตที่ซับซ้อนยากยิ่งจะอธิบายได้ อีกทั้งยังกลัวว่านางจะบุ่มบ่ามทำอะไรไม่ทันยั้งคิด จนความลับที่เก็บซ่อนอยู่อาจถูกเปิดเผยได้นั่นเอง

 ฟ่งหลันหลั่นพยักหน้าหงึก ๆ รับคำอย่างว่าง่าย ช่างผิดจากนิสัยปกติของนางยิ่งนัก 

 "อื้ม! ท่านรีบไปเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้เถิด ไม่ต้องห่วงทางนี้ ข้ารับปากว่าจะนั่งรอท่านนิ่ง ๆ ไม่ไปไหนทั้งนั้น"

 รอยยิ้มแยบยลของสตรีน้อยที่เผยขึ้นมาบนดวงหน้างาม มันช่างยากที่จะทำให้แม่ทัพหนุ่มเดินจากไปอย่างไร้กังวลได้เลย 

 แต่คนที่กำลังรออยู่ในขณะนี้ ก็มิอาจจะปล่อยให้รอนานได้ หลงอี้หลิงจึงจำต้องตัดใจ เขาจึงเดินผ่านทหารองครักษ์และทหารมหาดเล็ก และผ่านประตูใหญ่นั้นเข้าไปโดยทิ้งให้สาวใช้ของตนอยู่รอที่รถม้าตามลำพังกับคนขับรถม้าอย่างไม่มีทางเลือก

 ฟ่งหลันหลั่นมองตามหลังของหลงอี้หลิงที่กำลังเดินมุ่งหน้าเข้าสู่เขตพระราชฐานชั้นในจนลับตาแล้ว นางก็หันซ้ายแลขวา เหมือนกำลังมองหาสิ่งใด 

 และเพลาต่อมา แผนการของสตรีน้อยก็ได้เริ่มต้นขึ้น

 สาวใช้ของแม่ทัพหนุ่ม รอจังหวะที่เหล่าทหารตรงด้านหน้าประตูใหญ่เผอเรอ นางก็ได้อาศัยช่วงเวลานี้แอบเดินเลี่ยงออกไปจากจุดตรงนั้นอย่างรวดเร็ว 

พระตำหนักส่วนพระองค์ของฮ่องเต้

 อีกฟากฝั่งของประตูบานไม้แกะสลักใหญ่ ภายในพระตำหนักหลังนี้ช่างดูกว้างโถงโอ่อ่า มีเครื่องทองและเครื่องราชบรรณาการมากมาย รวมไปถึงถ้วยโถโอชาและแจกันใบใหญ่ถูกตั้งตกแต่งประดับประดาไว้ในห้อง 

 ตรงกลางของห้องมีการสร้างแผนภูมิแบบจำลองของเมืองต่าง ๆ รวมไปถึงภูเขาและแม่น้ำ แต่ปกติแล้วแบบจำลองของเมืองเช่นนี้ มักจะตั้งอยู่ในสถานที่ทำงานของกองทัพหรือหน่วยงานฝ่ายวางผังเมืองมากกว่า 

 "ฝ่าบาท ท่านแม่ทัพหลงมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ" เฉากงกงได้กล่าวถวายรายงานต่อองค์ฮ่องเต้ ถึงการมาเยือนของแม่ทัพหนุ่ม 

 ฮ่องเต้ผู้ทรงศักดิ์ในวัยกลางคน กำลังนั่งจับด้ามพู่กันตวัดไปมาเพื่อวาดร่ายตัวอักษรอยู่ตรงโต๊ะทำงานตัวใหญ่ 

 ซึ่งโต๊ะตัวนั้นตั้งเด่นถัดเข้าไปทางด้านในห้องใกล้กับผนังผืนใหญ่ที่มีภาพวาดมังกรสีทองท่วงท่าอหังการตัวใหญ่ผงาดอยู่อย่างสง่างาม 

 "มาถึงเร็วกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก...ไปพาเขาเข้ามาเถอะ ดูท่าแล้ว เขาคงกำลังร้อนใจมากโขอยู่" 

 น้ำเสียงเข้มสุขุมทรงพลังและแฝงไว้ซึ่งอำนาจขององค์ฮ่องเต้ดังลอดผ่านประตูออกไปถึงด้านนอกให้ได้ยินเลยทีเดียว

 "พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท" เฉากงกงรับคำเสร็จเขาก็เดินกลับออกไป

 ครู่ต่อมา เฉากงกงก็เดินนำหน้าแม่ทัพหนุ่มกลับเข้ามาในพระตำหนักอีกครั้งด้วยท่วงท่าสงบ

 "ข้าน้อยหลงอี้หลิง...ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ขอทรงมีพระชนม์มายุยืนหมื่นปี หมื่น หมื่นปี" หลงอี้หลิงนั่งคุกเข่าลงบนพื้นเพื่อกล่าวถวายบังคมต่อฮ่องเต้อย่างนอบน้อม 

 "แม่ทัพหลงลุกขึ้นเถิด ระหว่างพวกเราไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองอะไรให้มากความ อีกอย่างตอนนี้ในใจของท่านคงจะกำลังร้อนรุ่มเกี่ยวกับสารที่ข้าฝากท่านกงกงไปให้เมื่อวานสินะ"

 "ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ" แม่ทัพขานรับอย่างนอบน้อมและลุกขึ้นยืนตามรับสั่งขององค์ฮ่องเต้ 

 หลังจากนั้นการสนทนาระหว่างประมุขของประเทศและแม่ทัพผู้เกรียงไกรมากความสามารถของแคว้นก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเคร่งเครียด

 สลับกลับมาทางด้านฟ่งหลันหลั่น ตอนนี้นางได้แอบเข้ามาในเขตพระราชฐานชั้นในเรียบร้อยแล้ว โดยอาศัยความทรงจำอันเลือนรางคราวในอดีตในฐานะองค์อวี้หลัน

พระตำหนักเย็น

 สตรีน้อยได้มุดออกมาจากช่องลอดเล็ก ๆ ด้านข้างกำแพงของพระตำหนัก ซึ่งดูจากลักษณะแล้วน่าจะเป็นช่องของสุนัขเอาไว้ใช้ผ่านเข้าออก 

 ตรงด้านหน้ามีโขดหินก้อนใหญ่ตั้งบังอยู่ และบริเวณที่นางโผล่ออกมาคือสวนด้านหลังของพระตำหนักเย็น

 สตรีน้อยปัดฝุ่นที่เปื้อนเปรอะออกจากอาภรณ์ของตนเสร็จ นางก็เงยหน้าขึ้นมองดูพระตำหนักตรงหน้า ดวงตากลมโตเกิดมีน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมาอย่างทันใด

 สภาพของพระตำหนักที่เคยรุ่งโรจน์สวยงาม และเคยเต็มไปด้วยข้าราชบริพารและธารกำนัลมากมายเดินขวักไขว่ไปมา บัดนี้กลายเป็นเพียงพระตำหนักรกร้าง มีต้นหญ้าขึ้นปกคลุมสูงเทียมหัวเข่า 

 และเมื่อนางมองเข้าไปด้านใน มีเพียงความมืดมิดและเงียบสงัด ขนาดว่าเป็นช่วงเวลากลางวันแท้ ๆ แต่กลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความเปลี่ยววิเวก วังเวงโหวงเหวง ความเจ็บปวดรวดร้าวทรมานใจราวเข็มเล็ก ๆ นับหมื่นเล่มพุ่งทะลุเข้าหาร่างกายอย่างรวดเร็ว 

 ความสิ้นหวัง ความเศร้าใจ ประดังประเดถาโถมเข้ามาประดุจหนึ่งพายุคลื่นลูกใหญ่ซัดเข้าหาฝั่ง 

 "ที่นี่ถูกปล่อยให้รกร้างขนาดนี้เชียวงั้นหรือ...หึ! ใช่สินะ ใครกันจะกล้าย่างกรายเหยียบเท้าเข้ามาในพระตำหนักผีสิงหลังนี้กันเล่า! แต่ก็นับว่าฮ่องเต้องค์นี้ยังทรงมีน้ำพระทัยอยู่ ถึงได้ทรงเก็บที่นี่เอาไว้และไม่ทำลายมันทิ้งไป ทั้ง ๆ ที่เป็นสถานที่อัปมงคลต่อความคิดและสายตาของผู้คนมากมายยิ่งนัก"

 ฟ่งหลันหลั่นเปรยขึ้นกับตัวเองด้วยน้ำเสียงรันทด ในชะตากรรมที่พลิกผันอย่างที่สุดของตน เพราะเมื่อกวาดสายตามองไปรอบตัว ภาพความทรงจำครั้งเก่าเมื่อสิบปีก่อนก็ผุดขึ้นมาในหัวทันที

 องค์หญิงน้อยพระพักตร์และรูปโฉมงดงามกำลังทรงวิ่งเล่นอยู่ตรงระเบียง หัวเราะเสียงดังอย่างสนุกสนาน โดยมีธารกำนัลวิ่งไล่จับตามหลังพระองค์ 

 ตรงเบื้องหน้าคือพระบิดา ที่ตอนนั้นกำลังดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาท พระองค์ทรงยืนมองธิดาอยู่ด้วยพระพักตร์ที่เต็มไปด้วยความเบิกบานและสำราญพระทัย

 องค์หญิงอวี้หลันในวัยบุปผาแรกแย้มยืนมองภาพเหตุการณ์นั้นและกล่าวขึ้นพร้อมกับเสียงสะอึกสะอื้นดังตามมา 

 "เสด็จพ่อ...ลูกกลับมาแล้วเพคะ"

 จากนั้นภาพตรงหน้าก็สลายหายไป เหลือเพียงความมืดมิดและความเงียบสงัด

 ฟ่งหลันหลั่นปาดน้ำตาบนใบหน้าออก ตอนนี้นางไม่มีเวลาให้เสียใจ เพราะเหตุผลที่เสี่ยงตายแอบลักลอบเข้ามาในสถานที่ต้องห้ามนี้ ก็เพื่อหาหลักฐานที่อาจจะเชื่อมโยงไปถึงสาเหตุการตายของตัวเองในครั้งอดีต

 ถ้าสวรรค์เข้าข้างนางอะนะ

 สตรีน้อยหยิบเทียนที่เตรียมมาด้วยออกจากตัวเสื้อด้านในของตนและจุดขึ้น จากนั้นสองเท้าก็เริ่มเดินสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างระแวดระวัง และทุกก้าวย่างของฝีเท้าต้องเบาเสียงให้มากที่สุด

 และเมื่อสตรีน้อยได้เดินมาถึงโซนที่เป็นสถานที่อาบน้ำ นางก็ต้องสะดุดและชะงักฝีเท้าทันที

 "เป็นไปได้ยังไงกัน! สภาพของทุกอย่างในนี้กลับยังคงเหมือนเมื่อสิบปีก่อน ข้าวของทุกชิ้นยังคงวางอยู่ที่ตำแหน่งเดิมไม่มีผิดเพี้ยน" 

 ฟ่งหลันหลั่นกล่าวขึ้นอย่างตะลึงงัน และแทบจะไม่อยากเชื่อสายตาของตนเอง

 เวลาต่อมานางก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ และรีบเดินปรี่ไปหยุดอยู่ตรงริมขอบสระน้ำ จากนั้นก็นั่งลงและค่อย ๆ ยื่นเทียนเล่มน้อยในมือจ่อลงไปตรงพื้นหินอ่อนเบื้องหน้า 

 แสงสว่างจากเปลวเทียนเผยให้เห็นคราบเปื้อนเกรอะกรังสีดำแห้งสนิทอยู่ตรงบนพื้นหินอ่อนนั้น 

 สตรีน้อยค้างนิ่งอยู่ในท่านั้นครู่หนึ่ง ทุกอย่างรอบตัวยังคงเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจและเสียงของสายลมพัดหวีดหวิวเบา ๆ ราวกับเสียงร้องโหยหวนของใครบางคน ฟังแล้วชวนขนลุกยิ่งนัก

 เวลาผ่านไปครึ่งจิบน้ำชา ฟ่งหลันหลั่นก็ดึงสติของตัวเองกลับมาได้ นางจึงลุกขึ้นเดินไปยังสระน้ำ พร้อมกับหันไปหยิบขวดแก้วเปล่าเล็ก ๆ ที่นอนกลิ้งอยู่บนพื้นด้านข้างขึ้นมา จากนั้นก็เอื้อมมือลงไปทางด้านหน้าของตน

 ทันใดนั้นเอง เจ้าตัวก็ได้ยินเสียงของฝีเท้าคู่หนึ่งกำลังเดินตรงปรี่มายังเรือนอาบน้ำแห่งนี้ นางจึงรีบดับเปลวเทียนในมือและหาที่หลบซ่อนตัวทันที

 แต่จังหวะกำลังหาที่หลบซ่อนตัว ฟ่งหลันหลั่นก็ถูกใครบางคนฉุดกระชากลากแขนให้หลบไปยืนอยู่หลังผ้าม่านข้างริมหน้าต่างบานใหญ่ ด้วยความตกใจ อีกทั้งยังกลัวว่าคนผู้นั้นจะเป็นคนร้าย นางจึงออกแรงดิ้นและพยายามจะเอี้ยวตัวเพื่อหันกลับไปมองคนข้างหลัง 

 และด้วยว่าคืนนี้เป็นคืนเดือนหงายจึงพอมีแสงจันทร์รำไรอยู่บ้าง แม้จะไม่ชัดเจน แต่โครงหน้าและกลิ่นกายที่แสนคุ้นเคยนี้จะเป็นของผู้ใดไปไม่ได้ นอกจากเขาผู้นั้น

 หลงอี้หลิง!

 ดวงตากลมโตเบิกโพลงขึ้นอย่างฉงนใจ แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยคำใด คนตรงหน้าก็ยกมือขึ้นมาปิดปากของนางเอาไว้เสียก่อน 

 ทันใดนั้นเองบุคคลปริศนาเจ้าของฝีเท้าที่ฟ่งหลันหลั่นได้ยินก่อนหน้านี้ ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นตรงขอบสระน้ำ แสงจันทร์จากด้านนอกสาดส่องเข้ามากระทบกับใบหน้าด้านข้างของคนผู้นั้นพอดี จึงทำให้คนที่กำลังหลบซ่อนตัวอยู่ ได้เห็นถึงใบหน้าของเขา

 'เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน'

 ทั้งฟ่งหลันหลั่นและบุรุษที่กำลังยืนแนบชิดอยู่ทางด้านหลังของนาง ต่างก็ประหลาดใจและเกิดคำถามขึ้นมาในหัวเกี่ยวกับคนตรงหน้าขอบสระ

 แต่ยังไม่ทันที่จะได้คำตอบ ความสงสัยเคลือบแคลงใจในตัวเขาก็เพิ่มขึ้นมาอีกทันที เพราะการปรากฏตัวของใครอีกคน ที่พวกเขาแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง 

 ซ่งเฉาเกา คนสนิทของเยี่ยอ๋องได้เดินทะลุผ่านความมืดมาหยุดยืนอยู่ด้านหลังของบุรุษคนแรก

 ฟ่งหลันหลั่นจ้องมองบุรุษทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างขอบสระน้ำอย่างตาเขม็ง และเกิดคำถามขึ้นในใจเกี่ยวกับบุรุษอีกคน ซึ่งนับได้ว่าเขาเคยเป็นสหายที่ดีของนางมาโดยตลอด 

 แต่การปรากฏตัวของเขาในสถานที่ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการตายของตนคราวในอดีต และยังมีซ่งเฉาเกาอีกคน ทำให้นางไม่รู้เสียแล้วว่าควรจะไว้ใจบุรุษรูปงามผู้นี้ได้ต่อไปได้อีกหรือไม่ 

  'หยวนจูวเย่! ท่านเป็นมิตรหรือว่าศัตรูของข้ากันแน่'

.....

เซียงไค 盛開