webnovel

0672 บททดสอบของเทพวิญญาณ

ตอนที่ 672 บททดสอบของเทพวิญญาณ

หนังสือศิลาได้เปล่งคำพยากรณ์อันร้ายแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

สีหน้าของผู้ศรัทธาทั้งเจ็ดแปรเปลี่ยนกลับกลาย

เพราะเขาและเธอล้วนเป็นสาวกชั้นนำของคริสตจักรตน ดังนั้นทั้งหมดจึงย่อมสามารถตีความหมายที่ดังออกมาจากหนังสือศิลาได้อย่างง่ายดาย

“นี่มันเรื่องร้ายแรงเกินไป พวกเราควรจะหยุดแล้วกลับไปที่โบสถ์ของตัวเองกันก่อนจะดีกว่า” เด็กสาวที่ปิดตาผละมือของเธอออกจากหนังสือศิลา

ในบรรดาคนทั้งหมด เธอเป็นคนที่มีอายุน้อยที่สุด ดังนั้นในขณะนี้จึงเกิดความรู้สึกประหม่าเล็กน้อย

“เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง!” แอนนาที่อยากกลับจนเต็มแก่แล้วชูมือขึ้นทันที

พอได้ฟัง คนอื่นๆ จึงคอยยกมือออกจากหนังสือศิลา หยุดการถ่ายเทพลังงานลงไป

ปฏิกิริยาของหนังสือศิลาหยุดลงทันที

ชายผมบลอนด์กล่าวอย่างจริงจัง “แต่หนังสือศิลาได้ปรากฏขึ้นมาแล้วนะ ซึ่งปรากฏการณ์นี้เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าอำนาจของเทพวิญญาณได้ผนึกโลกใบนี้ไปแล้วโดยสมบูรณ์ พวกเราไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้หรอก”

“ใช่ นี่ก็เป็นปัญหาใหญ่เหมือนกัน และทางออกเดียวที่พวกเราจะหนีไปได้ นั่นก็คือพวกเราทั้งเจ็ดไม่บรรลุก็ล้มเหลวในบททดสอบ” หญิงชุดเขียวกล่าว

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็จงใจยอมแพ้ในบทสอบของทวยเทพเป็นไง?” เด็กสาวที่ปิดตาเอ่ยปาก

“นั่นมันฟังดูเป็นวิธีที่ยอดไปเลย!” แอนนาสนับสนุนอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

ตราบใดที่ทุกคนล้มเหลว เขาและเธอทั้งเจ็ดก็จะสามารถเดินทางกลับไปที่โบสถ์ของตนได้เลยโดยตรง

นี่เป็นวิธีที่ประหยัดเวลาได้มากที่สุด!

แอนนาหันไปมองคนอื่นๆ ด้วยความคาดหวังว่าพวกเขาจะเห็นด้วยกับเธอ

แต่กลับพบว่า คนอื่นๆ ค่อยๆ พากันส่ายหัว

ชายผมบลอนด์กล่าว “สุภาพสตรีทั้งสอง ดูเหมือนว่าพวกคุณจะเข้าใจผิดไปนะ”

แอนนา “เข้าใจอะไรผิด?”

ชายผมบลอนด์ค่อยๆ กำหมัดอย่างช้าๆ เอ่ยเสียงจม “คำพยากรณ์ของเจ็ดเทพได้มาถึงช่วงจุดสิ้นสุดแล้ว ดังนั้นในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ถ้าพวกเราสามารถนำคำพยากรณ์กลับไปที่คริสตจักร พวกเราก็จะได้รับรางวัลมากกว่าที่เคยได้ตกลงกันไว้ในอดีต”

ชายที่ถือสามง่ามกล่าว “เพราะฉะนั้นได้โปรดพิจารณาให้ดีเถอะ นี่คือคำพยากรณ์สุดท้ายของทวยเทพ นั่นหมายความว่าถ้าพวกเราสามารถล่วงรู้ถึงรายละเอียดของมัน พวกเราก็จะได้รับชื่อเสียงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!”

“ไม่เพียงเท่านั้น” หญิงชุดเขียวแทรก “คำทำนายสุดท้ายของทวยเทพจะต้องมีความลับอันลึกล้ำอย่างสุดแสนอยู่แน่ๆ และถ้าพวกเราสามารถนำมันกลับไป พวกคนระดับสูงจำนวนมากจะต้องเข้ามาพบกับพวกเราเป็นการส่วนตัว ซึ่งพวกเราสามารถฉวยโอกาสนั้น ปีนป่ายขึ้นไปสานสัมพันธ์กับพวกเขาได้”

หลายคนยกเหตุผลต่างๆ นานาขึ้นมา พร้อมกับใบหน้าที่แสดงถึงความตื่นเต้น

นี่เป็นโอกาสที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับตนเองมาก่อน

สันนิษฐานได้เลยว่า กระทั่งผู้นำคริสตจักรที่ส่งพวกเขามา ก็คงไม่คาดคิดเหมือนกันว่ามันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ขึ้น!

แอนนากวาดตามองใบหน้าของคนทั้งหลาย เธอตระหนักได้ทันทีว่าคงไม่มีทางโน้มน้าวใจพวกเขา ปากอ้าถอนหายใจด้วยความผิดหวัง

ทำไมคนพวกนี้ถึงยังมามัวทำลอยหน้าลอยตาได้อยู่กันนะ?

พวกเขาไม่เข้าใจเลยรึไง ว่าความแข็งแกร่งส่วนตนต่างหาก ที่เป็นปัจจัยพื้นฐานในการใช้ตัดสินได้ทุกสิ่ง

แต่แทนที่จะเลือกไขว่คว้าชัยชนะมาได้ด้วยความแข็งแกร่งของตนเอง พวกเขากลับเลือกที่จะใช้ทางลัดให้ได้มาซึ่งชื่อเสียง ด้วยเหตุนี้ กล่าวได้ว่าเรื่องแนวคิดพื้นฐานที่จำเป็นต้องมีในการยกระดับ พวกเขาก็ขาดแคลนไปมากโขแล้ว

ที่จริงถ้าเสริมแกร่งต่อไปเรื่อยๆ มันก็น่าจะพอแล้ว เพราะตราบใดที่มนุษย์ฝึกฝนได้จนถึงขั้นสามารถครอบครองความแข็งแกร่งเช่นเดียวกันกับเทพวิญญาณ ถึงเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงหรือสมบัติใดๆ ทั้งหมดก็จะถูกนำมามอบให้กับพวกเขาเอง

ความแข็งแกร่งน่ะคือทุกสิ่ง!

แต่น่าเสียดายจริงๆ ที่ทุกอย่างมันดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว เธอไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของทุกคนได้

เด็กสาวที่หลับตาอยู่หันไปมองแอนนา ยิ้มให้เธอในเชิงขอโทษ

แอนนาส่ายหัวเล็กน้อย ส่งสัญญาณว่าไม่เป็นไรหรอก

‘เฮ้อ...อย่างน้อยก็ยังมีความโชคดีในความโชคร้าย’

เพราะในบรรดากลุ่มคนเหล่านี้ อย่างน้อยเธอก็ได้พบกับคนที่มีความคิดเดียวกันกับตัวเอง

อีกฝ่ายเป็นแม่ชีของคริสตจักรแห่งโชคชะตา มีนิสัยที่อ่อนโยนละสุภาพต่อคนอื่นๆ เป็นอย่างมาก

แอนนาเกิดความรู้สึกประทับใจกับเด็กสาวตัวน้อยคนนี้

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน ไม่ว่าอย่างไรลำพังเธอและเด็กสาวก็ย่อมไม่สามารถที่จะเปลี่ยนความคิดของทุกคนได้

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ย่อมไม่มีทางเลือกใดอีก นอกไปจากร่วมมือกับผู้ศรัทธาเทพองค์อื่นๆ เพื่อหวังว่าจะสามารถช่วยให้บรรลุการทดสอบได้เร็วขึ้นแม้จะเล็กน้อย

ผู้ศรัทธาทั้งเจ็ดกดมือลงบนหนังสือศิลาอีกครั้ง และถ่ายเทพลังเข้าไป

เสียงอันเปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ดังขึ้นมาจากหนังสือศิลาในทันที

“ความแข็งแกร่งคือรากฐานของทุกสิ่งอย่าง!”

แอนนายกคิ้วสูงขึ้นด้วยความประหลาดใจ นี่มันเหมือนกับสิ่งที่ในจิตใจของเธอคิดเอาไว้เลยนี่นา

เสียงยังคงดังต่อ

“การทดสอบขั้นสูงสุดของทวยเทพ คือการทดสอบความแข็งแกร่ง”

“ความแข็งแกร่งของพวกเจ้าจะได้รับการประเมินอย่างเท่าเทียมกัน และบททดสอบที่เกี่ยวข้องกำลังจะเริ่มต้นขึ้น!”

“โปรดเอาชนะสิ่งรังสรรค์ของทวยเทพ เพื่อเปิดคำพยากรณ์สุดท้าย!”

โครม!

ตลอดทั้งห้องโถงเกิดการสั่นสะเทือนอีกครั้ง

“ร้องขอให้ผู้ทดสอบก้าวไปในส่วนลึกของถ้ำ เพื่อเข้ารับการทดสอบ” หนังสือศิลากล่าว

“ดูนั่นสิ!” ชายผมบลอนด์อุทาน

ทุกคนหันไปมองตามเขา

เห็นแค่เพียงสุดปลายอีกด้านหนึ่งของห้องโถงใหญ่ ปรากฏถ้ำอันมืดมิดผุดออกมาจากในอากาศที่ว่างเปล่า

ถ้ำแห่งนี้เปรียบเสมือนกับปากใหญ่ของสัตว์ประหลาด มันฟุ้งไปด้วยกลิ่นอายอันน่าสยดสยองอย่างมิอาจบอกบรรยายได้

แม้ว่าจะไม่สามารถมองเห็นภายในได้อย่างชัดเจน แต่ก็สามารถสัมผัสได้ว่า กำลังมีบางสิ่งบางอย่างที่มีขนาดใหญ่เคลื่อนไหวอยู่ในถ้ำมืด

ความหนาวเย็นเสียดแทงเข้ามาในจิตใจของทุกคน

นั่นคือสิ่งรังสรรค์ของทวยเทพ!

ทุกคนต่างก็คิดเห็นเช่นเดียวกันในเรื่องนี้

ชายผมบลอนด์คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “ในบรรดาพวกเรา คนที่เหมาะสมที่สุดที่จะเผชิญกับสิ่งที่ไม่รู้จักก็คือผู้ศรัทธาของเทพแห่งโชคชะตา ดังนั้นมันจะเป็นการดีกว่าถ้าเป็นเธอที่เข้าไปคนแรก”

เขาหันมามองเด็กสาวที่สองตาปิดสนิท

และคนอื่นๆ ก็เอ่ยอนุมัติเป็นเสียงเดียวกันทันที

“หา? เป็นหนูหรือ?” เด็กสาวคนนั้นลังเล แต่สุดท้ายก็รวบรวมความกล้าและพูดขึ้น “ตกลง หนูจะไปเอง”

แอนนาคว้าหมับ รั้งเธอเอาไว้

หญิงสาวหันไปมองชายผมบลอนด์และกล่าว “เธอคนนี้เชี่ยวชาญในด้านการทำนายและสอดแนม ไม่เหมาะที่จะถูกส่งให้เข้าไปทานรับการต่อสู้อย่างกะทันหัน พวกนายที่เป็นนักสู้ระยะประชิดต่างหาก ที่สมควรจะเป็นคนเข้าไป”

ชายผมบลอนด์ขมวดคิ้ว และกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง

แต่เด็กสาวที่สองตาปิดสนิทยิ้มเล็กน้อย ค่อยๆ แกะมือของแอนนาอย่างแผ่วเบา “ไม่เป็นไรหรอก ในกรณีที่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้น หนูจะยอมแพ้ทันที และรีบกลับมาบอกทุกคนเกี่ยวกับสถานการณ์ภายใน”

ว่าจบ เด็กสาวก็ยกสองมือขึ้นกุมจี้บนคอ ค่อยๆ เดินตรงเข้าไปในถ้ำมืด

ในหัวใจของแอนนาเริ่มลุกโชน

เธอหันไปมองคนอื่นๆ โดยรอบด้วยความโกรธ และตะโกนออกมา “เห็นได้ชัดว่าฉันกับเด็กคนนั้นยื่นข้อเสนอให้พวกเรายอมแพ้ แต่พวกนายกลับยืนกรานที่จะบรรลุการทดสอบให้จงได้ แต่พอถึงเวลาจริงๆ กลับไม่กล้า เลือกที่จะถอยหนี”

“ไม่ใช่แบบนั้น” ชายที่ถือสามง่ามอธิบาย “พวกเราแค่ให้เธอไปตรวจสอบสถานการณ์ ส่วนการต่อสู้ที่แท้จริงหลังจากนั้นจะเป็นหน้าที่ของพวกเราต่างหาก”

ชายผมบลอนด์ช่วยเสริม “ในบรรดาพวกเราทั้งเจ็ดคน เด็กคนนั้นมีกำลังรบอ่อนด้อยที่สุด ดังนั้นในครั้งนี้เธอเลยได้รับเลือกให้ไปทำหน้าที่ตรวจสอบ ส่วนเรื่องสำคัญอื่นๆ จะขึ้นอยู่กับพวกเรา”

“ถูกต้อง”

“นั่นแหละคือสิ่งที่สมควรจะเป็น”

“มันคือการแบ่งงานตามความเหมาะสมต่างหาก”

ผู้หญิงในชุดเขียว ชายน้ำแข็งที่สวมถุงมือ และชายร่างใหญ่ที่มีคู่ปีก ต่างพากันพูดสวนกลับมา

เมื่อต้องเผชิญกับข้อสรุปอันเป็นเอกฉันท์ แอนนาก็ไม่สามารถหาคำมาโต้แย้งได้อีกต่อไป

เพราะท้ายที่สุดแล้ว เธอเองก็ไม่ใช่พวกใช้ฝีปากสู้ซะทีเดียว

ทันใดนั้นเอง เสียงกรีดร้องอันน่าหวาดกลัวก็พลันดังขึ้น

“อ๊าาาาา...”

ในเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดที่ดังออกมา มันผสานโชยมากับกลิ่นเลือดอันรุนแรง

กลิ่นสาบเลือดพร้อมกันกับกลิ่นอายลางไม่ดีอย่างร้ายแรง กระพือเข้าใส่ทุกคน

“นี่มัน…”

ชายที่มีคู่ปีกเอ่ยงึมงำ ก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว

ด้วยกลิ่นอายที่พัดผ่าน ส่งผลให้ฝูงชนตระหนักได้ในทันที ว่าอำนาจที่แฝงมากับมันนี้ แข็งกร้าวยิ่งกว่าเขาและเธอทุกคน

ในถ้ำมืด เสียงกรีดร้อง และการต่อสู้ยังคงดังสะท้อนออกมาอีกครั้ง และอีกครั้ง

สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนกลับกลาย

ชายผมบลอนด์กล่าว “แบบนี้ไม่ดีแน่ มอนสเตอร์ภายในถ้ำมันแข็งแกร่งเกินไป ด้วยพลังของฉัน อย่างมากที่สุดก็ทำได้เพียงตกตายไปพร้อมกับมันเท่านั้น”

“ถ้าถึงขั้นต้องแลกชีวิตเพื่อคำพยากรณ์แล้วล่ะก็ สำหรับฉันมันไม่คุ้มค่าเลย!”

เขาส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ชายผู้ถือสามง่ามก้าวถอยหลังและกล่าว “ดูเหมือนว่าสถานการณ์นี้มันจะอันตรายเกินกว่าที่พวกเราคาดไว้ ดังนั้น ฉันขอแนะนำให้ทุกคนยอมแพ้ แล้วรีบกลับไปขอความช่วยเหลือจะดีกว่า!”

“นั่นเป็นทางเลือกที่ฉลาดมาก ฉันเห็นด้วย!” หญิงในชุดเขียวสนับสนุน

แต่ทันใดนั้นเอง เสียงของหญิงสาวที่เปี่ยมไปด้วยความโกรธและเจตนาฆ่าก็ก้องกังวานขึ้น

“ไอ้...พวก...สารเลว!” แอนนาตะโกนกร้าว

เธอหันไปมองหนังสือศิลาและเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว “เด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?”

“ยังมีลมหายใจอยู่ แต่รวยรินเหลือเกิน” หนังสือศิลาตอบ

ใบหน้าของแอนนาซีดเผือด เร่งถามด้วยความกังวล “ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเธอล้มเหลวแล้วใช่ไหม? ถ้าเช่นนั้นฉันก็สามารถเข้าไปได้เลยซินะ!”

“ย่อมสามารถ”

ทันทีที่เสียงของหนังสือศิลาดังขึ้นว่า ‘ย่อมสามารถ’ แอนนาก็กระโจนไปยังทิศทางของถ้ำมืด

ระหว่างกลางอากาศ ปากของหญิงสาวก็เริ่มขมุบขมิบ สวดมนต์อธิษฐาน

“ความตายเอ๋ย ในฐานะที่ข้าเป็นผู้รับใช้แห่งเจ้า ฉะนั้นไม่ว่าจักชีวิตหรือความตายของสิ่งมีชีวิตใด ก็ล้วนจักต้องถูกตัดสินโดยข้า!”

เปิดใช้งานเทคนิคมนตราแห่งความตาย!

เปรี้ยง!

ผมสีดำเข้มปลิวไสวอย่างรุนแรง เฉกเช่นเดียวกันกับแสงทมิฬที่สาดออกมาจากตัวของแอนนา ท่วมทับไปตลอดทั้งห้องโถงใหญ่

ด้ามเคียวยาวที่ถูกกุมอยู่ในมือเธอพลันลุกไหม้ เปลวเพลิงอันมืดมิดเริ่มลุกลามขึ้นไปติดตามขอบใบเคียวอันแหลมคมอย่างเงียบๆ

แอนนาไม่ลังเลเลยที่จะระเบิดพลังของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่!

แต่แล้วในเสี้ยววินาที ปรากฏการณ์เมื่อครู่ทั้งหมดก็หายไป

ร่างของแอนนาหายเข้าไปในถ้ำมืด

ที่เหลืออยู่อีกห้าคน ฉันมองเธอ เธอมองฉัน นิ่งงันไปพักหนึ่ง ไม่อาจเอ่ยคำใดได้

แต่ไม่นานนัก ผู้หญิงในชุดเขียวก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา “ฉันขอแนะนำให้พวกเราร่วมมือกันอย่างจริงจัง”

“เธอหมายความว่าอย่างไร?” ชายผมบลอนด์ถาม

“อย่าบอกนะว่านายไม่รู้สึกเลยว่า ผู้หญิงจากคริสตจักรแห่งความตายน่ะมีความคิดที่จะฆ่าพวกเรา”

หญิงชุดเขียวส่ายหัวและกล่าวต่อ “เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ใช่คนปกติ แถมพลังที่เธอระเบิดออกมามันก็น่ากลัวเกินไป ซึ่งถ้าเธอคิดลงมือกับพวกเราด้วยพลังแบบนั้นจริงๆ...ฉันไม่คิดว่าจะมีใครสามารถต้านทานมันได้หรอก”

บังเกิดซึ่งความเงียบ

ชั่วเวลานี้ เหล่าผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ทั้งหลายต่างก็เริ่มแสดงความคิดเห็นของพวกเขาออกมาทีละคน ทีละคน

“ถึงแม้ว่าเธอจะน่าหวาดกลัว แต่อย่างไรเสียคนหมู่มากก็ย่อมมีกำลังรบมากกว่าเสมอ” ชายที่ถือสามง่ามกล่าว

“ใช่ เพราะฉะนั้นมาร่วมมือกันเถอะ” ชายที่มีคู่ปีกเห็นด้วย

ชายผมบลอนด์ครุ่นคิดและสรุปออกมา “ถ้าพวกเราสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และร่วมมือกันล่ะก็ ไม่ว่าจะเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากแค่ไหน ตัวอย่างเช่น เกิดเผชิญหน้ากับคนทรยศของโบสถ์อื่นๆ เข้า…ก็น่าจะสามารถเอาชนะได้ไม่ยาก”

“นั่นแหละคือสิ่งที่ควรจะเป็น” ผู้หญิงในชุดเขียวกล่าวทันที

........................................