webnovel

0666 สถานีด่านหน้า

ตอนที่ 666 สถานีด่านหน้ากระทัน

ณ โลกเทวะหลังจากที่ถูกผสานรวม

ภายในวังร้อยบุปผา

เซี่ยเต๋าหลิงทิ้งตัวนั่งลงบนบัลลังก์

ตอนนี้เธอไม่แม้สามารถจะเอนกายพิงพนักบัลลังก์อย่างสะดวกสบายได้เหมือนเมื่อก่อน จำต้องต้องขยับตัวไปด้านหลังเล็กน้อย จึงจะสามารถพิงได้

ส่งผลให้เท้าของเธออยู่ห่างจากพื้น ลอยอยู่กลางอากาศ

สองเท้ากะทัดรัดกระดิกไปมาโดยไม่รู้ตัว

ยกไปยกมาคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

สักพักหนึ่ง เสียงอ่อนหวานของเด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะก็ดังขึ้นภายในโถงที่ว่างเปล่า

“จริงๆ แล้วแบบนี้มัน...ค่อนข้างจะลำบากไปหน่อยแฮะ”

ย้อนกลับไปไตร่ตรองเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เซี่ยเต๋าหลิงรู้สึกหมดหนทาง แต่ขณะเดียวกันก็เริ่มระแวดระวังตนขึ้นเล็กน้อย

หลังจากที่เริ่มวิเคราะห์บทสนทนาที่ผ่านมาซ้ำๆ ในที่สุดด้วยสัญชาตญาณของเธอ ก็ได้ข้อสรุปจากใจความสำคัญของหยุนจีว่า...

“จงอย่า…ออกไปข้างนอกอย่างนั้นหรือ?”

เซี่ยเต๋าหลิงพึมพำ

เธอวางตุ๊กตาผ้าลงข้างตัว และหยิบกระดองเต๋าแปดเหลี่ยมขึ้นมา

หกศิลป์แห่งผู้ฝึกยุทธ์นั้นประกอบไปด้วย ทำนายชะตา จัดตั้งค่ายกล หลอมอาวุธ กลั่นเม็ดยา สร้างยันต์ และปรุงอาหารวิญญาณ

ในบรรดาทั้งหมดที่กล่าวมา เทคนิคทำนายชะตานับว่าเป็นกระบวนการที่ลึกลับและลึกซึ้ง ยากต่อการเรียนรู้และใช้งานมากที่สุด

การที่จะหลบเร้นเข้าไปลอบมองเศษเสี้ยวแห่งโชคชะตาจากสรวงสวรรค์ มันไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย

อย่างไรก็ตาม เซี่ยเต๋าหลิงมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างยิ่งในเทคนิคทำนายชะตา ประจวบกับฐานวรยุทธ์ตอนนี้ที่สูงล้ำยิ่งกว่าในอดีตไปไกลโข ส่งผลให้ความรู้ความเข้าใจในกฎเกณฑ์และทุกสรรพสิ่งเพิ่มพูนขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ด้วยเหตุนี้เอง เทคนิคทำนายชะตาของเธอจึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เห็นแค่เพียงนิ้วเล็กๆ ของเด็กสาวเรืองแสงน้อยๆ ขีดเขียนไม่กี่คำลงไปในกระดองเต๋าแปดเหลี่ยมอย่างรวดเร็ว

“มังกรหลับ อย่าแผลงฤทธิ์”

เฝ้ารอจนกระทั่งแสงสวรรค์ร้อยเรียงเป็นคำเหล่านี้ เซี่ยเต๋าหลิงจึงค่อยเหยียดมือกะทัดรัดนุ่มนิ่มถือกระดองเต่าเอาไว้ ปากอ้าตะโกนเบาๆ “จงเผาไหม้!”

ไฟกระชากออกจากมือของเธอ และกระดองเต่าก็ถูกแผดเผาอย่างรุนแรง

ในช่วงเวลาสั้นๆ เสียงปะทุแตกหักก็ดังออกมาจากกระดองเต่า

เฝ้ารออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อกระดองเต่ากลายเป็นสีดำ ไฟมอดดับลงและไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมาอีกต่อไป

เซี่ยเต๋าหลิงก็วางกระดองลงเบื้องหน้า และพินิจดูมันอย่างรอบคอบ

เห็นแค่เพียงรอยแตกร้าวของกระดองเต่าที่ถูกเผาไหม้กระจายไปทุกที่ เกือบทุกๆ ตำแหน่งแทบจะถูกทำลายลง

ทว่ามีเฉพาะเพียงในตำแหน่งที่มีตัวอักษรว่า “มังกรหลับ อย่าแผลงฤทธิ์” เท่านั้นที่ไม่มีรอยแตกเลย

เซี่ยเต๋าหลิงงึมงำ “จะพานพบเรื่องไม่ดี ออกไปสู้ข้างนอกก็ไม่ได้ จำต้องอยู่กับที่...ดูเหมือนว่าจนกว่าจะพร้อม ข้าไม่สมควรที่จะออกไปข้างนอกอีกเลยจริงๆ”

เธอเก็บกระดองเต่า หันไปมองตุ๊กตาผ้าและถอนหายใจ

“แต่เดิม กลับกลายเป็นว่า เจ้าตุ๊กตาตัวนี้มันมีประโยชน์ต่อข้าจริงๆ”

“ดีล่ะ เช่นนั้นข้าก็จะฝึกยุทธ์ที่นี่อย่างสบายใจ จนกว่าจะสามารถตัดผ่านอุปสรรคไปได้”

สองมือกอดตุ๊กตาผ้าไว้ในอ้อมอก นางเซียนไป่ฮั่วที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เริ่มหลับตาลง เข้าสู่ห้วงสมาธิ

ทุกสิ่งเงียบงันไปพักหนึ่ง

แต่ไม่นาน เสียงฝีเท้าที่ดูเร่งร้อนก็ดังขึ้น

การฝึกยุทธ์ถูกขัดจังหวะอย่างกะทันหัน เซี่ยเต๋าหลิงย่นหว่างคิ้ว และค่อยๆ ลืมตาขึ้น

มองไปยังฉินเซี่ยวโหลวกับซิวซิวที่ปรากฏตัวขึ้นตรงปากทางเข้าห้องโถงใหญ่

นางเซียนไป่ฮั่วกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่ก็ตระหนักได้ถึงสภาพร่างกายของตนเองในปัจจุบันเสียก่อน

‘อา แล้วข้าควรจะเริ่มอธิบายจากตรงไหนดี?’

ฉินเซี่ยวโหลวตะโกนถามเสียงดัง “เจ้าเป็นใครกันสาวน้อย? กล้าที่จะมานั่งบนบัลลังก์หมื่นบุปผาได้อย่างไร? ไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วใช่หรือไม่?”

เซี่ยเต๋าหลิงถอนหายใจ อธิบายออกไป “เซี่ยวโหลว เป็นข้าเอง อาจารย์เจ้า”

เธอพยายามทำท่าทีเคร่งขรึม แต่เพราะขนาดตัวที่เล็กเกินไป การแสดงออกที่ปรากฏออกมามันเลยดูไปในทิศทางน่ารักน่าชังซะอย่างนั้น

“ฮ่าๆๆ เจ้าน่ะหรือเป็นอาจารย์ข้า?” ฉินเซี่ยวโหลวระเบิดเสียงหัวเราะ

จากความรู้ความเข้าใจของเขา เจ้าตัวคาดเดาว่าเด็กสาวตัวน้อยตรงหน้าผู้นี้ สมควรเป็นบุตรสาวคนใดคนหนึ่งจากพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยือนอาจารย์

เซี่ยวโหลวม้วนแขนเสื้อขึ้น ชี้ไปบนบัลลังก์ด้วยท่าทีดุร้าย “ข้ามิหลงกริยาน่าชังของเจ้าหรอก! จงรีบลงมาจากบัลลังก์เดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นท่านลุงจะตีก้นเจ้า!”

ดวงตาของนางเซียนไป่ฮั่วหรี่แคบลงทันที กลิ่นอายอันตรายถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกาย

ทว่าเนื่องด้วยสภาพร่างกายที่เด็กเกินไป ส่งผลให้กลิ่นอายอันตรายมันมิอาจถูกปลดปล่อยออกมาได้เลย ทำให้ในเวลานี้นอกเหนือไปจากการแสดงออกที่ดูน่ารักแล้ว มันก็ไม่สื่อความหมายอื่นใดอีก

ข้อเท็จจริงอันไร้ประโยชน์เช่นนี้ ทำให้เซี่ยเต๋าหลิงรู้สึกรำคาญไม่น้อย

“ท่านลุง? ตีก้น? เหตุใดกันหนอข้าถึงได้มีลูกศิษย์ที่โง่เง่าถึงเพียงนี้”

ระหว่างกล่าว มือของเด็กสาวก็ค่อยๆ เริ่มจีบออกด้วยวิชาลับอย่างช้าๆ

ไม่ว่าร่างกายจะแปรเปลี่ยนไปอย่างไร แต่วิธีการลงโทษก็ยังโหดเหี้ยมสมกับเป็นเธอเสมอมา

อย่างรวดเร็ว เสียงกรีดร้องน่าสมเพชก็ดังสะท้อนไปตลอดทั้งห้องโถงใหญ่

อีกด้านหนึ่ง

ในขณะที่จ้าววงการทั้งสี่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์

ตัวกู่ฉิงซานเองก็กำลังอ่านมันด้วยเช่นกัน

“ปืนกลมือตายแล้ว…”

เขาพึมพำกับตัวเอง นิ่งงันไปพักหนึ่ง ราวกับไม่อาจยอมรับความจริงได้

ไม่คาดคิดเลยว่าตัวตนทรงอำนาจอย่างปืนกลมือ จะตกตายลงอย่างกะทันหันแบบนี้

การดำรงอยู่ประเภทใดกันหนอ ที่ซ่อนอยู่ในสถาบันเทพ?

ระหว่างกำลังขบคิดนั้นเอง เสียงของผู้หญิงก็ดังขึ้นในหูของเขา

“เจ้ากำลังอ่านอะไรอยู่ ข้ามิอาจทำความเข้าใจคำใดได้เลย”

เป็นหนิงเยว่ฉานที่กล่าวออกมาอย่างสูญสิ้นความมั่นใจ

การแสดงออกเช่นนี้ สำหรับตัวเธอแล้วนับว่ายากนักที่จะพบเจอ

แต่ก็คงจะตำหนิเธอไม่ได้ เพราะท้ายที่สุดนี้ เมื่อต้องโผล่มาในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นตา และพบเจอผู้คนรอบกายที่พูด หรือป้ายร้านค้าที่มิอาจทำความเข้าใจได้ การจะกังวลมันก็เป็นเรื่องธรรมดา

เธอลองสังเกตป้ายร้านค้าต่างๆ อย่างกระตือรือร้น และพบว่าตัวอักษรต่างๆ บนมัน เหมือนจะไม่ใช่ภาษาเดียวกัน

กระทั่งผู้คนจำนวนมาก ก็ยังพูดกันด้วยหลากหลายภาษา

ก่อนที่เธอจะออกมา ทางนิกายก็ได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ก็สอนมันให้เธอได้แค่สามภาษาเท่านั้น

กู่ฉิงซานเก็บหนังสือพิมพ์ เผยยิ้มปลอบประโลม “ไม่เป็นไรหรอก ในเมื่อพวกเราออกมากันแล้ว เช่นนั้นข้าจะช่วยจัดการแก้ไขปัญหาในด้านภาษาของเจ้าก่อนเป็นอันดับแรก”

“ในตอนของเจ้า เจ้าสามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างไรกัน?” หนิงเยว่ฉานถาม

“พอดีว่าข้ามีสหายผู้มากไปด้วยความรู้อยู่น่ะ และก็เป็นพวกเขาเช่นกันที่ช่วยแก้ไขปัญหาด้านภาษาให้แก่ข้า” กู่ฉิงซานตอบ

“แล้วข้าควรจะทำอย่างไรดี?”

“สบายใจได้ ข้าจะหาทางให้เอง”

ว่าจบ กู่ฉิงซานก็หยิบแผนที่ขึ้นมา

นี่คือแผนที่ของสถานีด่านหน้าที่ระบุถึงตำแหน่งของสิ่งอำนาจความสะดวกต่างๆ

สถานีด่านหน้าเป็นโลกมิติอนันต์ที่อยู่ใกล้เคียงกับดินแดนชิงอำนาจมากที่สุด และมีหน้าที่รับผิดชอบในการส่งบุคลากรไปยังดินแดนชิงอำนาจ

ดังนั้น ทุกคนที่คิดจะเข้าสู่ดินแดนชิงอำนาจจึงต้องมาหยุดพักที่นี่ในระยะเวลาอันสั้นเสียก่อน

ด้วยเหตุนี้เอง ยิ่งวันเวลาเดือนปีได้ผ่านพ้นไป โลกมิติอนันต์แห่งนี้จึงค่อยๆ พัฒนาขึ้น เจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ส่งผลให้มันมีลักษณะไม่เหมือนกับฐานทัพด่านหน้าเลย แต่เหมือนกับท่าเรือการค้าที่คึกคักซะมากกว่า

“เจอแล้ว พวกเราต้องเดินทะลุออกไปอีกสองช่วงตึก ที่นั่นมีร้านหนังสืออยู่” กู่ฉิงซานปิดแผนที่

หนิงเยว่ฉานพยักหน้า และเดินตามเขาไป

ผู้คนสัญจรไปมาตามถนนหนทาง รูปลักษณ์และสรีระของบางคนที่แปลกออกไปได้ดึงดูดความสนใจจากหนิงเยว่ฉาน

“เจ้าดูนั่นสิ ทำไมฟันของชายคนนั้นถึงได้ยาวจัง” เธอเอ่ยเสียงกระซิบ

“อ๋อ นั่นไม่ใช่ฟัน แต่เป็นงา เขาคือเผ่าพันธ์แมมมอธที่แข็งแกร่ง”

“ถ้าเช่นนั้นเขาก็เป็นมอนสเตอร์น่ะสิ?”

“มันก็ใช่ แต่สาเหตุที่เขาแปรสภาพเป็นมนุษย์ นั่นก็เพราะร่างกายดั้งเดิมของตัวเขาเองมันใหญ่เกินไป มันไม่สะดวกที่จะเดินทางไปไหนมาไหน และอีกอย่าง รูปลักษณ์ที่ปรากฏของเหล่าทวยเทพก็เป็นเหมือนมนุษย์ ดังนั้นในสมัครพรรคพวกในอาณาจักรทั้งมวลจึงเลือกที่จะใช้ภาพลักษณ์ของเผ่ามนุษย์เป็นตัวหลักในการสื่อสารกันไปโดยปริยาย”

“เจ้ากำลังจะบอกว่า หลายคนในสถานที่แห่งนี้มิใช่มนุษย์อย่างนั้นหรือ?”

“ใช่ ทำไม? เจ้ากลัวหรือ?”

“เปล่า มันน่าสนใจไม่น้อยเลยต่างหาก” หนิงเยว่ฉานหัวเราะเบาๆ

ในเวลานั้นเอง มนุษย์ที่ทั้งกายถูกปกคลุมไปด้วยขนสัตว์สีดำ กำลังเดินผ่านกู่ฉิงซานไปก็ได้ยินบทสนทนาเข้าพอดี มันจึงหันมาพูดคุยด้วย “ฉันได้ยินที่พวกนายคุยกันแล้ว สาวน้อยหน้าใหม่คนนี้หน้าตาไม่เลวเลย ท่าทีก็ยังไม่รู้ความ นายสนใจจะขายเธอให้ฉันไหม?”

“ไม่ขายโว้ย” กู่ฉิงซานสวนไป

ชายคนนั้นถลึงตามองกู่ฉิงซานอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบเครื่องจักรขนาดเล็กออกมาดูข้อมูลอะไรบางอย่าง แล้วจึงค่อยเดินจากไปด้วยดวงตาขุ่นเขียว

“ดูเหมือนว่าขนาดแค่เพิ่งเริ่มต้น เจ้าก็หาเหตุมาให้ตนเองถูกฆ่าเสียแล้ว” จู่ๆหนิงเย่วฉานก็กล่าวขึ้น

“เจ้าเข้าใจเช่นนั้นหรือว่าเมื่อครู่มันกล่าวสิ่งใด?” กู่ฉิงซานอุทานด้วยความประหลาดใจ

หนิงเยว่ฉาน “ไม่เข้าใจหรอก แต่ข้าสัมผัสได้ถึงเจตนาร้ายในแววตาของมัน เห็นนั่นไหม มันหันกลับมามองพวกเราอีกแล้ว ให้ข้าออกไปตัดหัวมันเลยดีไหม?”

ระหว่างพูด เธอก็เอื้อมมือไปกุมด้ามกระบี่

กู่ฉิงซานปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผากตน เร่งคว้าจับมือของเธอ ปากเอ่ยเตือนทันที

“ที่นี่ยังไม่ใช่ดินแดนชิงอำนาจ มันจะเป็นการดีกว่าถ้าพวกเราไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย”

“และแน่นอน ว่าพวกเราไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับขยะพวกนั้นหรอก”

“...แต่น่าเสียดายที่เหลิงเทียนสิงมิได้มาด้วย ไม่อย่างนั้นด้วยสกิลขั้นเทพในการต่อรองราคาของเขา การซื้อขายของพวกเราคงจะมีสีสันไม่มากก็น้อย”

กู่ฉิงซานพยายามเปลี่ยนหัวข้อเพื่อเบนความสนใจของหนิงเยว่ฉาน และมันก็ได้ผลจริงๆ เธอสวนกลับมาด้วยรอยยิ้ม “แต่ข้าคิดว่าการที่เขาไม่มามันเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกันนะ”

“ทำไมถึงพูดแบบนั้น?”

“เพราะเขาได้พบกับสหายเต๋าคู่ฝึกยุทธ์แล้วน่ะซี และเด็กของพวกเขาก็เกือบจะคลอดแล้วด้วย”

“ว่าไงนะ!” กู่ฉิงซานตะโกน

คราวนี้ กลับกลายเป็นเขาจะเองที่ถูกดึงดูดความสนใจ

“และเจ้าคงจะจินตนาการไม่ถึงแน่นอน เพราะสหายเต๋าคู่ครองของเขาก็คือหลี่เสี่ยวหยูจากนิกายลั่วเซี่ย”

“โอ้ ที่แท้ก็แม่นางที่รู้จักกันในนามหนึ่งในสองฉายาคู่หญิงงามนี่เอง”

“เอ๊ะ? เจ้ารู้จักนางด้วยหรือ?”

“ก็ไม่เชิงนะ เมื่อนานมาแล้ว ในช่วงที่ข้ากับฉินเซี่ยวโหลวยังมิได้เปลี่ยนฉายาที่คู่กันว่า ‘ฉิงโหลว[footnoteRef:1]’ พวกเราเคยพูดคุยกันถึงเรื่องคู่ฉายาของคนจากนิกายอื่นๆ อยู่เหมือนกัน” [1: ซ่องหรือหอนางโลม คือ ฉายาในตอนที่ตั้งชื่อเรือเหาะกัน]

หนิงเยว่ฉานพอได้ยินก็หัวเราะ

หลังจากหัวเราะ เธอก็เอ่ยปากว่า “หลี่เสี่ยวหยูมีชื่อเสียงในด้านความงามก้องไปตลอดทั้งโลกหล้า ส่วนเหลิงเทียนสิงเองก็ได้รับการยินยอมให้กลายเป็นคู่ฝึกยุทธ์กับนาง มันช่างเป็นโอกาสที่ดีในการดัดนิสัยของเขาเสียจริงๆ”

“หมายความว่าอย่างไร?”

“ก็เหลิงเทียนสิงน่ะมีพลังวิญญาณธาตุน้ำ เจ้าตัวจึงชมชอบในความสงบเยือกเย็น ทว่าเมื่ออยู่เคียงคู่กับแม่นางหลี่ เขาก็มิอาจเยือกเย็นได้อีกเลย”

“ข้าจำได้ว่าครั้งหนึ่ง ข้ากับเหลิงเทียนสิงเคยนำกลุ่มออกไปกำจัดสัตว์ร้ายที่ยังหลงเหลือในโลกเทวะ ระหว่างนั้นเอง จู่ๆ หลี่เสี่ยวหยูก็ส่งยันต์สื่อสารมา และกล่าวว่าต้องการลิ้มลองฝีมือการทำอาหารของเขา”

“แล้วอย่างไรต่อ?”

“เหลิงเทียนสิงก็เลยหยุดเดินไปพักหนึ่ง เขาพูดคำหนึ่งผ่านยันต์สื่อสารว่า ‘ตกลง’ และรีบกลับไปทันที”

“เขาทิ้งภารกิจเพื่อกลับไปหาเมียเลยหรือ!”

“ไม่หรอก ในช่วงเวลานั้นภารกิจเรียกได้ว่าเสร็จสมบูรณ์แล้ว ก่อนจะไป เขาก็หันมาถามข้าเหมือนกัน พอข้าบอกไม่เป็นไร เขาก็กระโจนออกไปอย่างกับกระต่ายตื่นตูม พุ่งหายไปราวกับลูกศรทันที”

หนิงเยว่ฉานส่ายหัว กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่อาจลืมสีหน้าร้อนรนที่ชวนขบขันของเขาในเวลานั้นไปได้เลย”

ระหว่างสนทนา ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงที่หมาย

มีร้านหนังสืออยู่สี่ร้านในซอยนี้

ช่วงเวลานั้นเอง กู่ฉิงซานก็หันไปเป็นร้านคนรู้จักพอดิบพอดี

ตรงทางเข้าร้านหนังสือของสมาคมหอสูง ชายแก่คนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่นั่นด้วยท่าทีกังวล

ชายแก่คนนี้ คือคนที่พาเขาไปยังอัลเบอัสนั่นเอง

“เอ๊ะ? นั่นเจ้าหรือ? สหายที่น่าเคารพ พวกเราไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

ชายแก่หันมามองเขา พยายามฝืนท่าทีให้ดูมีความสุข

“เป็นผมเอง พอดีว่าผมจะพาเพื่อนมาเรียนรู้ภาษาสักหน่อยน่ะ”

…………………………………………….