ตอนที่ 554 ความในใจของผู้เข้าสู่วิถีมาร
ราชามารวิญญาณมรณะ ไม่คิดปกปิดกลิ่นอายตนเอง ระเบิดฝีเท้าพุ่งเข้าสู่สภาวะเดือดดาลในทันใด
เพราะด้วยความแข็งแกร่งของมัน แน่นอนว่าย่อมไม่มีเรื่องใดที่จำเป็นจะต้องมาคิดกังวล
การสังหารสองสิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงทางขึ้นเขา เพียงใช้ออกด้วยความพยายามเล็กน้อย…ก็จบแล้ว
มันวิ่งข้ามผ่านสายลมและหิมะ โฉบตัวลงมาจากยอดเขา
กู่ฉิงซานกับลอร่าสามารถตระหนักได้ถึงกลิ่นอายของราชามารวิญญาณมรณะได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งสองเงยหน้าขึ้น มองไปยังจุดสีดำบนท้องฟ้า
แม้ว่าภูเขาหิมะลูกนี้จะเป็นลูกที่สูงที่สุด แต่ความเร็วในการลดระดับลงมาของร่างเงาดังกล่าว กลับว่องไวอย่างน่าเหลือเชื่อ
“ฝ่าบาทรู้สึกถึงมันไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
ลอร่าตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “กลิ่นอายอันน่าพรั่นพรึงเช่นนี้… ศัตรูสามารถปลดปล่อยมันออกมาได้อย่างไรกัน!?”
“เจ้าพยายามคิดหาหนทางเร็วเข้า!” เธอกล่าวด้วยความวิตก “สำหรับตัวเรา ถึงแม้ว่าจะพอมีสิ่งประดิษฐ์เทวะอยู่หลายชิ้นที่สามารถใช้ต่อกรกับมันได้ ทว่าการกระตุ้นสิ่งประดิษฐ์เทวะเหล่านั้น ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้ากับเรา มันยังไม่เพียงพอ”
กู่ฉิงซานปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป กวาดเข้าใส่ร่างของราชามารวิญญาณมรณะ
“ความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์ตนนี้ มันเหนือล้ำยิ่งกว่ากระหม่อมกับพระองค์เป็นสิบเท่า พวกเราคงไม่มีทางที่จะต้านทานมันได้หรอก...” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างแผ่วเบา
เขานั่งอยู่บนหลังม้า และมองออกไปยังทุ่งสีดำทะมึน
เป็นเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารที่รายล้อมภูเขาน้ำแข็งจากทุกทิศทาง
และทั้งหมดก็กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
กู่ฉิงซานถอนหายใจ
ผู้เข้าสู่วิถีมารเหล่านี้ มิใช่ตัวตนธรรมดา แต่เป็นอัจฉริยะชั้นยอดจากหลากหลายโลกลำดับชั้น
ภายใต้ระดับเดียวกัน ด้วยความแข็งแกร่งของกู่ฉิงซาน การจะเอาชนะศัตรูแบบหนึ่งต่อหนึ่งร้อยมันยังพอเป็นไปได้
แต่หากมีศัตรูมากยิ่งกว่านั้น กระทั่งตัวเขาก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้
โดยลำพัง แต่ต้องต่อกรกับศัตรูนับไม่ถ้วนในระดับเดียวกัน ไม่ช้าก็เร็วคงจะต้องเกิดอาการบาดเจ็บ และอาการบาดเจ็บก็จะสั่งสมมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายสมดุลของการต่อสู้ก็จะค่อยๆ เอนเอียง และจบลงด้วยความตายในที่สุด
หากลองย้อนถอยกลับมาสักหนึ่งก้าว มาพูดกันถึงในตอนที่เขายังไม่ได้รับบาดเจ็บ ต่อให้ตนครอบครองสมญาเทพสงคราม หรือสกิลเทวะอย่าง ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว และร่างเงาแทนที่ก็ตามที แต่พละกำลังกายตนย่อมมีจำกัด และไม่เพียงพอที่จะสังหารสองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมารได้
นี่แหละความเป็นจริงของสถานการณ์ในตอนนี้
ไม่ต้องกล่าวถึงสองร้อยล้านคน เพียงแค่เผชิญหน้ากับแปดร้อยผู้เข้าสู่วิถีมาร กู่ฉิงซานก็ยังต้องนำเอาค่ายกลดาบไท่หยี ออกมาขู่อีกฝ่ายเลย
ตูม!
พื้นน้ำแข็งสั่นสะเทือนเล็กน้อย
มอนสเตอร์หัวหมาป่าสูงหลายเมตรปรากฏตัวขึ้น
มันยืนอยู่ตรงข้ามกู่ฉิงซานกับลอร่า จ้องมองพวกเขาอย่างเงียบๆ
ดวงตาของมันเย็นชาและไร้ซึ่งความปราณี เฉกเช่นเดียวกันกับกำลังดูแมลงวันสองตัวบินอยู่ และจะตบตายด้วยฝ่ามือเมื่อไหร่ ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย
ในที่สุดราชามารวิญญาณมรณะก็มาถึง
ลอร่าหดตัวเข้าไปในอ้อมแขนของกู่ฉิงซาน ปากพึมพำเสียงกระซิบ “พวกเรากำลังจะตายสินะ?”
กู่ฉิงซานลูบหลังเธอ และหันไปถามนักรบเทพที่อยู่บนหัวมัน “นายมาทำอะไรที่นี่?”
“ข้ามาทำอะไรอย่างนั้นเหรอ? คำถามของเจ้านี่มันช่างโง่เง่าเสียจริง มันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้วมาข้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับน้องชายทั้งสองของข้า!!” นักรบเทพกล่าว
“ไม่ใช่ต้นกำเนิดหรอกหรือที่เป็นคนฆ่าน้องชายของนาย” กู่ฉิงซานถามอย่างสงสัย
“พวกเราต้องการที่จะเข้าร่วมกับระบบของราชามาร!” นักรบเทพตะคอกด้วยความโกรธ “แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าดันมาหลอกลวงพวกเรา โป้ปดว่าสิ่งนั้นคือของปลอม แล้วทุกคนก็เชื่อคำเจ้า!”
“เจ้านั่นแหละคือตัวการหลักที่ทำให้พวกเขาต้องตาย!”
ว่าจบ นักรบเทพก็หันมามองลอร่า
“เจ้าหญิงหนาม! กระทั่งข้าก็ยังเชื่อในคำของท่าน แต่เพราะเหตุใดท่านถึงได้ลวงหลอกพวกเรา!?”
“หากท่านไม่ช่วยยืนยันว่าชายผู้นี้เป็นตัวแทนของราชวงศ์หนาม ข้าย่อมไม่มีทางเชื่อคำผายลมของมันเด็ดขาด!”
ลอร่าเงยหน้าขึ้น ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เป็นเพราะข้าเกลียดไอ้ระบบนั่น มันเป็นต้นเหตุให้ครอบครัวของข้าต้องถูกสังหาร!”
“อย่างนั้นหรือ…ข้าเข้าใจแล้ว ดูเหมือนว่าข้าจะต้องทรมานท่านทั้งเป็น จนกว่าจะสาแก่ใจสินะ”
นักรบเทพเอ่ยคำต่อคำ
กู่ฉิงซ่อนผลักลอร่าไปซ่อนไว้ข้างหลังและกล่าว “อันที่จริงฉันล่ะคิดไม่ออกจริงๆ ว่าทำไมนายถึงยินดีที่จะก้าวเข้าสู่วิถีมาร”
นักรบเทพจ้องมองกู่ฉิงซาน “อยากจะรู้? แล้วเจ้ามาจากโลกไหนกัน?”
“ฉันมาจากโลกกระจัดกระจาย”
นักรบเทพเบิกตามองเขาอย่างไม่คาดคิดและกล่าว “อย่างนั้นเจ้าก็คงจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าเองก็เป็นผู้ที่มีสถานะสูงส่งเช่นเดียวกันกับเจ้าหญิงหนาม”
สถานะ…กู่ฉิงซานสูดหายใจคิด และแสดงสีหน้าจริงจังออกมา
“เจ้าก็เห็นอยู่ ว่าพวกเราไม่สามารถเอาชนะอสุรกายตนนี้ได้อย่างแน่นอน ไม่นาน พวกเราคงจะต้องตายด้วยเงื้อมมือของมัน” กู่ฉิงซานกล่าว
นักรบเทพกัดฟัน “ถ้าหากเป็นเรื่องนั้นละก็วางใจเถอะ มั่นใจได้เลยว่าข้าจะทรมานพวกเจ้าจนสาสม ไม่ยินยอมปล่อยให้ตายลงง่ายๆ อย่างแน่นอน”
กู่ฉิงซานมองอีกฝ่ายด้วยแววตานิ่งเฉย และเริ่มเอ่ยต่อ “ในเมื่อโชคชะตาของฉันไม่ถูกฆ่าตายก็ต้องกลายเป็น มารอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นก่อนอื่น อย่างน้อยช่วยบอกเหตุผลที่นายยินดีเปลี่ยนเป็นมารให้ฉันรู้จะได้ไหม ไม่อย่างนั้นแล้วฉันคงจะเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปจวบจนตัวตาย”
นักรบเทพกพอได้ฟังก็ตะลึงงัน
นี่มันยอมรับว่าตัวเองกำลังจะตายได้หน้าตาเฉยเลยหรือ? มันไม่หวาดกลัวความตายเลยหรือไร?
โง่เง่า แถมยังปากกล้าบอกว่าตนเองไม่กลัวความตายอีก!
ไอ้ขยะนี่…
ไอ้ขยะนี่มันไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย!
แต่มันกลับถึงขั้นสามารถหลอกลวงทุกคนได้…
ความไม่ยินยอมอย่างรุนแรง คุกรุ่นอยู่ในทรวงอกของนักรบเทพ
นักรบเทพพยายามข่มอารมณ์ของเขา และเงียบไปครู่หนึ่ง
“เจ้ามันโง่เง่า!”
เขาตะโกนไปทางกู่ฉิงซาน
“ในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นมีเพียงการเข้าสู่วิถีมารเท่านั้น ที่จักสามารถชักนำความยุติธรรมมาสู่ พวกเราที่อยู่ในระดับล่างสุดได้”
“ความยุติธรรม?” คราวนี้สีหน้าของกู่ฉิงซานเผยถึงความประหลาดใจ
“ใช่ สำหรับหลายพันล้านปีมาแล้ว ที่โลกระดับบนได้ถูกแบ่งปันกันโดยตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ และพวกเขาก็มีชีวิตมาอย่างยาวนาน ร่วมตัวกันเป็นกลุ่มอำนาจ จนไม่มีใครสามารถไปสั่นคลอนพวกเขาได้อย่างง่ายดาย”
“และตัวอย่างที่จริงที่สุด ก็คือสถานที่ๆ ทุกคนรู้จักกันดี โลกมิติอนันต์ที่ถูกยึดครองไปแล้วโดยตัวตนทรงอำนาจ”
“นอกเหนือจากโลกมิติอนันต์ โลกอื่นๆ ก็ยังมีตัวตนทรงอำนาจเป็นศูนย์กลางอยู่ดี และเบื้องหลังตัวตนทรงอำนาจเหล่านั้น ก็คือเจ้าพวกระดับจ้าววงการ!”
กู่ฉิงซานแสดงออกถึงความคาดไม่ถึงมากขึ้น และส่งสัญญาณให้อีกฝ่าย “ว่าต่อสิ”
“รู้ไหมนี่มันหมายความว่าอย่างไร? มันหมายความว่าทรัพยากรทั้งหมดตกอยู่ในมือของผู้ที่แข็งแกร่งอย่างพวกจ้าววงการ และหากพวกเราเหล่าหน้าใหม่ ต้องการได้มันมาครอบครอง ก็เป็นการยากลำบากยิ่ง! พวกเราจะต้องทำสิ่งต่างๆ มากมายเพื่อโลกของพวกเขา ถึงจะมีสิทธิ์ได้รับทรัพยากรที่ปรารถนามา”
“ถ้าเจ้าต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น เจ้าก็จะถูกเอาเปรียบจากผู้อื่นที่แข็งแกร่งกว่า และจำต้องทุ่มเททั้งเวลาและแรงงานอย่างหนัก”
“นี่คือความเจ็บปวดของพวกหน้าใหม่ทุกคน เจ้าเข้าใจรึเปล่า?”
“ไร้ซึ่งหนทางที่จะต่อต้าน ต้องจำใจยอมรับเงื่อนไขของอีกฝ่ายอย่างอดกลั้น ทนทำงานหนักให้แก่พวกเขา หากเป็นเจ้า เจ้าจะยินดีหรือไม่? จงตอบข้ามา!!”
“หากเป็นเงื่อนไขที่ยุติธรรม มันก็เป็นเรื่องปกตินี่ที่จะได้รับค่าตอบแทน” กู่ฉิงซานกล่าวจริงจัง
“โง่เง่า! นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าไม่รู้ต่างหากว่าการได้เข้าสู่วิถีมารมันเป็นอย่างไร!”
“ฉันอยากจะรู้รายละเอียดเพิ่มเติม”
ใบหน้าของนักรบเทพแสดงออกถึงความสุข เขากล่าวทันที “หากต้องทนอยู่แบบนั้น เมื่อเทียบกันกับการต้องเข้าสู่วิถีมารแล้ว มันไม่นับว่าเป็นสิ่งใดเลย”
“เพราะตราบใดเจ้าอยู่ในวิถีมาร เจ้าก็จะสามารถอาศัยเพียงแต้มพลังวิญญาณ เพื่อแลกเปลี่ยนกับทุกชนิดของอุปกรณ์ที่ต้องการได้เลยโดยตรง แม้กระทั่ง ‘แปะๆ’ เพียงแค่ใช้แต้มพลังวิญญาณเท่านั้น”
ระหว่างกล่าวนักรบเทพก็ตบลงบนหัวของราชามารวิญญาณมรณะ ปากอ้าตะโกนคลั่ง “ตราบใดที่มีแต้ม พลังวิญญาณมากพอ เจ้าก็จะสามารถแลกเปลี่ยนกับพลังอำนาจที่ล้างโลกทั้งใบได้ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องทำ ประโยชน์ต่างๆ ให้แก่ตัวตนทรงอำนาจ นี่ต่างหากที่เป็นความยุติธรรมขั้นพื้นฐานที่สุด!”
กู่ฉิงซานไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “แต่แต้มพลังวิญญาณที่นายว่ามา มันได้รับมาจากชีวิตของคนอื่นนะ”
“ก็แล้วอย่างไร? เจ้ารู้ไหมว่าข้าต้องรับใช้ตัวตนทรงอำนาจนานเพียงใดกัน กว่าที่จะได้รับอุปกรณ์ที่เหมาะสมกันกับตนเองมา? สิบปี! ข้าจำต้องใช้เวลายาวนานกว่าสิบปี ถึงจะได้รับมันมา!”
“แล้วดูระบบของราชามารสิ เจ้าก็แค่ต้องจ่ายแต้มพลังวิญญาณของเจ้าออกไปเท่านั้น เพียงเท่านั้นทุกอย่างก็จบแล้ว”
“ตราบใดที่แต้มพลังวิญญาณของเจ้ามากพอ เจ้าก็จะสามารถแลกเปลี่ยนอุปกรณ์อันทรงพลังที่เหนือล้ำที่สุดในเวลาใดก็ได้!”
นักรบเทพกำหมัดแน่น “นี่ต่างหากคือความยุติธรรม! วิธีที่จะสามารถหลุดพ้นจากการควบคุมของพวกตัวตนทรงอำนาจได้!”
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างครุ่นคิด “แต่ฉันได้ยินมาว่า ที่ดินแดนชิงอำนาจการปฏิบัติต่อกันนั้นค่อนข้างจะดีมาก ตราบใดที่นายสามารถต่อสู้ได้”
“ผายลมเถอะ!” นักรบเทพขัดจังหวะเขา “แบบนั้นมันอันตราย! อันตรายมากเกินไป!! แต่กลับกัน ถ้าเจ้าเลือกที่จะใช้แต้มพลังวิญญาณเจ้าก็จะปลอดภัย ที่ต้องทำก็เพียงแค่ฆ่าสังหารสิ่งมีชีวิตจำนวนหนึ่ง แล้วเตรียมการให้พร้อม เฝ้ารออยู่ในที่ปลอดภัยเท่านั้น”
กู่ฉิงซานพยายามอธิบาย “แต่การเข้าร่วมกับต้นกำเนิด ต้นกำเนิดมันจะถือว่านายเป็นทาสของมันนะ”
คราวนี้เทพนักรบสวนกลับทันควัน “มันก็อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วหากเราไม่ทรยศมัน เจ้าก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างสุขสบาย”
“รอให้ระดับของนายสูงยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ดูเถอะ แล้วนายจะต้องเผชิญกับค่าประสบการณ์ที่มากมาย จนไม่อาจคาดคำนวณได้ แล้วนายจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร” กู่ฉิงซานถามอีกครั้ง
“ก็เป็นเจ้ามิใช่หรือ ที่อาศัยเหตุผลนั้น ลวงหลอกผู้คนจำนวนมากจนหลายคนคิดว่าต้นกำเนิดเป็นของปลอม” นักรบเทพเยาะหยัน
เขาพูดต่อ “ข้าได้ลองขบคิดเกี่ยวกับปัญหานี้อย่างจริงจังแล้ว และพบว่าคำตอบของมันมีเพียงอย่างเดียว นั่นคือการฆ่า!”
“ภายในโลกนับล้านๆ ย่อมที่จะต้องมีโลกที่อ่อนแออยู่บ้างล่ะน่า ข้าก็เพียงโยนตนเองไปยังโลกใบนั้น และเริ่มฆ่าสังหาร แลกเปลี่ยนความแข็งแกร่งให้ยิ่งสูงขึ้น เพียงเท่านี้โชคชะตาของข้าก็จะถูกควบคุมโดยตนเอง และไม่จำเป็นต้องไปไว้หน้าพวกจ้าววงการอีกต่อไป!”
กู่ฉิงซานรับฟังอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แล้วตกลงสู่ความเงียบ
หลังจากที่เข้าสู่วิถีมาร ผู้คนเหล่านั้นก็ย่อมสามารถที่จะหลบเลี่ยงความพยายามทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย และตราบใดที่ฆ่าสังหาร พวกเขาก็จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ต่อไป
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมบางคนถึงเลือกที่จะเข้าสู่วิถีมาร
สิ่งนี้มันแตกต่างไปจากในชีวิตก่อนหน้าของเขาจริงๆ
ในช่วงเวลานั้น ผู้คนไม่มีใครคาดคิดเกี่ยวกับการฆ่ากันเองเลย ที่พวกเขาทำก็เพียงรวมกลุ่มกันต่อสู้เท่านั้น
ในช่วงเวลานั้นผู้คนต่างอุทิศตนเพื่อสะบั้นศีรษะมารล้างบางมอนสเตอร์ ปรารถนาที่จะต่อต้านวันสิ้นโลก
ในช่วงเวลานั้น ทุกๆ คนร่วมมือกับขบคิดอย่างหนักเพื่อแก้ปัญหาค่าประสบการณ์ที่มากเกินไป แต่ไม่มีใครหันมาคิดจะทำร้ายพันธมิตรเลย
เพราะฆาตกรที่สังหารพันธมิตร จะต้องชดใช้ด้วยชีวิตตนเอง
นี่คือข้อตกลงร่วมกันของทุกคน และเป็นหลักการพื้นฐานที่สุดในสังคมมนุษย์ที่ได้ปฏิบัติตามมานานหลายปี
ทว่ากับโลกเก้าร้อยล้านชั้น สถานการณ์ดูจะแตกต่างกันออกไป
ระหว่างอารยธรรมมีความแตกต่างกัน ความคิดก็แตกต่างกัน แนวคิดในการคร่าชีวิตจึงย่อมต่างกันเป็นธรรมดา
แม้แต่ในอาณาจักรอาชูร่าแห่งโลกหกวิถี อาชูร่าก็ยังเชื่อกันว่าความตายในสนามรบนับว่าเป็นสิ่งที่มีเกียรติ
ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ถูกฆ่าตายในสนามรบ หรือว่าผู้ที่เป็นคนฆ่า ทุกคนล้วนเป็นนักรบอันทรงเกียรติ
หากกระทั่งในโลกหกวิถียังเป็นเช่นนั้น แล้วจะนับประสาอะไรกับโลกนับล้านๆ!
กู่ฉิงซานมองไปยังอีกฝ่าย
คนเหล่านี้คือผู้เข้าสู่วิถีมาร
พวกเขายังไม่เคยได้เผชิญหน้ากับวันสิ้นโลก ดังนั้นพวกเขาเลยคิดและตัดสินใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างง่ายดาย
เพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น พวกเขาจำเป็นที่จะต้องเลือกใช้เวลาไปกับการฝึกฝนอย่างหนัก
หรือไม่ก็
ใช้ชีวิตของผู้อื่น เพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ตนเองต้องการอย่างรวดเร็ว
ตัวเลือกนี้จะเป็นการทดสอบกิเลสของมนุษย์มากเกินไป และบังเอิญว่าพวกเขาก็ดันถูกโยนเข้าไปในอ้อมแขนระบบของราชามารพอดิบพอดี
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม กระทั่งแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ก็ยังหันไปพึ่งพิงเผ่ามาร
นักรบเทพกล่าว “เจ้าเข้าใจแล้วรึยัง? ไอ้คนโง่เง่า กระทั่งเรื่องแบบนี้ก็ยังไม่ล่วงรู้ จงถูกทรมานจนตายซะที่นี่เถอะ น่าเสียดายจริงๆ ที่เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นข้าเติบใหญ่ขึ้นเป็นตัวตนทรงอำนาจในภายภาคหน้า…”
ว่าจบ เขาก็ตบลงบนหัวราชามารวิญญาณมรณะและกล่าว “จงไปหักแขนขาของพวกมัน แล้วจากนั้นค่อยปล่อยให้ข้าได้ทรมานพวกมันอย่างช้าๆ”
ทว่าราชามารวิญญาณมรณะกลับยังคงนิ่ง
“เกิดอะไรขึ้น? ไปจัดการพวกมันสิ!” นักรบเทพตะโกน
“ใจเย็นๆ ก่อน ระบบของราชามารต้องการที่จะสนทนากับเขาสักเล็กน้อย” ราชามารวิญญาณมรณะตอบกลับไป
…………………………………..........