webnovel

0547 ขนสุดที่รัก

ตอนที่ 547 ขนสุดที่รัก

พอจอมมารทะเลเลือดเล่าจบ

สองแขนของเขาก็อ้าออก สาดสายตามองไปยังฝูงชนด้วยรอยยิ้ม

“เป็นไง? ทีนี้ทุกคนก็จะยอมกลับมาเป็นสหายกับข้าอีกครั้งแล้วใช่ไหม” เขากล่าวอย่างจริงใจ

อย่างไรก็ตาม

บรรยากาศในที่เกิดเหตุราวกับถูกแช่แข็งไปโดยสมบูรณ์

แบรี่มองไปยังสุนัขเพลิงที่กำลังแผ่พุงอยู่บนพื้น และหันกลับไปมองฝูงชนที่อยู่เบื้องหลัง “ถ้าฉันอัดมัน คงจะไม่มีใครว่าอะไรหรอกนะใช่ไหม?” 

“ซัดมันเลย!”

ทุกคนคำรามเป็นเสียงเดียวกัน

“เอ้า เดี๋ยวก่อนสิ ทำไมเจ้าถึงทำแบบนี้?” จอมมารทะเลเลือดกล่าวด้วยความสับสน

เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว

แต่ในช่วงเวลานั้นเอง สีหน้าของเสี่ยวเหมียวก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปโดยที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็น เธอสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง!

“ระวัง!” เธอกรีดร้องออกมา

“อะไร”

จอมมารทะเลเลือดหันกลับไปอีกด้าน

เห็นแค่เพียงรอยแยกมิติที่ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว กว้างกว่าเดิมนับสิบเท่า

ท่ามกลางช่วงเวลาเดือดพล่าน แขนสีดำขนาดใหญ่ก็ผลุบออกมาจากรอยแยกและคว้าจับตัวจอมมารทะเลเลือดเอาไว้

“ฮี่ๆๆ...ตายซะ!”

เสียงหัวเราะแปร่ง ๆ ดังขึ้น

และมือสีดำขนาดใหญ่ก็กำแน่นทันที

“โผล๊ะ!”

ร่างของจอมมารทะเลเลือดแตกออกเป็นไพ่ในพริบตา ก่อนที่พวกมันทั้งหมดจะบินไปรวมตัวกันอีกครั้งข้างกายแบรี่

เขาเช็ดเลือดตรงมุมปากและกล่าวด้วยความประหลาดใจ “จู่ ๆ ก็เล่นทีเผลอเรอะ…”

“เสี่ยวเหมียว สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง!” แบรี่กระชับถุงมือเหล็กของเขา และตะโกนถามลั่น

 “นั่นมันผู้เพาะพันธุ์อสูร! เป็นผู้สั่งการอสุรกาย! มันกำลังคิดจะพากองทัพอสุรกายหลายสิบล้านตนที่อยู่เบื้องหลังเคลื่อนย้ายผ่านรอยแยกมิติ!

ในหัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน

ไม่คาดคิดเลย ว่าจู่ๆ การต่อสู้ขั้นแตกหักจะมาเยือนอย่างกะทันหัน!

 ความคิดนี้วาบผ่านเข้ามาในหัวใจของเหล่าตัวตนทรงอำนาจ

ด้วยการที่ก่อนหน้านี้ทะเลเลือดเพียงคนเดียวก็สามารถเอาชนะเผ่ามารนับล้านได้ ทุกคนจึงคิดว่ามันคงจะเป็นเพียงการต่อสู้ทั่วๆ ไป

แต่ใครจะรู้ ว่าจู่ๆ ผู้เพาะพันธุ์อสูรจะปรากฏตัวขึ้นมา! 

ไอ้เจ้าตัวนี้มันไม่ใช่เผ่ามารธรรมดาๆ แต่เป็นมารที่แท้จริง!

ภายในดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู เผ่ามารน่ะเป็นเพียงลูกสมุน และมีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้นจึงจะเป็นทหารระดับสูงยิ่งกว่า

ขณะที่เหนือเผ่ามารสามัญขึ้นไป คืออาวุธสงครามอย่างอสุรกาย

และผู้ที่คอยสร้างอสุรกาย หรือกระทั่งรับหน้าที่ในการเป็นผู้นำการรุกราน วางกลยุทธ์สงคราม และการฆ่าล้างทั้งหมดก็คือ ‘มาร’

มารคือสิ่งชั่วร้ายที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลัง ผลักดันให้โลกตลอดทั้งเก้าร้อยล้านชั้นจมลงสู่วิถีแห่งการทำลาย

และเพื่อแยกมารกับเผ่ามารสามัญให้แตกต่างกัน ผู้คนจึงเรียกขานมันว่า ‘มารที่แท้จริง’!

ขณะที่ผู้เพาะพันธุ์อสูรกระทั่งในหมู่มารที่แท้จริงด้วยกัน ก็ยังจัดว่าเป็นชื่อที่ใช้เรียกขานมารทรงอำนาจ

ไม่ว่าจะเป็น อสุรกายประเภทดัดแปลง อสุรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหล หรือกระทั่งอสุรกายที่แท้จริง ทั้งสามประเภทที่กล่าวมานี้ ล้วนถูกผลิตและสรรค์สร้างขึ้นโดยมันทั้งสิ้น

ผู้เพาะพันธุ์อสูร คือมันสมองของอสุรกาย และตราบใดที่มันปรากฏตัวและยังมีชีวิตอยู่ในสถานที่ใด อสุรกายทุกตนจักต้องเชื่อฟังคำสั่งของมันอย่างไม่มีบิดพลิ้ว

อาจกล่าวได้ว่า หากผู้เพาะพันธุ์อสูรปรากฏตัวขึ้น นั่นย่อมหมายความว่าระดับของสงครามในครั้งนี้จะถูกยกขึ้นสู่จุดสูงสุดทันที!

การปรากฏตัวของมัน คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าเผ่ามารคิดจะเริ่มสงครามอย่างเต็มรูปแบบ!

ภายในรอยแยกมิติที่เปิดออก เสียงแปร่ง ๆ ดังก้องขึ้นอีกครั้ง

“แต่เดิม พวกเราคิดจะใช้เชื้อไฟในการรุกรานศัตรู แต่ใครจะรู้ว่าสถานการณ์มันกลับเป็นใจถึงเพียงนี้ ฮี่ๆๆ”

“เอาล่ะ พวกแกทั้งหมดพร้อมที่จะตาย ท่ามกลางพยุหะของอสุรกายแล้วรึยัง-”

ด้วยเสียงของมัน รอยแยกมิติพลันขยายตัวกว้างออกอย่างรวดเร็ว

รอยแยกมิติขยายกว้าง ลากยาวขึ้นไปถึงผืนฟ้า แลคล้ายกับเทือกเขาตระหง่านที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน

บังเกิดกลิ่นอายของความสิ้นหวัง การสังหาร เลือดเนื้อ และความบ้าคลั่ง โชยออกมาจากรอยแยกที่ว่านี้

นี่คือสายลมที่โชยมาจากดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู ผสมผสานไปกับกลิ่นอายสับสนวุ่นวายของอสุรกาย นับล้าน ๆ ตน

ในอีกไม่กี่วินาทีถัดไป พวกมันก็จะข้ามผ่านมิติและเวลา ก้าวลงมายังที่นี่!

“อย่าแม้แต่จะคิด!”

เสี่ยวเหมียวไม่คิดเก็บงำพลังของตนเองเอาไว้ได้อีกต่อไป เธอขบฟัน และทุ่มออกเต็มกำลัง

สองมือของเธอค่อยๆ ยื่นออกไปยังเบื้องหน้า ในมิติที่ว่างเปล่าบังเกิดเสียงแตกร้าวอันคลุมเครือดังขึ้น คล้ายกับว่ากระจกแก้วขนาดใหญ่กำลังปริออก

สกิลเทวะ จองจำมิติเวลา!

ตูม ตูม!!!

พลังมิติที่มองไม่เห็นคล้ายดั่งลูกกระสุนปืนใหญ่ ถูกยิงออกไปอย่างรุนแรง ตรงเข้าสู่รอยแยกมิติด้วยเจตนาร้าย!

ในเสี้ยววินาทีต่อมา รอยแยกมิติก็เริ่มบิดเบี้ยว และผิดรูปไปทันที 

“ไม่จริง!”

ผู้เพาะพันธุ์อสูรกรีดร้องด้วยความโกรธ

เห็นแค่เพียงในรอยแยกมิติที่ถูกเปิดออก ชั้นแล้วชั้นเล่าถูกย่อขนาดจนเล็กลงอย่างรวดเร็ว หุบเข้าหากันตรงกึ่งกลาง กลายเป็นเพียงรูขนาดเล็ก

พริบตานั้นกลิ่นอายของอสุรกายทั้งมวลก็หายไปโดยสมบูรณ์

“แท้จริงแล้วกลับมีผู้ใช้เทคนิคมนตรามิติอยู่ที่นี่ด้วยหรือนี่” ผู้เพาะพันธุ์อสูรบ่นงึมงำ

“ปล่อยทิ้งไว้จะเป็นปัญหา คงต้องฆ่ามันก่อน”

บังเกิดเงามืดผลุบออกจากรูเล็กๆ ของรอยแยกมิติ และพุ่งตรงไปยังเสี่ยวเหมียว

 และมันว่องไว! ว่องไวจนเกินไป ส่งผลให้เสี่ยวเหมียวที่ยังคงมุ่งสมาธิอยู่กับเทคนิคของตน ไม่มีเวลามากพอที่จะขยับตนต่อต้าน!

 อย่างไรก็ตาม เงามืดที่ว่าดันถูกขัดขวางไว้ด้วยไพ่ใบใหญ่เสียก่อน ยามเมื่อทั้งสองปะทะกัน ทั้งเงาทั้งไพ่ก็สลายหายไปในความว่างเปล่า

“ขอบใจนะ” เสี่ยวเหมียวหันไปพูดกับจอมมารทะเลเลือด

ทะเลเลือดพยักหน้ารับ

เสี่ยวเหมียวหันไปตะโกนลั่นบอกทุกคนว่า “ฉันสามารถยืดระยะเวลาของมันออกไปได้แค่สามนาทีเท่านั้น! ต่อจากนั้นกองทัพอสุรกายก็จะถูกส่งผ่านมา!”

และมันไม่ใช่กองทัพอสูรธรรมดา ๆ แต่เป็นกองทัพอสุรกายที่ถูกควบคุมสั่งการโดยผู้เพาะพันธุ์!

แบรี่กระชับถุงมือเหล็กของเขา และกล่าวกับฝูงชน “งั้นก่อนอื่น พวกเราจะต้องฆ่าเจ้าผู้เพาะพันธุ์อสูรให้ได้เป็นอันดับแรก! ฉันขอเปิดก่อนเลยแล้วกัน!”

ขณะที่จอมมารทะเลเลือดยกไพ่ที่สาดรังสีแสงสีเลือดขึ้นและกล่าว “ส่วนข้าจะปกป้องเสี่ยวเหมียวเอง และขณะเดียวกันจะคอยช่วยสนับสนุนเจ้าด้วย”

“ตะ...ตกลงตามนั้น” แบรี่เหลือบกลับมามองเขาด้วยความประหลาดใจ

แล้วไพ่ก็หายไปจากมือของจอมมารทะเลเลือด

โครม!

แสงสีเลือดพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

แบรี่กลายเป็นลมกรรโชก ระเบิดพุ่งตัวเข้าหารอยแยกมิติด้วยการเสริมพลังจากจอมมารทะเลเลือด

เบื้องหลังเขา จอมมารทะเลเลือดได้จั่วไพ่สองใบออกมาจากความว่างเปล่า

“เสี่ยวเหมียว เจ้าสามารถมั่นใจได้ ต่อให้ทุกคนและข้าจะตกตายลง แต่เจ้าจะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้อย่างแน่นอน เพราะมีทะเลเลือดของข้าคอยปกปักอยู่ที่นี่”

ว่าแล้วเขาก็ประกบไพ่เข้าหากันด้วยสองมืออย่างรวดเร็ว

ปรากฏถึงทะเลสีเลือดอันไพศาล ค่อยๆ ซัดสาดไปทั่วบริเวณอย่างช้าๆ

ขณะที่เสี่ยวเหมียวแม้จะได้ยิน แต่เธอก็มิได้เอ่ยตอบกลับไป

 นั่นเพราะเธอกำลังเค้นสมองคาดคำนวณการเคลื่อนย้ายของรอยแยกมิติอย่างหนักหน่วง และเธอจำต้องยืดกระบวนการนี้เอาไว้ เฝ้ารอเวลาจนกว่าทุกคนจะชนะ!

“ไปเลย!”

“ไปฆ่าไอ้มารที่แท้จริงกัน!”

 เกือบร้อยตัวตนทรงอำนาจคำรามก้อง

ทั้งหมดถีบตนเอง ทะยานออกไป

สงครามได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!

 …

ณ อัลเบอัส

ภายในโซนที่นั่งพิเศษ

ชายคนหนึ่งที่สวมกางเกงหนังรัดรูปสีดำ ท่อนบนเปลือยเปล่า บนหัวมีหงอนสีแดงสด ยื่นมือออกไปรับแก้วน้ำแข็งที่ใส่เหล้าเอาไว้ภายใน

“ขอบคุณสำหรับความยากลำบาก เจ้าดื่มนี่สิ” เทสส์กล่าว

ผู้ชายคนนั้นถอนหายใจ ยกหัวขึ้น และเทเหล้าทั้งหมดในแก้วลงคอไป

“ฉันกลายเป็นมนุษย์ไปซะแล้วในตอนนี้ แน่นอนว่าฉันรู้ดีว่ามีหลากหลายเผ่าพันธุ์ที่ชื่นชอบในการแปลงกายเป็นมนุษย์ เพราะมันง่ายต่อการสื่อสารกับเผ่าพันธุ์อื่นๆ ในตลอดทั้งหมื่นโลกา โดยที่ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยเผ่าพันธุ์ของตนเอง”

“แต่ฉันไม่ชอบเลยที่จะกลายเป็นมนุษย์ เพราะมันจะไม่สามารถแสดงให้ทุกคนได้เห็นถึงขนไก่อันงดงามของฉันได้”

 เทสส์ให้กำลังใจ “แต่ก็ด้วยขนไก่อันงดงามของเจ้านะ ที่กลายเป็นตัวแปรสำคัญในการช่วยเหลือโลกทั้งเก้าร้อยล้านชั้นในครั้งนี้”

เธอมองไปยังอีกฝ่ายที่กำลังโศกเศร้า ตนจึงอดไม่ได้ที่จะสัมผัสลงบนใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบาเพื่อปลอบประโลม

เทสส์กล่าวอีกครั้ง “และนั่นคือเหตุผลที่เราต้องการทั้งตัวของเจ้า”

“เปรี๊ยะ!”

ในความว่างเปล่า บังเกิดเสียงแตกร้าวดังขึ้น

แสงแห่งรุ่งอรุณปรากฏกายจากความว่างเปล่าทันใด ปากอ้าขยับอย่างร้อนรน “เทสส์ ข้าได้จัดการเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้จะไม่มีใครคัดค้านการค้นหาในพื้นที่วีไอพี… ”

กล่าวจบ เธอก็พบกับฉากภายในโซนพิเศษ

เห็นแค่เพียงชายคนหนึ่งที่ดูกำยำ ช่วงบนเปลือยเปล่า กำลังนอนจมอยู่บนโซฟา

ขณะที่เทสส์เอื้อมมือออกไป และลูบไล้ใบหน้าของชายคนนั้นอย่างเบามือ

ทริสเต้นิ่งงันไป

เธอย้อนนึกไปถึงช่วงเวลาที่ปรากฏตัวขึ้น และได้ยินอะไรราวๆ ว่า ‘เราต้องการทั้งตัวของเจ้า…’

ใช่แล้ว เธอไม่มีทางได้ยินผิดไปได้

ในสถานการณ์แบบนี้ พวกเขาคงจะ…

มัน…

ควรจะ…

ทริสเต้น้อมกายลง ปากเอ่ยกล่าวขออภัย “ขอโทษที่รบกวน ข้าไม่ทราบ...เอ่อ เอาไว้ข้าจะกลับมาในภายหลังก็แล้วกัน”

เทสส์ยกมือขึ้น และพยายามที่จะหยุดอีกฝ่ายไม่ให้จากไป

“เดี๋ยวก่อน มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด!”

ฟิ้ว

ทริสเต้หายวับไปโดยตรง

ภายในโซนพิเศษ กลับลงสู่ความเงียบ และหลงเหลืออยู่เพียงสองคนอีกครั้ง

เทสส์หันไปมองชายวัยกลางคน

“เฮ้อ เอาเถอะ อย่างน้อยมันก็ช่วยให้พวกเรายืดเวลาออกไปได้อีกนิดล่ะนะ”

เทสส์ถอนหายใจ

ขณะที่ชายวัยกลางคนดูเหมือนว่าจะไม่ได้ยินสิ่งใดเลย ปากของเขาเพียงขยับงึมงำ เปล่งเสียงกระซิบคร่ำครวญตลอดเวลา “ขนฉัน...ขนสุดที่รักของฉัน…”

…………………………………..........