ตอนที่ 518 การตัดสินใจที่แท้จริงของเสี่ยวเหมี่ยว
ณ สมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม
สายลมเย็นพัดโชยหวิว
พี่ชายและน้องสาวชี้ไม้ชี้มือไปคนละทิศละทาง ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมรับว่าตนเองผิด
“พี่ชาย เชื่อน้องสิ ทิศทางที่น้องชี้ไปให้กู่ฉิงซาน เป็นตำแหน่งที่ถูกต้อง!” เสี่ยวเหมียวเถียงจริงจัง
“ไม่นะน้องพี่ ครั้งนี้เธอต้องเชื่อฟังฉัน”
แบรี่มองเข้าไปในแววตาของเสี่ยวเหมียว
“ทำไมล่ะ? ไหนลองบอกเหตุผลน้องมาสิ” เสี่ยวเหมียวเผยท่าทีไม่เชื่อถือเล็กน้อย
แบรี่ส่ายหัวและกล่าว “เพราะพี่เป็นเจ้าของสมาคม ดังนั้นการตัดสินของพี่ย่อมถือเป็นที่สุด”
“แต่พี่ไม่สามารถตัดสินทิศทางให้คนอื่นๆ ได้!” เสี่ยวเหมียวเถียง
ทั้งสองคนถลึงตาใส่กันและกัน ไม่เอ่ยคำใดอยู่นาน
“กู่ฉิงซาน” จู่ๆ แบรี่หันหน้ามามองหน้าเขา “เพื่อนที่เป็นศิษย์ของจอมมารทะเลเลือดจริงๆ แล้วมีความสัมพันธ์อย่างไรกับนาย”
เมื่อถูกถามอย่างกะทันหันภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว กู่ฉิงซานก็ตกใจ
เขามองพี่ชาย สลับกลับไปมองน้องสาว
แบรี่จ้องมองเขาเขม็ง ขณะที่เสี่ยวเหมียวเองก็เช่นเดียวกัน
ทั้งคู่คล้ายกำลังแสดงท่าทีคาดหวังกับคำตอบของคำอยู่
“แฟนน่ะ… ” กู่ฉิงซานสารภาพ
แบรี่หันไปมองเสี่ยวเหมียว แต่ไม่เอ่ยสิ่งใด
เสี่ยวเหมียวถอนหายใจยาว ก่อนจะก้มหน้าลง “คงไม่มีทางเลือกสินะ”
เธอยื่นมือออกไปตบลงบนร่างของกู่ฉิงซานเบาๆ
ฟิ้ว...
เสี้ยววินาทีนั้นเอง กู่ฉิงซานก็ถูกผลักลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
เขาถูกผลักหมุนคว้านไปกลางอากาศ แลคล้ายกับลูกบอลที่ถูกตีออกไปโดยเสี่ยวเหมี่ยว
และมองจากทิศทางที่เขาลอยไป แท้จริงแล้วเป็นตำแหน่งที่แบรี่ชี้ในตอนแรก
“คุณใช้วิธีอะไรกันถึงตัดสินว่าทิศทางนี้ถูกต้อง”
ห่างไกลออกไป เสียงของกู่ฉิงซานลอยลงมาจากท้องฟ้า
แต่ทั้งแบรี่กับเสี่ยวเหมียวไม่ตอบกลับไป
ทั้งสองยังคงยืนอยู่ในสถานที่เดียวกัน เฝ้ารออยู่ชั่วขณะหนึ่ง
“เขาไปไกลแล้ว” แบรี่กล่าวเสียงกระซิบ
“ใช่ มันช่วยไม่ได้จริงๆ ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นแฟนของเขา ก็สมควรที่จะยอมให้เขากลับไปยังอัลเบอัสอีกครั้ง” เสี่ยวเหมียวเอ่ยอย่างเฉื่อยชา
แบรี่ “ทีนี้ก็บอกพี่มาได้หรือยัง ว่าทำไมเธอถึงจะผลักเขาออกไปในทิศทางของเมืองอาซากับท่าเรือนางฟ้า”
เสี่ยวเหมียวจิกริมฝีปากตัวเอง แต่พักหนึ่งก็ยังไม่ยอมพูดอะไรออกมา
“ทำไมล่ะ นี่เธอยังมีเรื่องที่ไม่สามารถพูดกับพี่ชายได้อยู่อีกเหรอ?”
แบรี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม หัวเราะออกมาเบาๆ
“พี่ชาย น้องกำลังจะผลักเขาไปยังสองสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดจริงๆ เดิมทีน้องคิดจะขอโทษเขาหลังจาก ที่เขารู้ตัว แต่ก็ดันมีเรื่องผิดพลาดเข้ามาเกี่ยวข้อง น้องคิดไม่ถึงเลยว่าแฟนของเขาจะอยู่ในอัลเบอัสด้วยเหมือนกัน”
เสี่ยวเหมียวสารภาพ เธอก้มหน้าหลับตาลง แล้วเงียบไปนาน
“พี่ชาย พี่ยังจำคำเตือนของหอสูงเมื่อหนึ่งพันแปดร้อยปีก่อนได้ไหม?”
จู่ๆ เธอก็กล่าวคำที่มันไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยออกมา
คำเตือนของหอคอยสูง…
รอยยิ้มบนใบหน้าของแบรี่จางหายไป
ดวงตาของเขาเย็นชา ทั้งคนทั้งร่างส่งกลิ่นอายเย็นยะเยียบกว่าที่เคยปรากฏให้เห็นมา
แบรี่กล่าว “นั่นมันเป็นครั้งแรกที่เผ่ามารปรากฏตัวขึ้นในโลกทั้งเก้าร้อยลำดับชั้น ต่อมา ‘ดินแดนรุ่งโรจน์’ก็ถูกยึดครองโดยเผ่ามารไปอย่างสมบูรณ์ บรรดาตัวตนทรงอำนาจทั้งหมดของโลกเหล่านั้นต่างทุ่มต่อต้านเต็มกำลัง แต่พวกเขาก็พ่ายแพ้หนึ่งร้อยปีต่อมา โลกเก้าร้อยล้านชั้นก็ต้องเปลี่ยนชื่อจากดินแดนรุ่งโรจน์ ไปเป็นดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู”
“ในภายหลัง สมาคมผู้พิทักษ์หอสูงก็ส่งคำเตือนประกาศออกมา ในวันนั้น โลกตลอดทั้งเก้าร้อยลำดับชั้นก็ได้รู้เรื่องของเผ่ามารอย่างเป็นทางการ”
แบรี่ลูบหัวน้องสาวของเขาแล้วกล่าว “แต่ไม่มีใครนอกจากพี่ที่รู้ว่า ก่อนหน้าพวกเขาสามวัน น้องได้ค้นพบสัญญาณของพื้นที่มิติทับซ้อนที่คาบเกี่ยวกัน”
“ใช่ น้องได้ค้นพบว่าในเวลานั้นดินแดนรุ่งโรจน์กับช่องว่างมิติอันแปลกประหลาดคาบเกี่ยวกัน แต่กลับไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเป็นพวกเผ่ามารที่บุกรุกเข้ามา” เสี่ยวเหมียวกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
เธอจ้องมองออกไปในอากาศที่ว่างเปล่าอันห่างไกล ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่ที่นั่น
หนึ่งพันแปดร้อยปีก่อน โลกลำดับชั้นจะประกอบไปด้วยสี่ดินแดน : ดินแดนรุ่งโรจน์ ดินแดนมิติอนันต์ ดินแดนชิงอำนาจ และดินแดนอัศจรรย์
เมื่อการคาบเกี่ยวของมิติปรากฏขึ้น เผ่ามารก็มาเยือน และได้บุกเข้ายึดดินแดนรุ่งโรจน์ไป
ดินแดนรุ่งโรจน์จึงถูกเปลี่ยนชื่อไปเป็นดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู
ตอนนี้โลกสองร้อยล้านชั้นในในดินแดนที่ถูกยึดครอง ได้กลายเป็นสวรรค์สำหรับเผ่ามารไปแล้ว
“นี่มันเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้วนะ ว่าแต่มันเกี่ยวข้องอะไรกับกู่ฉิงซานกัน?” แบรี่เอ่ยถาม
เสี่ยวเหมียวตอบ “เพราะเขาเป็นคนที่เดินทางมาไกลเพื่อนำดอกไม้คริสตัลภูติมาให้พี่ ส่งผลให้อาการบาดเจ็บของพี่ถูกรักษาได้ในที่สุด เพราะเขาเป็นคนดี ดังนั้นน้องเลยไม่ต้องการให้เขาไปที่อัลเบอัส”
“เธอหมายความว่าอย่างไร…”
“ถึงแม้จะห่างหายไปนานกว่าหนึ่งพันแปดร้อยปีมาแล้ว แต่ตอนนี้ น้องกลับสัมผัสได้ถึงคลื่นความผันผวนแปลกๆ นั่นอีกครั้ง”
แบรี่จ้องน้องสาวของเขา นิ่งงันอยู่นานก่อนจะเอ่ยถาม “นี่แน่ใจแล้วใช่ไหม?”
เพราะมันคือเรื่องสำคัญเป็นอย่างยิ่ง นี่จะเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อโลกทั้งเก้าร้อยล้านชั้น ดังนั้นมันจะต้องไม่ผิดพลาด!
“น้องค่อนข้างแน่ใจว่าคลื่นความผันผวนแปลกๆ นั่นได้กลับมาอีกครั้งแล้ว”
“น้องพึ่งจะรู้สึกถึงมันไปเมื่อวันสองวันนี่เอง และคราวนี้ดูเหมือนว่าคลื่นความผันผวนจะไปปรากฏขึ้นในอัลเบอัส”
“ปรากฏขึ้นในอัลเบอัส…”
แบรี่ถอนหายใจ และยอมรับความจริงในที่สุด
เขาบ่น “ถ้ามันเป็นความจริง พี่กลัวว่าสงครามเต็มรูปแบบระหว่างโลกเก้าร้อยล้านชั้นกับเผ่ามารคงกำลังจะใกล้เข้ามาแล้วล่ะ…”
เสี่ยวเหมียว “ยังไม่ถึงขนาดนั้นซะทีเดียว เพราะนี่มันยังเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์ใหม่ ช่องว่างมิตินั่นเพียงเคลื่อนไหวอยู่ใกล้เคียงกับโลกเก้าร้อยล้านชั้น แต่มันก็ถูกปกปิดตัวตนเป็นอย่างดี มีเพียงน้องเท่านั้นที่สัมผัสได้ถึงมัน”
“ฉะนั้น น้องเลยไม่ต้องการให้กู่ฉิงซานไปสินะ?”
“ใช่ เพราะเขาคือคนของเรา และน้องก็ต้องพิจารณาถึงความสำคัญของชีวิตเขาเป็นอันดับแรก”
“แต่แฟนสาวของเขาดันไปติดอยู่ที่นั่น น้องเลยไม่สามารถหยุดเขาเอาไว้ได้ และจำเป็นต้องส่งเขาไปถึงที่นั่นโดยเร็วที่สุด”
“ใช่ ไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้หรอก พวกเราก็ไม่ควรจะหยุดเขาเหมือนกัน”
เสี่ยวเหมียวถอนหายใจ สายตาตนมองไปยังพี่ชาย และเผยให้เห็นถึงสีหน้าของความสุข “ภัยพิบัติจะมาเยือนในอีกไม่กี่วัน แต่ถ้าเวลานั้นมาถึง ขาของพี่ก็คงจะหายดีโดยสมบูรณ์แล้ว”
“อืม แต่ก็น่าเสียดายจริงๆ ที่พวกเราไม่ได้บอกความจริงนี้กับกู่ฉิงซาน” แบรี่กล่าวด้วยความหงุดหงิด
“ไม่หรอก น้องบอกเขาแล้ว น้องบอกผ่านทางจดหมายที่ใส่ลงไปในถุงสัมภาระของเขา ตราบใดที่เขาเปิดถุงสัมภาระ เขาก็จะเห็นมันทันที”
“เราจะต้องรีบไปแจ้งเรื่องนี้ให้กับโลกเก้าร้อยล้านชั้น”
“ไม่นะพี่ชาย”
แบรี่ชะงักไป ปากเอ่ยถาม “ทำไมล่ะ?”
เสี่ยวเหมียวกล่าวด้วยความลังเล “พี่ชาย อันที่จริงแล้วน้องรู้สึกว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พี่มักจะถูกมารที่แท้จริงรุมล้อมอยู่เสมอ น้องคิดว่าจริงๆ แล้วเรื่องทั้งหมดมันอาจจะเป็นกับดักก็ได้”
เสี่ยวเหมียวจิกกำปั้นของเธอและกล่าว “ทำไมน้องถึงถูกกักตัวไว้ในที่มืด? ทำไมพี่ถึงหลงกลและถูกบังคับ ให้เผชิญหน้ากับกองทัพมารกว่าหกร้อยล้านตนโดยลำพัง? ทั้งหมดมันไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องบังเอิญแน่ๆ”
“น้องกำลังจะบอกว่า”
“ใช่แล้ว เรามีไส้ศึก”
แบรี่ปิดปากเงียบ สีหน้าของเขาดูเย็นชา ขณะเดียวกันก็หนักอึ้ง
เสี่ยวเหมียวเอ่ยต่อ “พี่ลองคิดดูดีๆ สิ เห็นไหมว่าการเรียกขานของวิหคหนามน่ะเกิดขึ้นในอัลเบอัส แต่พวกเรากลับไม่ได้รับข่าวคราวใดๆ เลย ซึ่งมันไม่มีทางหรอกที่สหายเก่าของพวกเราจะปิดปากเงียบ ไม่ยอมบอกอะไรเราเลย”
“การติดต่อถูกขัดขวางหรือเปล่านะ…” แบรี่บ่นงึมงำ
“ใช่ เป็นเพราะความแข็งแกร่งของกู่ฉิงซานยังอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นพวกที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเลยไม่สนใจเขา แต่พี่กับฉันดันถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด หากไม่ใช่เพราะพวกเราอยู่ในโลกมิติอนันต์ และพลังของฉันควบคู่ไปกับสัญญาณที่มี ศัตรูเลยไม่สามารถทำร้ายพวกเราได้ ไม่อย่างงั้นพวกเราทั้งสองคนคง โดนพวกมันจัดการจนเหลือแต่กระดูกไปแล้ว”
แบรี่พยักหน้าอย่างเงียบๆ
“ถ้าเป็นแบบนี้ จนกว่าขาของพี่จะหายจากอาการบาดเจ็บโดยสิ้นเชิง ก็คงจะไม่มีข่าวคราวใดๆ ถูกส่งมาหาเรา”
“ใช่ ถึงแม้ว่าพวกเราจะบอกออกไป แต่ก็ไม่มีใครเชื่อพวกเราอยู่ดี เพราะอีกฝ่ายแน่นอนว่าจะต้องมีมาตรการ เตรียมรับมือป้องกันเอาไว้รอพวกเราอยู่แน่ๆ และอีกอย่างก็ไม่มีใครล่วงรู้ถึงพลังที่แท้จริงของน้อง ดังนั้นต่อให้บอกอะไรไป ก็คงไม่มีใครเชื่อ”
แบรี่ถอนหายใจลึก และบ่นพึมพำกับตัวเอง “กู่ฉิงซาน…”
ในวิสัยทัศน์ของเขา บังเกิดความลังเลใจที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
เสี่ยวเหมียวเริ่มรู้สึกกังวลน้อยๆ
เธอกอดแขนแบรี่ ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พี่ชาย พี่ต้องฟังน้องนะ รอให้อาการบาดเจ็บที่ขาของพี่หายดีซะก่อน ไม่อย่างนั้นพี่คงไม่สามารถช่วยเขาได้ กระทั่งตัวเองก็คงจะถูกฆ่าโดยศัตรู”
“แต่ขาของฉันอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลากว่าสองวันถึงจะหายดี...” แบรี่กัดฟันกล่าว
“เรื่องนี้ไม่สมควรจะเร่งรีบ ขอเวลาอีกแค่สองวัน แล้วน้องก็จะไปรับตัวกู่ฉิงซานกับพี่ด้วย”
“นี่เธอจะไปด้วยเหรอ?”
“แน่นอน เพราะคราวนี้ น้องจะไม่ยอมให้พี่ต้องต่อสู้โดยลำพังอีกแล้ว” เสี่ยวเหมียวกล่าว
แบรี่พยักหน้ารับ
ความแข็งแกร่งของตนจะต้องได้รับการรักษาให้หายดีเสียก่อน เพื่อที่จะใช้พลังได้อย่างเต็มที่ หากเขาไปตอนนี้ นอกจากจะไม่สามารถช่วยเหลือกู่ฉิงซานได้แล้ว ตนคงจะเอาชีวิตไปทิ้งอีกด้วย
“ตอนนี้ ระหว่างช่วงเวลาสองวัน เราคงทำได้เพียงอธิษฐานให้กู่ฉิงซานสามารถยื้อชีวิตให้รอดต่อไปให้ได้... ”
แบรี่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
…………………………………... ... ... .