webnovel

0467 ความลับ

ตอนที่ 467 ความลับ

กู่ฉิงซานยังคงหยิบใบหยกออกมาอย่างต่อเนื่อง และทำการเรียนรู้ค่ายกลที่บันทึกเอาไว้อย่างไม่รู้จบ

ใบหยกแผ่นแล้วแผ่นเล่าถูกหยิบขึ้นมาโดยเขา

ขณะที่ความตระหนักรู้เกี่ยวกับค่ายกลของเขาทะยานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

กู่ฉิงซานกำลังปีนป่ายขึ้นไปยังจุดสูงสุด ที่กล่าวกันว่าเป็นการประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกล่องเวหา : นั่นคือเป็นผู้แตกฉานในด้านค่ายกล

ถึงแม้ว่าหวังหงษ์เต๋าจะถูกสังหาร และเฉียนซานเย่ก็ตายลงแล้วเช่นกัน แต่ความตึงเครียดในหัวใจของกู่ฉิงซาน กลับยังคงอัดแน่น ไม่ยอมคลายลงเลย

เขาจึงเร่งพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะแตกฉานในด้านค่ายกลให้ได้โดยเร็วที่สุด

“นายน้อย เหตุใดท่านจึงยังดูเป็นกังวลอยู่อีกเล่า?” ฉินรั่วเอ่ยถามอย่างเงียบๆ

มองไปยังท่าทีการแสดงออกของกู่ฉิงซาน เวลานี้เขาดูไม่มีความสุขเลย

“นั่นสินายน้อย พวกเขาทั้งหมดตายไปแล้วนะ ตอนนี้พวกเราไม่ได้กำลังตกอยู่ในอันตรายกันอีกแล้ว” ว่านเอ๋อเอ่ยเสริม

“เอาไว้ข้าจะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ฟังในภายหลังนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

แม้ขณะสนทนากับอีกฝ่าย มือของเขาก็ยังไม่หยุดเคลื่อนไหว ในหัวใจยิ่งนานยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ

มีแน่ๆ จะต้องมีบางสิ่งบางอย่างท่ามกลางเหตุการณ์ทั้งหมดที่เขายังไม่ได้ล่วงรู้เกี่ยวกับมัน

โลกใบนี้ช่างแปลกประหลาดและมิอาจคาดเดาได้

ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือว่ามารก็ตามที

ขณะที่ตนเองเพิ่งมาถึงที่นี่ได้ไม่นาน แล้วจะกล่าวว่าสามารถรู้เรื่องทุกอย่าง และควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้อย่างไร?

ดังนั้นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดก็คือการหลบหนีออกไปจากที่นี่

และเพื่อให้บรรลุกลยุทธ์ที่ว่านั่น เขาก็จะต้องเร่งยกระดับความรู้ ความเข้าใจในด้านค่ายกลของตัวเองให้เร็วที่สุด

เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวแปรใดๆที่อาจเข้ามาขัดขวางได้ เขาจะต้องรีบถอดรหัสดิสก์ ค่ายกลระหว่างสองโลกของฉีหยานโดยเร็วที่สุด แล้วได้รับพิกัดของโลกเทวะมาให้จงได้!

“ข้าได้กลั่นกรองมันเสร็จแล้วนายน้อย” ฉานนู่เปิดตาขึ้นและกล่าวออกมา

กู่ฉิงซานที่กำลังเรียนรู้ค่ายกลอยู่วางใบหยกลง และเอ่ยถามออกไป “ก่อนที่หวังหงษ์เต๋าจะตาย ที่เขากล่าวว่า ‘ไม่ว่ายังไงผู้คนบนโลกใบนี้ก็จะต้องตาย’ นั่นมันเป็นจริงหรือไม่?”

“มันเป็นความจริง”

บนใบหน้าของฉานนู่เผยถึงความรู้สึกซับซ้อน และเธอก็กำลังจะเอ่ยปากบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมา

แต่กู่ฉิงซานได้หยุดเธอเอาไว้เสียก่อน

เขาส่งผ่านเสียงผ่านจิตสัมผัสเทวะไป “อย่าเพิ่งพูดมันออกมา พวกเราจะต้องสนทนาเรื่องนี้กัน ด้วยจิตสัมผัสเทวะเป็นการส่วนตัว”

แม้ฉานนู่จะรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ยังปฏิบัติตามคำกล่าวของกู่ฉิงซานโดยดี และบอกเล่าผ่านจิตสัมผัสเทวะแก่เขา

เมื่อหนึ่งพันกว่าปีก่อน

ในช่วงเวลาที่มารโลกายังมิได้ปรากฏตัวขึ้นมา

โลกทั้งใบแข็งแกร่งและทรงประสิทธิภาพอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน

ในช่วงเวลานั้น ผู้ฝึกยุทธกลุ่มหนึ่งได้บังเกิดความทะเยอทะยานหาที่ใดเปรียบ

พวกเขาพิชิตและทำการผสานโลกทั้งหมดที่พบเจอ นำพาอารยธรรมของโลกตัวเองก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุด

นี่คือยุคที่โลกล่องเวหาสามารถปลดปล่อยประสิทธิภาพของตนออกมาได้อย่างไร้ขอบเขตอย่างแท้จริง

ทว่าช่วงเวลาใดก็มิอาจทราบได้ ที่จู่ๆ ก็มีผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาโลกใบนี้

เธอโผล่ออกมาอย่างกะทันหัน

ไม่มีใครรู้ว่าเธอมาจากที่ใด และมาถึงโลกใบนี้ได้ด้วยวิธีการใด

แต่ดูเหมือนว่าหญิงนางนี้จะไม่ได้มาร้ายหรือมีแผนการใดๆ

เธอเพียงแค่อยากรู้อยากเห็นทุกสิ่งอย่างเกี่ยวกับโลกใบนี้ก็เท่านั้นเอง

เธอท่องไปรอบโลกล่องเวหาอย่างเสรี และไร้จุดหมาย

ในตอนแรกเหล่าผู้ฝึกยุทธก็ไม่ทราบถึงเรื่องนี้ และมิได้ใส่ใจผู้หญิงที่ดูปกติธรรมดานางนี้เลย

จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่ผู้ฝึกยุทธกลุ่มหนึ่งเพิ่งพิชิตโลกใบใหม่มาได้สำเร็จ และกำลังนำพาทาสเข้ามาในโลกล่องเวหา จู่ๆ ทั้งหมดก็กลับถูกผู้หญิงคนนี้เข้ามาขวางเอา

เธอก้าวออกมาข้างหน้า เพื่อหยุดการกระทำของเหล่าผู้ฝึกยุทธและต้องการที่จะปกป้องทาสเหล่านั้นเอาไว้

ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าว ย่อมเป็นธรรมดาที่จะทำให้เกิดฉนวนขัดแย้งกับเหล่าผู้ฝึกยทุธ

ทว่าผลลัพธ์กลับออกมาผิดคาด ไม่มีผู้ฝึกยุทธคนใดสามารถเอาชนะเธอได้เลย

ทุกคนล้วนถูกจับมัดรวมๆ กันโดยเธอ

แต่โชคดีที่ผู้หญิงคนนั้นมิใช่พวกที่สังหารผู้คนตามอำเภอใจ เธอเพียงบอกกับผู้ฝึกยุทธเหล่านั้น ว่าพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนี้และปล่อยพวกเขาไป

เมื่อถูกปล่อยตัว ผู้ฝึกยุทธเหล่านั้นจึงเร่งไปขอกำลังสนับสนุนทันที

ทว่าผลลัพธ์ก็ยังคงเดิม ผู้ฝึกยุทธที่ถูกนำตัวมา ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะเธอได้เลย

เหล่าผู้ฝึกยุทธจึงทำการขอกำลังสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเหตุการณ์นี้มันได้ไปดึงดูดความสนใจจากผู้ฝึกยุทธชั้นยอดในขอบเขตลมปราณจิตคนหนึ่งเข้า

แต่แล้วเมื่อเขามาถึง ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่ากระทั่งผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตก็ยังพ่ายแพ้!

หลังจากการต่อสู้ในครั้งนี้จบลง ผู้ฝึกยุทธตลอดทั้งโลกก็ได้รับแจ้งถึงเรื่องราวในครั้งนี้ทันที

โลกทั้งใบราวกับถูกสั่นสะเทือน

เหล่าผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตมากมายก้าวเข้าไปท้าทายผู้หญิงคนนี้ อย่างไรก็ตาม คนแล้วคนเล่าก็ล้วนต้องพ่ายแพ้

ผู้หญิงคนนี้มาจากที่ใดกัน?

เหตุใดนางจึงครอบครองพลังมากมายเช่นนี้

ซึ่งในช่วงเวลานั้นเอง มันประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่เหล่าผู้ฝึกยุทธไม่อาจค้นหาโลกใหม่ได้อีกต่อไปพอดิบพอดี

พื้นฐานวรยุทธในขอบเขตลมปราณจิต ได้กลายเป็นจุดสูงสุด มิอาจทะลวงผ่านได้อีกต่อไป

ประจวบเหมาะกับที่ผู้หญิงคนนี้ ไม่เพียงมาจากโลกอื่น แต่ยังสามารถมอบความพ่ายแพ้ แก่ผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตได้

เธอจึงเปรียบดั่งตัวแทนของความหวังใหม่

เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างเร่งพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะทำการตรวจสอบเธอ

ทว่าผู้ฝึกยุทธทั่วทั้งโลก กลับไม่มีใครสามารถค้นหาคำตอบที่ต้องการอย่างต้นกำเนิดของหญิงผู้นี้ได้เลย

ทุกคนแค่เพียงได้รับฟังจากปากของเธอเองว่า ตัวเธอมิใช่คนของโลกใบนี้เท่านั้น

บังเกิดความคิดทุกประเภท มากมายหลากหลายขึ้นภายในจิตใจของผู้ฝึกยุทธ

แต่น่าเสียดาย ที่ทุกคนไม่ว่าใครก็ไม่อาจเอาชนะเธอได้เลย ดังนั้นจึงไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาก ไปกว่านี้จากปากของเธอเอง

ผู้ฝึกยุทธระดับสูงของโลกจึงได้มารวมตัวกันอย่างลับๆ เพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการตอบโต้ในครั้งนี้

และเฉียนซานเย่ก็เป็นผู้ที่ถูกรับเลือก

ถึงแม้ว่าเฉียนซานเย่จะไม่สามารถเอาชนะเธอได้ก็ตามที แต่เฉียนซานเย่ก็เป็นพวกหนังเหนียวไม่เลว และฉกาจในด้านการเกี้ยวหญิง

ด้วยการวางแผนและสมคบคิดกันของผู้ฝึกยุทธทั่วโลก เฉียนซานเย่ก็เริ่มทำการไล่ตามตื๊อผู้หญิงคนนั้น

และแล้วเขาก็ประสบความสำเร็จ!

ผู้หญิงคนนั้น ตัดสินใจที่จะอยู่ในโลกใบนี้กับเขา

อย่างไรก็ตาม สำหรับเฉียนซานเย่แล้ว เขาเป็นผู้ฝึกยุทธที่มีความทะเยอทะยานอันสูงล้น และผู้หญิงนับไม่ถ้วนก็เคยผ่านมือเขามาแล้วทั้งสิ้น ดังนั้นสำหรับเธอ เขาจึงไม่คิดจะไยดีใดๆ

เขาเพียงต้องการที่จะค้นพบถึงความลับที่อยู่เบื้องหลังของผู้หญิงคนนี้เท่านั้น

และในที่สุด เขาก็ได้เลือกช่วงเวลาที่ผู้หญิงคนนี้เผลอ ลวงเธอให้เข้าไปติดกับ

สี่สิบสี่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตที่ซุ่มอยู่ เริ่มลงมือพร้อมกันในทันทีที่ได้สัญญาณ!

ผู้หญิงคนนั้นที่มิได้ตระหนักถึงเรื่องดังกล่าวเลย ภายใต้การโจมตีอย่างกะทันหัน จึงย่อมเป็นธรรมดาที่เธอจะพ่ายแพ้

เมื่อผู้หญิงคนนั้นได้ค้นพบถึงความตั้งใจที่แท้จริงของเฉียนซานเย่ และตกอยู่ในความสิ้นหวังท่ามกลาง เหล่าผู้ฝึกยุทธ ชั่วเวลานั้นเองในหัวใจของเธอจึงบังเกิดความผิดหวังอย่างร้ายแรงขึ้นมา

เธอเร่งฆ่าตัวตายอย่างรวดเร็ว

ทว่าก่อนตาย เธอมิวายเอ่ยประโยคหนึ่งทิ้งท้ายเอาไว้

“จิตวิญญาณของข้าจะถูกแปรเปลี่ยนเป็นระบบทำลาย และอัญเชิญสิ่งที่น่าหวาดหวั่นชนิดที่พวกเจ้ามิอาจต้านทานได้จากในมิติที่ว่างเปล่าเข้ามา … พวกเจ้าจะต้องตกตายลงท่ามกลางความสิ้นหวังอย่างช้าๆ ไม่หลงเหลือผู้คน ไม่หลงเหลือที่อยู่อาศัย นี่คือการแก้แค้นของข้า”

กล่าวจบ ผู้หญิงคนนั้นก็สิ้นใจลง

แน่นอน ว่าหากเป็นเพียงความตาย เหล่าผู้ฝึกยุทธก็หาได้ใส่ใจใดๆไม่

เพราะตราบใดที่จิตวิญญาณของผู้หญิงคนนั้นยังคงอยู่ พวกเขาก็สามารถจับจิตวิญญาณของอีกฝ่าย มาเค้นความจริงได้

แต่น่าเสียดาย ที่เมื่อผู้หญิงคนนั้นตายลง จิตวิญญาณของเธอก็ได้หายไปเช่นกัน

เหล่าผู้ฝึกยุทธชั้นยอดทั้งหมดได้พยายามทำทุกวิถีทาง ใช้ออกด้วยทุกวิชาลับ แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่อาจค้นพบถึงจิตวิญญาณของผู้หญิงคนนั้นได้เลย

และในยามที่ทุกคนกำลังสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์อันแปลกประหลาดนี้นั้นเอง

มารโลกาก็ปรากฏตัวขึ้น

ในวันแรก มารโลกาได้กลืนกินดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ไป

และในวันถัดๆ มา มารโลกาก็เริ่มกลืนกินดวงดาวบนฟากฟ้า มันใช้เวลาอยู่สามถึงสี่วันเพื่อทำโลกทั้งใบมิอาจมองเห็นแสงดาวได้อีกต่อไป

และแน่นอน ว่าเหล่าผู้ฝึกยุทธย่อมมิยินยอมอยู่เฉย พวกเขาได้ทำการเปิดฉากโจมตีมัน

อย่างไรก็ตาม ด้วยพลังอำนาจเหลือคณาของมารโลกา มันได้ส่งทุกคนจมลงสู่ความสิ้นหวัง

ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดที่เข้าร่วมในการต่อสู้ล้วนถูกกลืนกินไปโดยมารโลกาอย่างสมบูรณ์

ในช่วงเวลานั้นเอง ที่ผู้คนต่างเริ่มเล่าลือถึงคำกล่าวทิ้งท้ายของผู้หญิงคนนั้น

ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วมันย่อมมิอาจแก้ไขได้

โลกทั้งใบกำลังเข้าสู่กระบวนการล่มสลาย ผู้ฝึกยุทธต่างไร้สิ้นซึ่งความหวัง

เมื่อไม่มีหนทางใด เหล่าผู้ฝึกยุทธชั้นยอดจึงได้มาแอบรวมตัวกันอีกครั้ง และขบคิดเกี่ยวกับวิธีจัดการกับปัญหานี้

แล้วพวกเขาก็ได้ข้อสรุปว่า คงจะมีเพียงการสังหารเฉียนซานเย่เท่านั้น จึงจะสามารถบรรเทาความโกรธ ของผู้หญิงที่ถูกสังหารลงได้

พวกเขาจึงเร่งวางแผนกำจัดเฉียนซานเย่อย่างรวดเร็ว

และศิษย์ฝึกหัดของเฉียนซานเย่ หวังหงษ์เต๋าก็ถูกรับเลือกให้เป็นผู้สังหารอาจารย์ตน

เมื่อต้องพบเผชิญกับการสมคบคิดของผู้คนในโลกทั้งใบ ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่เฉียนซานเย่จะมิอาจรับมือได้ และถูกสังหารลงในที่สุด

อย่างไรก็ตาม มันไร้ประโยชน์

มารโลกามิได้หายไป

โลกล่องเวหาได้ตกลงสู่ความสิ้นหวังโดยสมบูรณ์

เหล่าผู้ฝึกยุทธไม่ยินดีที่จะพินาศลงเช่นนี้ และในที่สุดแสงแห่งความหวังก็ปรากฏขึ้น -ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดเหมือนกัน แต่คนผู้นั้นได้ทำการคิดค้นเทคนิคมนตราหนึ่งขึ้นมาได้สำเร็จ

มันคือเทคนิคมนตราซึ่งสามารถนำพาตลอดทั้งนิกายให้อยู่ในรูปแบบของเกาะลอยฟ้า และฉีกรอยแยกมิติ ออกจากโลกใบนี้ไป

พอได้ทราบข่าวนี้ ผู้ฝึกยุทธตลอดทั้งโลกต่างก็พากันปีติยินดี

เกาะลอยฟ้าขนาดใหญ่ทะยานขึ้นสู่เวหา ตัดผ่านรอยแยกมิติ และลาจากโลกใบนี้ไป

หลายเดือนได้ผ่านพ้น

ผู้ฝึกยุทธชั้นยอดบางคนที่ได้อาสาเป็นผู้บุกเบิกสำรวจเส้นทางมิติก่อนหน้านี้ แท้จริงแล้วกลับไม่เคยได้ส่งข่าวกลับมาเลย

เรื่องนี้ได้ก่อให้เกิดความสับสนใจหมู่ผู้ฝึกยุทธชั้นสูงเป็นอย่างยิ่ง

และหลังจากที่ได้ทำการตรวจสอบในหลายๆขั้นตอน ทุกคนก็ค้นพบว่าเทคนิคทะลวงมิติที่ว่างเปล่านี้ เดิมทีแล้วได้ถูกคิดค้นโดยปรมาจารย์ค่ายกลคนหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก

แต่เมื่อพบควัน ก็ย่อมสามารถค้นหาต้นตอของเปลวเพลิงได้อย่างง่ายดาย ปรมาจารย์ค่ายกลคนนั้นก็ถูกพบตัวอย่างรวดเร็ว

“น่าแปลกนัก มันไม่สมควรจะเป็นเช่นนี้”

ปรมาจารย์ค่ายกลเอ่ยออกมาไม่กี่คำ

แล้วเขาก็ตกตายลง

ดวงจิตหนีหาย จิตวิญญาณแตกสลายไป

ไม่สามารถแม้กระทั่งจะสืบค้นถึงร่องรอยของจิตวิญญาณได้

มิแตกต่างไปจากในครั้งที่ผู้หญิงลึกลับคนนั้นที่เสียชีวิตลงก่อนหน้านี้เลย

เหล่าผู้ฝึกยุทธระดับสูงจึงพากันสรุปทันที ว่านี่สมควรที่จะเป็นแผนสมรู้ร่วมคิดกันของผู้หญิงคนนั้น

‘เทคนิคทะลวงมิติเป็นอันตรายอย่างยิ่งยวด’

เพื่อหลีกเลี่ยงความตื่นตระหนกของผู้ฝึกยุทธตลอดทั้งโลก เหล่าระดับสูงจึงพากันปกปิดเรื่องดังกล่าวนี้ไว้

ทว่านิกายจำนวนมากก็ยังคงหมกมุ่นในความคาดหวังว่าตนจะยังคงมีชีวิตรอด และต่างพากันเปิดรอยแยกมิติ ทะลวงมันเข้าไป

เหล่าผู้ฝึกยุทธล้วนปรารถนาที่จะลาจากโลกใบนี้ และก้าวเข้าสู่มิติที่ว่างเปล่า

มีเฉพาะเพียงผู้ฝึกยุทธระดับสูงเท่านั้น ที่ตกลงสู่ความสิ้นหวังอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ตั้งแต่แรกเริ่ม พวกเขาได้รวมตัวกัน เพื่อวางแผนที่จะโค่นล้มผู้หญิงคนนั้น

ทว่าบัดนี้ กรรมได้ตามสนองพวกเขาแล้ว

ผู้ฝึกยุทธชั้นยอดบางส่วนได้ทำการทะลวงมิติด้วยตนเอง เพื่อต้องการค้นหาโลกใบใหม่

ทว่า… โลกที่พวกเขารู้จัก ทั้งหมดล้วนถูกผสานรวมเข้ากับโลกของตนเองจนสิ้นแล้ว

พวกเขาไร้ซึ่งพิกัดใดๆ

เหล่าผู้ฝึกยุทธระดับสูงคนแล้ว คนเล่าได้ทยอยกันออกค้นหาพิกัดของโลกใหม่เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่มีผู้ใดได้กลับมาอีกเลย

พวกเขาไม่สามารถหลบหนีจากคำสาปแช่งของผู้หญิงคนนั้นได้

ในโลกใบนี้ ไม่มีแม้แต่ผู้เดียวที่สามารถหลบหนีไปได้

ผู้ฝึกยุทธทุกคนทำได้เพียงเฝ้ารอความตายมาเยือนเท่านั้น

แล้วหนึ่งพันปีก็ได้ผ่านพ้นไปราวกับพริบตา

ทรัพยากรทั้งหมดได้เหือดแห้งลงโดยสมบูรณ์ และผู้ฝึกยุทธเกือบทั้งหมดก็ล้วนแทบจะตกตายลงจนสิ้นแล้ว

จนนิกายใหญ่เพียงนิกายเดียวที่ยังคงอยู่ที่นี่ เหลือเพียงลั่วชาเฟิงเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นลั่วชาเฟิงหรือโลกใบทั้งใบ ทั้งหมดก็เท่าได้เพียงเฝ้ารอความตาย ที่กำลังจะมาถึงอย่างหมดหนทางอยู่ดี

นี่คือความจริงทั้งหมด

…………………………………..........