webnovel

0382 ถ้ำมืด

ตอนที่ 382 ถ้ำมืด

 

เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายภายในถ้ำมืด หัวใจของกู่ฉิงซานก็เต้นครึกโครมในทันใด

กลับกลายเป็นว่าเผ่ามารได้ยึดครองเส้นทางระหว่างโลกกับปรภพไปเสียแล้ว!

เขากล่าว “ระบบ ช่วยทำการตรวจสอบให้ฉันหน่อยสิ ว่าภายในถ้ำมีมารที่ฉันไม่รู้จักอยู่บ้างไหม”

ระบบเทพสงครามกล่าว “จากการตรวจสอบ พบว่าภายในถ้ำมืด มีเผ่ามารไม่ทราบชนิดอยู่เป็นจำนวนมหาศาล”

“การตรวจสอบทีละตัวค่อนข้างจะยุ่งยากเกินไป และจะส่งผลกระทบอย่างมากระหว่างการต่อสู้ ฉะนั้น ถ้าคุณต้องการตรวจสอบมันได้เลยตลอดเวลาแบบเรียลไทม์จริงๆ จะต้องทำการจ่ายสิบแต้มพลังวิญญาณต่อวินาที”

“สิบแต้มต่อวินาที? นั่นดูจะสูงไปสักหน่อยนะ”

กู่ฉิงซานกล่าวพลางครุ่นคิด

แต่เบื้องหน้าเขา สิ่งที่กำลังจะต้องเผชิญคือตัวตนที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนทั้งในโลกจริงและโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ หากไม่มีข้อมูลของพวกมัน เขาก็จะเสียเปรียบเป็นอย่างมากในการต่อสู้ครั้งนี้

กู่ฉิงซานเบนสายตาไปมองแต้มพลังวิญญาณสองพันหนึ่งร้อยแต้มของตัวเองและพยักหน้า “ตกลง มาเริ่มกันเลย”

พร้อมกับคำพูดของเขา หน้าต่างระบบเทพสงครามก็ได้ส่งเสียง ‘ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด’ ออกมา

ตามด้วยหลายเส้นแสงหิ่งห้อยที่เลื่อนขึ้นมาบนหน้าต่างระบบ

“ระบบเทพสงครามกำลังเริ่มเข้าสู่ฟังก์ชันทำการตรวจสอบ”

“เริ่มต้นทำการซิงโครไนซ์กับจิตใจของผู้เล่น”

“เชื่อมต่อกับจิตสำนึกเทวะของผู้เล่นเรียบร้อยแล้ว”

“เริ่มต้นการสร้างระบบข้อมูล”

“ผู้เล่นสามารถตรวจสอบสายพันธุ์ของมอนสเตอร์และความแข็งแกร่งของพวกมันได้แบบเรียลไทม์แล้ว”

กู่ฉิงซานลองเพ่งความรู้สึกดู แต่เขากลับพบว่าบนตัวเอง ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปเลย

เขาเอ่ยถามแปลกๆ “แล้วฉันจะเริ่มตรวจสอบพวกมันได้อย่างไร?”

“ก็ทำเหมือนดั่งเช่นปกติ ใช้งานจิตสัมผัสเทวะกวาดออกไป คุณก็จะสามารถรับรู้ได้ถึงสายพันธุ์ของมอนสเตอร์พร้อมกับคำอธิบายที่ตรงกันทันที” ระบบตอบกลับ

“สะดวกขนาดนั้นเชียว?” คิ้วของกู่ฉิงซานยกสูงขึ้นอย่างไม่คาดคิด

แล้วเขาก็ปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา และกวาดมันเข้าไปในถ้ำ

แล้วเขาก็พบกับมอนสเตอร์ตัวแรกที่เกาะอยู่บนผนังถ้ำ มันมีรูปร่างเหมือนงูยาวสีขาว กำลังเกาะอยู่ในสภาพกลับหัวกลับหาง โดยใช้อุ้งเล็บจิกผนังส่วนบนของถ้ำมืด แล้วซุ่มรอจากเบื้องบนอย่างเงียบๆ

มอนสเตอร์ตัวนี้ไม่มีดวงตา ไม่มีเกล็ดบนร่างกาย ราวกับว่ามันกำลังถูกแช่อยู่ในน้ำ ทั้งเนื้อทั้งตัวเปียกเหนอะเฉอะแฉะ

ขณะที่ศีรษะของมันกำลังหันตรงมายังทิศทางของกู่ฉิงซาน พร้อมกันสองจมูกที่กำลังขยับฟุดฟิดๆ อยู่

กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะลงไปยังมอนสเตอร์ตัวนี้ และทันใดนั้นข้อมูลก็เด้งเข้ามาในจิตใจของเขาอย่างฉับพลัน

“มารมังกรเลือดทมิฬ นี่คือเผ่ามารที่เก่งกาจในด้านการต่อกรกับจิตวิญญาณในมิติที่ว่างเปล่า ความแข็งแกร่งของมันสามารถเทียบเคียงได้กับผู้ฝึกยุทธขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลาย “

มารมังกรเลือดทมิฬนี้ แท้จริงแล้วอยู่ในระดับเดียวกันกับกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะข้ามผ่านมอนสเตอร์ตัวนี้ไป เพื่อทำการสำรวจลึกลงไปมากขึ้น

ภายในถ้ำมืด ล้วนคลาคล่ำไปด้วยเผ่ามาร

มันกระจุกรวมกันอยู่อย่างหนาแน่น ไม่มีที่สิ้นสุดตลอดทั้งถ้ำ

“มารกบกินกระดูก เป็นเผ่ามารที่มีความเชี่ยวชาญในการต่อสู้กับปรภพและหิวโหยเหล่าจิตวิญญาณมากเป็นพิเศษ สกิลที่โดดเด่นของมันก็คือสามารถพ่นเมือกเหลวที่หนืดเหนียวเป็นอย่างมากออกมาได้ มีระดับความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นกลาง”

“มอนสเตอร์กระดูกประชิด เป็นมารที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้ระยะใกล้มากที่สุด สามารถสับสะบั้นเทคนิคมนตราจากธาตุทั้งห้าได้ มีระดับความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธขอบเขตก่อกำเนิดขั้นปลาย 

“หนอนร้อยกรงเล็บ...”

รายละเอียดของมอนสเตอร์นับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในจิตใจ แต่มันกลับไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสตินึกคิดของกู่ฉิงซานเลย

ตรงกันข้าม มันกลับทำให้กู่ฉิงซานรู้สึกราวกับว่าเขาคือคนที่ได้ต่อสู้กับมารเหล่านี้มานานนับหลายปี

กล่าวได้ว่าเขารู้ถึงรายละเอียดมอนสเตอร์แต่ละตัว ตั้งแต่หัวจรดเท้า

“เป็นฟังก์ชันที่ดี!” กู่ฉิงซานเอ่ยแสดงความคิดเห็น

“แต้มพลังวิญญาณที่ได้รับมาก็ไม่เลวเหมือนกัน” ระบบกล่าว

ในจิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซาน มารมังกรเลือดทมิฬกำลังค่อยๆ เคลื่อนกายมายังทิศทางของเขาอย่างเงียบๆ

หลังจากผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ มารมังกรก็มาถึงเบื้องล่างของเขา

มันเงยหน้าขึ้น และมองมายังเขาที่ลอยอยู่ในความมืดมิด

กู่ฉิงซานโบกมือออกไปคว้าจับดาบพิภพ

ขณะเดียวกันก็ใช้นิ้วเกี่ยวด้ามจับของเช่าหยินมาไว้ตรงหลังมือ

เวลานี้สองดาบถูกเกาะกุมไว้ในหนึ่งมือของเขา

และร่างของกู่ฉิงซานก็หายวับไป

บรัช!

ตามด้วยร่างมังกรเลือดทมิฬถูกหั่นเป็นชิ้นๆ โดยดาบของเขา

มันดิ้นเร่าด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะกระโดดหนีลึกลงไปตามผนังถ้ำด้วยความหวาดกลัว

แต่ดิ้นรนอยู่สักพัก สุดท้ายมันก็ตายไป

ศพของมังกรเลือดทมิฬร่วงตกลงจากเบื้องบน กระดูกในร่างของมันหล่นกระจัดกระจาย และระเบิดหมอกเลือดสีดำคล้ำกลุ่มหนึ่งออกมา

หมอกเลือดถูกพัดพาไปตามสายลมลึกเข้าไปในถ้ำ 

กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืน

เพียงหนึ่งดาบ กลับสามารถสังหารมารมังกรเลือดทมิฬที่อยู่ในระดับเดียวกันได้

แถมยังช่างง่ายดายยิ่ง กล่าวได้ว่าหากมีคนยืนดูอยู่ข้างๆ คนคนนั้นคงยากที่จะเชื่อสิ่งที่ตาตัวเองกำลังเห็นอยู่นี้เหมือนกัน

แต่ในความเป็นจริงแล้ว กู่ฉิงซานผู้เชี่ยวชาญในการต่อสู้เกี่ยวกับดาบแถมยังครอบครองธาตุสายฟ้า ดังนั้นจึงย่อมเป็นธรรมดาที่จะเหนือยิ่งกว่าเผ่ามาร

ยิ่งหนุนเสริมด้วยสกิลธาตุสายฟ้า ‘ทัณฑ์ปีศาจ’ ที่เมื่อเผชิญหน้ากับเผ่ามาร อำนาจการทำลายล้างของผู้ฝึกยุทธจะเพิ่มสูงขึ้นถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์!

ดังนั้น กล่าวได้ว่าแม้ตัวเขาจะมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับก้าวสู่เทพขั้นปลาย แต่หากพลังอำนาจถูกหนุนเสริมเพิ่มขึ้นอีก สามสิบเปอร์เซ็นต์มันก็อาจเพียงพอที่จะระเบิดพลังในระดับประทับเทพขั้นต้นออกมาได้!

จึงพอสรุปโดยสังเขปได้ว่า หากต้องเผชิญหน้ากับเผ่ามาร ความแกร่งของกู่ฉิงซานจะเทียบเท่าได้กับ นักดาบนิรันดร์ในขอบเขตประทับเทพ!

กู่ฉิงซานร่อนลงไปยืนบนผนังของถ้ำ

และยื่นปลายดาบที่ทั้งใบชุ่มไปด้วยเลือดสีดำหยดลงไปภายใน

ฉากนี้ราวกับกำลังกระตุ้นเผ่ามารก็มิปาน

พวกมันสัมผัสได้ถึงกลิ่นเลือดและเริ่มถลาเข้าหากู่ฉิงซานอย่างบ้าคลั่ง

กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะผ่านมอนสเตอร์เหล่านี้ไป และข้อมูลทั้งหมดของพวกมันก็ผุดเข้ามาในจิตใจของเขา

สามมอนสเตอร์ไต่ขึ้นมาบนผนังหิน พวกมันอ้าปากและพยายามจะงับเขา

และสองดาบของกู่ฉิงซานก็วูบไหว

หลากรังสีดาบเจาะเข้าไปในความมืดมิด และระเบิด! ออกไปทุกทิศทาง

เหล่ามอนสเตอร์ที่ห้าวหาญถูกตัดเป็นชิ้นๆ เศษเนื้อของพวกมันกระจายไปทั่วตามสายลมจากแรงระเบิดของการฟาดฟันดาบ

สถานการณ์ภายในถ้ำมืดขณะนี้ คล้ายกับกำลังบังเกิดฝนเลือด

และแน่นอน กลิ่นอายเลือดจากเศษศพที่โปรยลงไป มันย่อมไปกระตุ้นความเดือดดาลของมอนสเตอร์จำนวนมาก พวกมันเริ่มแผดเสียงคำราม!

โฮก!

บังเกิดเสียงคลื่นเสียงคำรามดุร้ายกังวานขึ้น

และเพียงครู่หนึ่ง ก็เริ่มมีเสียงคำรามดังสะท้อนขึ้นตามๆ กันมา

ในเวลานี้เผ่ามารมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ ได้เริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของกู่ฉิงซานแล้ว

อา...จิตวิญญาณ...จิตวิญญาณที่พวกมันปรารถนาจะกลืนกิน!

ทั้งหมดเริ่มเคลื่อนไหว

เผ่ามารทั้งหมดภายในถ้ำมืด ราวกับน้ำที่ถูกต้มจนเดือด พวกมันกระเสือกกระสนพุ่งขึ้นมายังส่วนบนของปากถ้ำ

แต่กู่ฉิงซานกลับยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนผนังหิน

เขาทำการล็อกสมญาไปเป็น ‘ไพ่ตายนักฆ่า’ พร้อมทั้งปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป กวาดทั้งหมดลงไปยังเหล่ามอนสเตอร์

ณ ขณะนี้ ข้อมูลของหลายสิบมอนสเตอร์ถูกรวบรวมมาที่เขา

กู่ฉิงซานจ้องมองเหล่ามอนสเตอร์และกล่าวว่า

“มาออกันที่หน้าปากทางเข้าปรภพกันขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ลองเข้าไปดูกันสักหน่อยล่ะ ว่าปรภพน่ะมันเป็นอย่างไร?”

มวลมอนสเตอร์โห่ร้อง และเข้าโอบล้อมร่างจิตของเขาอย่างแน่นหนา ชนิดหากมีน้ำขังอยู่ก็คงไม่มีรั่วไหลลงมาสักหยด

และแน่นอนว่ามันย่อมไม่หมดเพียงเท่านี้ เหล่ามอนสเตอร์จากเบื้องล่างยังคงวิ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

ไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณใดก็ตามที่พยายามจะเข้าสู่ปรภพ ล้วนถูกกลืนกินโดยพวกมันภายในถ้ำแห่งนี้

ในฐานะนักล่า กล่าวได้ว่าพวกมันเพลิดเพลินใจจริงๆ กับการล่าเหยื่อโดยที่ตนไม่ต้องออกแรงหรือเจ็บปวดเช่นนี้

ท่ามกลางความมืดมิด

กู่ฉิงซานเอ่ยปากออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาราวกับกระซิบ “ในเมื่อพวกแกเลือกที่จะดาหน้ากันออกมาต้อนรับเสียขนาดนี้ ฉันก็ยินดีน้อมรับและจะสัมนาคุณส่งพวกแกกลับลงไปเอง!”

เสียงยังมิทันจะได้ตกลง ในความมืดมิด ก็พลันปรากฏบางสิ่งที่กำลังเบ่งบานขึ้นบนผนังถ้ำ

ร่างเงาของดาบบานสะพรั่งไปทั่ว เทคนิคลับแห่งดาบ วาดเงา!

ร่างเงาสะพรั่งแยกย้ายกันออกไปในทันใด แปรเปลี่ยนสภาพตัวเองเป็นเส้นแสงสีดำร่ายรำไปทั่วบริเวณ

เผ่ามารบัดนี้ราวกับถูกจับโยนลงในเครื่องบดเนื้อ  ตามร่างกายของพวกเว้นระยะห่างไม่ถึงหนึ่งชุ่น หรือราวสองจุดห้าเซนติเมตร ล้วนถูกเฉือนหั่น แล่เป็นชิ้นๆ มิแตกต่างไปจากปลาดิบ!

เลือดสาดเทไปทั่ว

“คุณได้รับสิบแต้มพลังวิญญาณ”

“คุณได้รับสิบเจ็ดแต้มพลังวิญญาณ”

“คุณได้รับแปดแต้มพลังวิญญาณ”

“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”

“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”

“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”

กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืน ก้มลงมองไปภายในถ้ำมืดเบื้องล่าง

ถ้ำกว้างหลายพันเมตรในระยะสายตา บัดนี้ถูกเติมเต็มไปด้วยเผ่ามาร

และแม้ร่างพวกมันจะเปียกชุ่มไปด้วยเลือดและเนื้อจากซากศพสหายที่ร่วงหล่นลงมาจากเบื้องบน แต่พวกมันก็ยังมิยอมหวาดกลัวศัตรู เลือกที่จะดาหน้าเข้ามาไม่หยุดยั้งเพียงเพราะอดใจไม่ไหวที่จะได้กลืนกินจิตวิญญาณแสนอร่อย

กู่ฉิงซานเพียงนึกคิด แล้วดาบพิภพก็วูบออกไป

พร้อมกับสมญาเทพสงครามของเขาที่ถูกเปลี่ยนไปเป็น ‘นายพลชั้นโหยวจี’

“สมนาคุณพวกมันให้เต็มที่ไปเลย ข้าไม่เชื่อเหรอกว่าพวกมารจะต้านทานคมดาบของเจ้าได้” กู่ฉิงซานกล่าว

“ด้วยความยินดี!” ดาบพิภพฮึมฮัม

และมันก็แปรสภาพตัวเองเป็นกระแสแสง ทิ้งปลายอันแหลมคมดิ่งลงไปเชือดเฉือนเผ่ามาร

แต่ต้องรู้นะว่า ในความเป็นจริงแล้ว หากผู้ฝึกดาบมิได้ใช้สกิลดาบของพวกเขา และปล่อยให้ดาบบินธรรมดาโจมตีธรรมดาๆ ออกไป การกระทำเช่นนั้นย่อมมิอาจต่อกรกับศัตรูได้

ยกเว้นไว้แต่เพียงดาบบินที่ว่าจะมีจิตอาร์ติแฟคเท่านั้น เพราะด้วยจิตแห่งดาบที่มันมีในตัวเอง ดาบบินจึงจะสามารถใช้ออกด้วยสกิลขั้นพื้นฐานบางอย่างด้วยตนเองได้

และดาบพิภพก็ทิ้งตัวลงไป ปะทะเข้าไปในดงมาร

สับหัว

สับลำตัวและแขน

ตามด้วยช่วงล่างและขาอย่างรวดเร็ว!

และที่ดาบพิภพทำ ก็เพียงแค่กวัดแกว่งตัดเฉือนไปมา ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากนั้นเลย

ทว่าตลอดทั้งภายในถ้ำมืด ไม่มีเผ่ามารตนใดเลยที่สามารถป้องกันการสะบั้นของคมดาบที่มีน้ำหนักกว่าแปดสิบหกจุดสามเจ็ดล้านจินได้!

กู่ฉิงซานยืนนิ่งอยู่เบื้องบน เฝ้ามองดูดาบไล่สับเหล่ามารอย่างท่าทีสบายๆ

 ขณะที่บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏข้อความเด้งแจ้งเตือนขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

“คุณได้รับสิบเจ็ดแต้มพลังวิญญาณ”

“คุณได้รับสิบเอ็ดแต้มพลังวิญญาณ”

“คุณได้รับยี่สิบเอ็ดแต้มพลังวิญญาณ”

…..

แม้ว่าฟังก์ชันตรวจสอบมาร มีความต้องการสิบแต้มพลังวิญญาณในทุกๆ วินาที แต่หลังจากที่สังหารพวกมันมายาวนานกว่าหนึ่งชั่วโมง กู่ฉิงซานกลับได้พลังวิญญาณเพิ่มขึ้นกลับมาถึงสามพันแต้มอีกครั้ง!

สำหรับการเก็บเกี่ยวในครั้งนี้ กู่ฉิงซานรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก

และในช่วงเวลานั้นเอง เขาก็เรียกดาบพิภพกลับคืน

ภายในถ้ำมืด เต็มไปด้วยเศษซากมารที่ถูกล้างบางโดยดาบพิภพ

เวลานี้ ท่ามกลางความว่างเปล่า เริ่มบังเกิดร่องรอยของกลิ่นอายลึกลับโชยออกมา

ห้วงอารมณ์ของกู่ฉิงซานเริ่มที่จะหนักหน่วงขึ้น

โดยไม่มีใครรู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ จู่ๆ ตลอดทั้งถ้ำมืดพลันจมลงสู่ความเงียบงัน

ณ จุดนี้ กู่ฉิงซานค่อนข้างมั่นใจว่าเขายังมิได้สังหารเผ่ามารทั้งหมดลง

ในจิตสัมผัสเทวะของเขา ยังพบกับเผ่ามารอีกหลายตนที่มีขอบเขตต่ำเกินไปกำลังยึดสองขาสองแขนของพวกมันลงบนผนังหิน ตัวแข็งไม่ไหวติง

มองไปยังอาการหวาดกลัวอลหม่านที่แสดงออกมาของพวกมัน เพียงเขาก้าวลงไปไม่กี่ก้าว พวกมันก็ถูกขู่จนเผ่นหนีไปทันที

กู่ฉิงซานจึงย่ำสองเท้าแตะลงเบาๆ บนผนังถ้ำ และทิ้งตัวค่อยๆ จมลึกลงไป

เวลานี้ ความมืดมิดที่แท้จริงได้กลืนกินเขาเข้าไปแล้ว

…………………………………………….