ตอนที่ 266 ความโหดร้ายของวันสิ้นโลก
เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกยุทธแปลกหน้าคนนี้เป็นผู้ฝึกดาบ
เมื่อเหล่าผู้ฝึกยุทธเบื้องหลังเห็นเขากดมือลงบนด้ามดาบ ทั้งหมดก็เข้าใจถึงสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อทันที
หัวหอกผู้ฝึกยุทธแปลกหน้าผุดยิ้มจางๆ ออกมา เอ่ยปากกล่าว “ยินดีที่ได้รู้จัก พวกเราก็คือ...”
บังเกิดสถานการณ์แปรเปลี่ยนฉับพลัน
ปรากฏจุดประกายแสงสีทองร่างหนึ่งวูบขึ้นท่ามกลางกลุ่มของชายแปลกหน้า
ในเสี้ยววินาทีเดียวกัน รัศมีปราณดาบอันงดงามก็ปะทุออกมา
ร่างเงาดาบทะมึนอันไร้ที่สิ้นสุดพลันผุดขึ้นมาจากอากาศที่ว่างเปล่า เบ่งบานราวบุปผา บีบฝูงชนโดยรอบให้ตกลงสู่ความตาย!
และที่สำคัญก็คือ แต่ละร่างเงาดาบนั้นแฝงไว้ด้วยการโจมตีที่รุนแรงถึงแปดสิบหกล้านสามแสนเจ็ดหมื่นล้านจิน!
ควบคู่ไปกับสกิลเทวะย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วของกู่ฉิงซาน ส่งผลให้กลุ่มคนแปลกหน้ามิทันได้ตั้งตัว
ไม่ว่าพวกเขาจะมีพื้นฐานวรยุทธที่สูงส่งเพียงใด หากถูกเชือดเฉือนด้วยคมดาบของผู้ฝึกดาบในระยะประชิดอย่างเต็มกำลัง ย่อมไม่มีทางที่จะมีชีวิตรอดต่อไปได้!
ในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ คมดาบของกู่ฉิงซานก็ได้ฆ่าสังหารอีกฝ่ายไปแล้วกว่าเจ็ดคน!
“ระยำ! พวกเราลงมือ!” หัวหอกผู้ฝึกยุทธแปลกหน้าตะโกนขึ้นด้วยความโกรธแค้น
“สังหารพวกมันซะ!” หนิงเยว่ฉานเฝ้ามองสถานการณ์และประเมินทุกสิ่งอย่างในพริบตา เธอเร่งเอ่ยสั่งพร้อมชักกระบี่ยาวออกจากฝัก
กลุ่มผู้ฝึกยุทธทั้งสองฝ่ายล้วนแล้วแต่เป็นยอดยุทธที่มากไปด้วยประสบการณ์การต่อสู้มาอย่างยาวนาน ยามเมื่อได้รับคำสั่ง พวกเขาก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะระเบิดการโจมตีใส่ศัตรู!
หัวหอกผู้ฝึกยุทธแปลกหน้า วาดดาบยาวออกจากฝัก หวดเข้าปะทะทักทายกับกู่ฉิงซาน
ดาบของเขาช่างรวดเร็วนัก แถมกระบวนท่าที่ใช้ออกก็ประหลาดไม่แพ้กัน
ในวิสัยทัศน์เบื้องหน้าเห็นแค่เพียงใบดาบที่เลื้อยลดคดเคี้ยว พยายามอ้อมเข้าพัวพันกับใบดาบของกู่ฉิงซาน และสบโอกาสจ้วงแทงเข้าไปในช่องโหว่ของเขา!
‘ปลดปล่อยกระบวนท่าดาบ!’
รังสีดาบมากมายถูกแปรเปลี่ยนเป็นกระแสธารเชี่ยว มันโถมเข้าใส่กู่ฉิงซานดั่งกระสุนระเบิด
ติ๊ๆๆ!
ในเสี้ยววินาที กู่ฉิงซานได้ถูกโถมโจมตีด้วยรังสีดาบนับไม่ถ้วน เกราะทองคำถูกทั้งฟาดทั้งทิ่มแทงอย่างไม่รู้จบ บังเกิดเสียงกระทบดังสะท้อนสะท้านกังวานขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กู่ฉิงซานมีเวลาเพียงพอแค่ยกดาบขึ้นมาปัดป้องในจุดสำคัญบนร่างกายเท่านั้น เขาจำต้องละซึ่งการป้องกันในส่วนอื่นจนถูกกระหน่ำตีถอยร่นออกไปไกลกว่าหลายสิบจั้ง!
จนท้ายที่สุดก็เห็นแค่เพียงเส้นแสงสีทองถูกทุบตีจนปลิวกระเด็นออกไป
กู่ฉิงซานถูกเหวี่ยงกระแทกเข้ากับผนังด้านหลังวิหาร ปากอ้าพ่นหมอกเลือดออกมาก่อนจะร่วงตกลง
พลังทำลายล้างของกระบวนท่าที่อีกฝ่ายเผยออกมาช่างรุนแรงยิ่งนัก
หากมิใช่เพราะกู่ฉิงซานสวมใส่เกราะรบชั้นนายพล บางทีร่างกายของเขาอาจจะแหลกไปแล้วก็ได้
ก้มมองลงไปยังเกราะรบ จะพบเห็นว่าเกราะทองบัดนี้หม่นลงหลงเหลือเพียงสีที่ซีดเซียว และปรากฏซึ่งรอยขูดขีดและหลุมบ่ออยู่หลายจุด
กู่ฉิงซานที่ล้มลงกับพื้นพยายามใช้ใบดาบยันร่างกายให้ยืนหยัดขึ้น
“เทคนิคลับชนิดนี้…ช่างทรงพลังอย่างแท้จริง…” เขาอ้าปากหอบหายใจ เอ่ยสรรเสริญอีกฝ่าย
ผู้ฝึกดาบแปลกหน้ายังคงยืนนิ่งอยู่ในตำแหน่งเดิม ปลายคมดาบชี้มายังเบื้องหน้ารักษาท่วงท่าเตรียมต่อสู้รับมือ แต่ทว่าช่างน่าฉงนนัก ที่เขากลับไม่ได้ไล่ตามมาซ้ำกู่ฉิงซาน
“ส่วนกระบวนท่าของเจ้า ใช่เรียกว่ากลืนกินหวนกลับหรือไม่?” ผู้ฝึกดาบแปลกหน้าเอ่ยถาม
“ถูกต้องแล้วล่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว
ผู้ฝึกดาบแปลกหน้าถอนหายใจยาว ปากเอ่ยกล่าวด้วยจิตใจหดหู่ “ที่แท้นี่น่ะเองคือกระบวนท่ากลืนกินหวนกลับอันระบือนาม กระบวนท่าที่ข้าเฝ้าตามหามันไปหลายโลกทว่ากลับมิพบเจอ แต่สุดท้ายดันต้องมาพบเจอกับมันด้วยรูปแบบเช่นนี้”
ฉัวะ!
เบื้องหลังชายแปลกหน้าพลันบังเกิดหมอกโลหิตปะทุขึ้นอย่างแรง ทั้งคนทั้งร่างของเขาทิ้งตัวลงกับพื้นและไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ อีกต่อไป
เขาตายไปแล้ว
เมื่อเทคนิคลับแห่งดาบ กลืนกินหวนกลับถูกใช้งาน ดาบที่ผู้ฝึกดาบใช้งาน จะตวัดเข้าเฉือนโจมตีศัตรูจากเบื้องหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว
สองบรรทัดตัวอักษรเด้งขึ้นมาบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“คุณฆ่าสังหารผู้ฝึกดาบขอบเขตก่อกำเนิดขั้นปลาย”
“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”
“แต้มพลังวิญญาณบวกหนึ่งร้อย”
กู่ฉิงซานลุกขึ้นยืน แต่แม้กระทั่งเวลาที่จะหยิบฉวยเม็ดยามารักษาตนเองก็ดูเหมือนจะยังไม่เพียงพอ เขากระโจนเข้าไปในฝูงชนที่กำลังชุลมุนอีกครั้ง
และในสภาพแวดล้อมที่คับแคบเช่นนี้ อำนาจการทำลายล้างของผู้ฝึกดาบนับว่าน่าหวั่นเกรงที่สุด!
ทว่าหลังจากที่ผู้ฝึกดาบแปลกหน้าตกตายลง ผู้ฝึกดาบคนเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ในฉากนี้ นั่นก็คือกู่ฉิงซาน!
เขากระโจนเข้าร่วมการต่อสู้อย่างรวดเร็ว
ร่างของกู่ฉิงซานวูบไหว และร่อนตกลงเผชิญหน้ากับวิชาลับที่กำลังจะจีบออกที่ดูไม่คุ้นเคยของศัตรูแปลกหน้า
เงาดาบวาบผ่าน พร้อมกับร่างของกู่ฉิงซานที่หายวับไป
ตามด้วยเสียงกรีดร้องสยองขวัญของชายคนเมื่อครู่
มือที่กำลังจีบออกด้วยวิชาลับพลันทิ้งดิ่งลง ทั้งคนทั้งร่างร่วงแหมะลงกับพื้น
อีกด้านหนึ่ง ผู้ใช้เทคนิคมนตราจากธาตุทั้งห้าก็พลันระเบิดการโจมตีของเขาออกไปในช่วงเวลาที่เหมาะสม คร่าเอาชีวิตของผู้ฝึกยุทธแปลกหน้าที่กำลังต่อสู้กับเขาตกตายลงในฉับพลัน
ณ เวลานี้ กู่ฉิงซานก็รับรู้ได้ทันทีว่าจุดสิ้นสุดของการต่อสู้ในครั้งนี้ได้มาถึงแล้ว
ทั้งคนทั้งดาบหลอมรวมเป็นหนึ่ง เปล่งรัศมีดาบสีขาวนวลดั่งจันทร์ออกมา และวาบบบ! ตัดผ่านร่างนักสู้แปลกหน้าที่ยังหลงเหลือจนขาดครึ่ง!
ทางด้านหนิงเยว่ฉาน เธอเป็นถึงผู้ใช้กระบี่ในขอบเขตก้าวสู่เทพ นอกจากนี้สภาพแวดล้อมในฉากต่อสู้ยังเหมาะสมเป็นใจกับเธอ ดังนั้นคงไม่ต้องกล่าวบรรยายให้มากความ
เลือดศัตรูเปรอะเปื้อนไปทั่วเกราะรบชั้นติงหยวน คมกระบี่ทิ่มทะลวงแหวกฝูงชน บ้างสับ บ้างจ้วงแทง ล่าสังหารศัตรูที่ถูกจู่โจมให้ตกตายลงคนแล้วคนเล่า
การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็ว พร้อมด้วยฝ่ายหนึ่งที่ถูกล้างบางลงอย่างสิ้นเชิง
ผลลัพธ์ของการเผชิญหน้ากันในครั้งนี้ เกิดขึ้นจากการจู่โจมอย่างกะทันหันของกู่ฉิงซาน
เขาคว้าโอกาสแรกเปิดการโจมตี ดังนั้นทางฝั่งหนิงเยว่ฉานจึงไม่มีใครเลยที่ตกตายลง นอกจากหลายคนที่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น
การต่อสู้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และจบลงในเวลาไม่นาน
ทุกคนอ้าปากค้าง หอบหายใจอย่างรุนแรงจนร่างสั่นสะท้าน
“ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงเริ่มเป็นฝ่ายเริ่มลงมือ ข้าคิดว่าทุกคนต้องการคำอธิบาย” หนิงเยว่ฉานจ้องมองกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยถาม
เหล่าผู้ฝึกยุทธหันไปมองเขา เฝ้ารอคำตอบ
ตามกในกฎองทัพ หากไม่มีคำสั่งหรือกระทำการโดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ฝ่าฝืนอาจถึงขั้นถูกตัดหัว
“เจ้ารู้จักพวกเขาหรือเปล่า?” กู่ฉิงซานถามอย่างสงบ
“ไม่รู้” หนิงเยว่ฉานตอบ
“แล้วเจ้าเคยเห็นเครื่องแต่งกายแบบนั้นหรือไม่?”
“ไม่”
กู่ฉิงซานกล่าว “เช่นนั้นบางทีหากพวกเราควรริบทรัพย์สินสงครามจากอีกฝ่ายโดยเร็ว เผื่อว่าจะได้รับรู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับพวกเขาเพิ่มเติมขึ้นมาก็ได้”
หนิงเยว่ฉานจ้องมองเขาอยู่นาน แต่แล้วในที่สุดก็พยักหน้า “…ตกลง”
เหล่าผู้ฝึกยุทธในทีมเริ่มสำรวจซากศพของอีกฝ่าย ทำการเก็บรวบรวมอาวุธและสิ่งของของพวกเขา
และในที่สุดก็มีคนพบธงเล็กๆ ใบหนึ่งจากศพของผู้ฝึกดาบแปลกหน้า
บนธงมีตัวอักษรเขียนเอาไว้ว่า ‘บัญชา’
บางคนลองถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปในธง
ทันใดนั้นเสียงที่เปี่ยมไปด้วยบารมีก็เปล่งสวนออกมา
“คำบัญชา...สาวกที่แท้จริง จางหงอี้ จงเป็นผู้นำผู้ฝึกยุทธทีมที่ห้า เข้าไปยังโลกแห่งจิตอาร์ติแฟค เพื่อทำการค้นหาสมบัติ”
“นอกเหนือจากภารกิจแล้ว ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องสำรวจเส้นทางหรือที่มาของสิ่งมีชีวิตจากโลกอื่นๆ”
“เรื่องนี้ทางนิกายได้พิจารณาแล้ว ว่าไม่ต้องทำอะไร”
“ทว่าหากพบเจอกับสิ่งมีชีวิตจากโลกอื่น เจ้าสามารถสังหารและจับพวกมันเป็นเชลยสงครามได้เลย หากมีหญิงงามปรากฏตัวขึ้น เจ้าสามารถนำตัวพวกนางมาทำหน้าที่เป็นสาวรับใช้ของสาวกได้ หากพบกับตัวตนที่แข็งแกร่ง ขอให้จับมันกลับมาเป็นทาส นอกเหนือจากนั้นจงฆ่าทิ้งให้หมด”
เหล่าผู้ฝึกยุทธรุ่นใหญ่พอได้ยินก็ถึงกับตะลึงงัน
“พวกเขาเป็นผู้ฝึกยุทธจากอีกโลกหนึ่งจริงๆ ด้วย!” ผู้ฝึกยุทธขั้นก้าวสู่เทพกล่าวด้วยน้ำเสียงแห้งราวกับสูญสิ้นจิตวิญญาณของเขาไป
“ขอบเขตก้าวสู่เทพ แต่กลับมีตำแหน่งเป็นแค่สาวกที่แท้จริง…” อีกคนหนึ่งเอ่ยพึมพำ
“ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ผู้มีพื้นฐานวรยุทธในขอบเขตก้าวสู่เทพ นับว่ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะสามารถถือครองตำแหน่งอาวุโสของนิกาย หรือแยกตัวไปตั้งนิกายอิสระเองเลยก็ยังได้”
ทว่าอีกฝ่าย…กลับมีตำแหน่งแค่เพียงสาวกเท่านั้น!?
แล้วถ้าในกรณีนี้ ผู้อาวุโสกับผู้นำนิกายของพวกเขาเล่า จะอยู่ในขอบเขตใดกันแน่?
ผู้คนอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องนี้ ในหัวใจของพวกเขาเริ่มบังเกิดกระแสอากาศเย็นเยียบ
การเผชิญหน้าในครั้งนี้ ได้ก่อคำถามที่ไม่อาจคาดเดาได้โดยสมบูรณ์
ก็แล้วใครมันจะไปคิดกันล่ะว่า จะพบกับผู้คนจากโลกอื่นในซากปรักหักพังเช่นนี้?
ธงคำสั่งได้เปิดเผยถึงข่าวร้ายให้กลุ่มของกู่ฉิงซานได้รับฟัง
ว่าอีกฝ่ายจะต้องจู่โจมพวกเขาอย่างแน่นอน!
บางทีหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างตะลึงงัน พวกมันอาจจะฉวยโอกาสลงมือลอบโจมตีอย่างกะทันหันก็เป็นได้
หากเกิดขึ้นจริง นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก
แล้วนี่ยังไม่รวมเรื่องที่ว่าถ้าหากพวกเขาวางแผนจะลงไปบุกโลกแห่งผู้ฝึกยุทธเล่า?
ฝูงชนบังเกิดความคิดขึ้นในจิตใจ คนแล้วคนเล่าหันไปพยักหน้าให้กู่ฉิงซานด้วยความสำนึกคุณ
หนิงเยว่ฉานก็ผ่อนคลายลงด้วยเช่นกัน
ตั้งแต่ที่ฝ่ายตรงข้ามปิดซ่อนเจตนาร้ายเอาไว้ภายใต้หน้ากากแห่งศีลธรรม แต่กู่ฉิงซานกลับลงมือล่วงหน้า เข้าไปบู๊สังหารกับพวกมันก่อนทันที นี่จึงนับได้ว่า การกระทำของเขาจะไม่ถูกนับรวมเป็นการลงมือโดยพลการหรือไม่ได้รับอนุญาตอีกต่อไป
การฉวยโอกาสเปิดฉากโจมตีศัตรูก่อน จึงเป็นที่มาของชัยชนะในครั้งนี้ และยังสามารถหลีกเลี่ยงการสูญเสียบุคลากรได้อีกด้วย
หนิงเยว่ฉานขมวดคิ้วครุ่นคิด ก่อนจะเริ่มเอ่ยปากถาม “ฉิงซาน เจ้าทราบถึงสิ่งที่คนเหล่านี้คิดจะกระทำมาก่อนหรือไม่?”
“ไม่ ข้าไม่ทราบ”
กู่ฉิงซานเมื่อได้ยินถ้อยคำภายในธง เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“แล้วการที่เจ้าลงมือทันที ตั้งแต่ที่อีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้นล่ะ?” เหลิงเทียนสิงเอ่ยถาม
“ตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามายังโลกเทวะ ข้าก็ได้ทำการวิเคราะห์จากเบาะแสที่พบเจอมามากมาย จนได้ข้อสรุปออกมาว่า”
“ฉากที่ข้าได้พบเจอในวันนี้ ทำให้ข้าคิดว่าการอนุมานของข้านั้นถูกต้อง”
ในแววตาของกู่ฉิงซานเต็มไปด้วยห้วงความทรงจำและความสับสน
ดวงตาของเขาแลคล้ายกับจะมองทะลุชั้นเมฆหมอกที่ว่างเปล่า มองไกลออกไป หลุดพ้นออกไปยังนอกโลกเทวะ
มีเหตุการณ์แปลกๆ ที่แตกต่างไปจากในชีวิตก่อนหน้าเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น
เสาทองแดงและร่างใหญ่ที่พบเจอกับเขาเข้าโดยบังเอิญ
ภาพฉายของฉากที่ร่างทั้งสามปรากฏออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่า
ไร้ซึ่งสรรพชีวิตในโลกเทวะ แต่ทว่ากลับเต็มไปด้วยจิตอาร์ติแฟคนับไม่ถ้วนที่ต้องการความช่วยเหลือ
เหนือสิ่งอื่นใด คือลางสังหรณ์แห่งความตายของนางเซียนไป่ฮั่ว
ทันทีที่คิดมาถึงจุดนี้ ความสับสนใจแววตาของกู่ฉิงซานก็สลายหายไปโดยสิ้นเชิง
มันกลับกลายเป็นเด็ดเดี่ยวและฉายแววที่แฝงไว้ซึ่งเจตนาฆ่าอีกครั้ง!
“จงบอกความคิดเห็นของเจ้าให้พวกเราได้ฟังเถิด” เหลิงเทียนสิงตบลงบนไหล่ของเขาและกล่าว
กู่ฉิงซานพยักหน้า
เรื่องนี้จำต้องพูดอธิบายให้มันชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทุกคนอาจจะไม่โชคดีเหมือนในครั้งนี้
เขาเรียบเรียงคำพูดก่อนจึงเอ่ยปาก “ระหว่างพวกเขากับเรา มีเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้นที่จะอยู่รอดไปได้”
ทุกคนเงียบ
เมื่อเชื่อมโยงคำพูดของกู่ฉิงซานกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันส่งผลให้หลายคนเริ่มรู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ
“เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น?” สีหน้าของหนิงเยว่ฉานดูซีดเซียว
กู่ฉิงซานไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง และเริ่มอธิบายในมุมมองของเขาให้เหล่าผู้ฝึกยุทธได้เข้าใจ
เขาไม่ได้คาดหวังเลยว่า คำพูดในวันนี้จะถูกส่งผ่านไปยังรุ่นสู่รุ่น และจะกลายเป็นคำยืนยันตัดสินใจที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดในประวัติศาสตร์!
“พวกเราต้องทำการยึดครองโลกใบนี้เป็นตัวอย่าง!”
กู่ฉิงซานกล่าว
“จากนั้นก็ทำการรวบรวมทรัพยากรทั้งหมดของโลกใบนี้มาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ฝ่ายใดก็ตามที่สามารถครอบครองทรัพยากรมากกว่า ฝ่ายนั้นก็จะมีคุณสมบัติที่จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นเท่านั้น!”
“แล้ววันหนึ่ง หากสองโลกที่คิดยึดครองโลกใบนี้เหมือนกัน บังเอิญมาเผชิญหน้ากัน มันจะเกิดสิ่งใดขึ้น?”
“ข้าคงต้องขอยกตัวอย่างว่า แม้กระทั่งผู้ฝึกยุทธเร่ร่อน ก็ยังต้องแข่งขันแก่งแย่งทรัพยากรและสมบัติกันเองอยู่ตลอดเวลา เช่นนี้หากสลับสับเปลี่ยนเป็นทั้งสองโลกที่ไม่รู้จักมักคุ้นกันเล่า มันจะแตกต่างกันตรงไหน?”
“พวกเขาทุกคนล้วนต้องการที่จะได้รับทรัพยากร และสมบัติของอีกฝ่าย มิแตกต่างจากตัวอย่างข้างบนเลยอย่างไรเล่า”
“ด้วยเหตุผลนี้ เมื่ออารยธรรมที่แตกต่างของทั้งสองมาบรรจบกัน พวกเจ้าคงจะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาด้วยเจตนาดีหรอกกระมัง?”
“เมื่อสองอารยธรรมเผชิญหน้ากัน โอกาสที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือ ไม่เจ้าตาย ข้าก็ต้องรอด!”
กู่ฉิงซานกล่าวความคิดเห็นของเขาออกมาในที่สุด
“ยิ่งไปกว่านั้น เกรงว่าสถานการณ์ในตอนนี้คงยังมีอีกหลายต่างโลกและอีกหลายอารยธรรมนับไม่ถ้วน หากมีอารยธรรมใดที่เปิดเผยตัวเองออกมาก่อน มันย่อมต้องถูกอารยธรรมอื่นกำจัดทิ้งเป็นแน่”
“อารยธรรมจากต่างโลกที่ยังคงหลบซ่อนในเงามืด จะทำการปล้นชิงและล้างบางอารยธรรมที่เปิดเผยตัวออกมา!”
“เพื่อรวบรวมและสั่งสมทรัพยากรที่ตนเองต้องการ”
“และเพื่อป้องกัน หยุดยั้งไม่ให้อารยธรรมถูกเปิดเผยก้าวหน้าต่อไป จนวันหนึ่งอาจจะกลายมาเป็นภัยคุกคามต่อตัวของพวกเขาเองก็เป็นได้”
“อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ในที่สุด เป้าหมายของพวกเราก็คือผลักดันอารยธรรมของตนให้แข็งแกร่งขึ้น เผื่อไว้ว่าในวันหนึ่ง วันที่เผ่ามารเติบใหญ่ และวันสิ้นโลกได้มาถึง อารยธรรมของพวกเราจะได้สามารถอยู่รอดได้ด้วยตนเองและมีชัยเหนือพวกมันได้อย่างแท้จริง!”
.....................................................