ตอนที่ 189 จิตเทวะ
หลายคนกำลังพูดคุยกันอยู่ ทันใดนั้นเอง สมองควอนตัมของกู่ฉิงซานก็สว่างขึ้น
“ใต้เท้าผู้ทรงเกียรติ ทำการล็อกเป้าหมายที่สอดคล้องกับเงื่อนไขไว้เรียบร้อยแล้ว” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว
กู่ฉิงซานยืนขึ้นทันใด พร้อมกับตบลงบนไหล่ของเย่เฟย์หยู
เย่เฟย์หยูที่กำลังเล่นเกมอย่างเมามัน จำต้องวางสมองควอนตัมลงและกล่าว “ทำไมต้องตอนนี้ด้วยล่ะ เอาไว้รอหลังมื้ออาหารไม่ได้เหรอ?”
“เอาน่า ถือว่าเป็นการออกกำลังการก่อนกินอาหารก็แล้วกัน” กู่ฉิงซานกล่าว
“พี่ใหญ่ ดูเหมือนว่านายจะอยากฆ่าคนยิ่งกว่าฉันซะอีกนะ” เย่เฟย์หยูกล่าวอย่างหมดหนทาง
“จะขี้เกียจไม่ได้นา หรือว่านายไม่อยากวิวัฒนาการประสาทหูแล้ว?” กู่ฉิงซานเลิกคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นก็ดีเหมือนกันนะ ฉันจะได้พักผ่อนจริงๆ ซะที”
“เข้าใจแล้วๆ พวกเราไปกันเถอะ ไปกันตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย” เย่เฟย์หยูลุกขึ้น ลูบสองมือของตัวเองและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไหนๆ ฉันก็ว่างอยู่แล้ว ให้ฉันไปด้วยจะได้ไหม?” ซางหยิงฮ่าวลุกขึ้นยืนเช่นกันและกล่าว
“ไม่ได้หรอก นายนั่งอยู่ที่นี่แหละ ในกรณีที่หากเกิดสถานการณ์เร่งด่วนอะไรขึ้น นายจะได้รีบแจ้งให้พวกเรารู้โดยเร็วที่สุด” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เอางั้นก็ได้”
พอเห็นน้ำเสียงจริงจังของอีกฝ่าย ซางหยิงฮ่าวก็ตอบรับอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
รถเหินเวหาค่อยๆ เคลื่อนตัวไปยังลานจอดอย่างช้าๆ รับตัวกู่ฉิงซานกับเย่เฟย์หยูเข้าไป ก่อนจะค่อยๆ ลอยตัวขึ้นและบังเกิดเสียง ปัง! พุ่งออกไปสุดสายตาเหลือทิ้งไว้เพียงเส้นแสง
“ท่าทางจะรีบน่าดูเลยนะ” เย่เฟย์หยูมองไปยังกู่ฉิงซาน แล้วเอ่ยคำหนึ่ง ขณะที่อีกฝ่ายกำลังไตร่ตรองถึงบางสิ่ง
“เจ้าก้อนเนื้อนั่นดูเหมือนว่าจะสามารถกลายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ระหว่างต่อสู้พวกเราคงต้องวุ่นจนเท้าไม่ติดพื้นแน่ๆ เวลาไม่คอยท่าแล้ว ดังนั้นต้องรีบจัดการกับมันก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”
“ศัตรูคราวนี้คือเจ้าก้อนเนื้อยักษ์นั่นน่ะเหรอ?” ท่าทีของเย่เฟย์หยูกลายเป็นจริงจัง “เพราะแบบนั้นนายเลยพูดว่าไม่ให้ซางหยิงฮ่าวตามมา เพราะกลัวว่าเขาจะตกอยู่ในอันตรายใช่รึเปล่า?”
“ใช่แล้ว คราวนี้ความเสี่ยงมันค่อนข้างสูงมากจริงๆ แม้กระทั่งนายกับฉันก็คงจะต้องระวังตัวกันให้มากเข้าไว้” กู่ฉิงซานเอ่ย
สิ้นประโยค เขาก็หยิบเกราะรบนายพลชั้นโหยวจีออกมา และเริ่มสวมใส่มันบนร่างกาย
“ดูจากท่าทีแบบนี้ของนาย มันคงจะร้ายแรงจริงๆ” เย่เฟย์หยูกล่าว เขาไม่กล้าจะประมาท และเริ่มสวมใส่เกราะรบเพชฌฆาตทันที
ณ เมืองเมืองหนึ่ง
เป็นเมืองที่ว่างเปล่า
ทว่าก่อนวันสิ้นโลก เมืองแห่งนี้นับว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและโด่งดังที่สุด
แต่ในตอนนี้ บนถนนที่เดิมเคยจอแจและคลาคล่ำไปด้วยผู้คน บัดนี้ไร้ซึ่งชีวิตชีวา ไม่เห็นแม้กระทั่งเงาของสิ่งมีชีวิตใดๆ
ไม่ใช่เพียงแค่คนเท่านั้น กระทั่งหมาแมว หรือสัตว์อื่นๆ ก็มิมีหลงเหลือ
ไม่ว่าจะเป็นเหล่าผีดิบนักฆ่าและผีดิบกินคนที่มักจะกระจายตัวกันอยู่ทั่วทุกหัวระแหง ก็ยังยากที่จะพบร่องรอยของพวกมัน
ดังนั้น นี่จึงกลายเป็นเมืองที่เงียบที่สุด สงบที่สุดในโลก
ทว่าในตอนนั้นเอง บนท้องฟ้าก็ปรากฏรถเหินเวหาลำหนึ่ง ร่อนลงมาทำลายความเงียบสงบของเมือง
มันโฉบลงมาเล็กน้อยและลงจอดบนถนนที่กว้างใหญ่
กู่ฉิงซานกับเย่เฟย์หยูลงจากรถ
“อ้างอิงตามทิศทางการเคลื่อนที่ของมัน อีกเพียงไม่ถึงห้านาที มันจะผ่านมายังที่นี่” เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังขึ้น
และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่นานนักผีดิบกินคนสิบตนก็ค่อยๆ ลากรถเลื่อนคันใหญ่ผ่านมาอย่างช้าๆ
สิ่งที่พวกมันลากมาบนรถเลื่อน คือชิ้นเนื้อขนาดยักษ์
ชิ้นเนื้อก้อนนี้ไม่มีแขนขาหรือโครงหน้า แต่ทว่ามันยังคงดิ้นยั้วเยี้ยราวกับว่าจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
รถเลื่อนหยุดลงฝั่งตรงข้ามของกู่ฉิงซานกับเย่เฟย์หยู
เสียงกระหึ่มดังขึ้นในหูของทั้งสอง
“ผู้มาเยือนทั้งสอง ยินดีต้อนรับ”
“มันก็สักพักแล้วนะ ที่ไม่ได้พบเจอกับสิ่งมีชีวิต ข้ากำลังวางแผนที่จะออกจากเมืองนี้อยู่พอดีเลย”
“แต่พวกเจ้ากลับมาเยือนถึงที่นี่ ใช่เพราะต้องการเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโลกของข้าใช่หรือไม่?”
กู่ฉิงซานกับเย่เฟย์หยูเหลือบมองกันแวบหนึ่ง
“ทำตามแผนที่ได้ตกลงกันไว้นะ” กู่ฉิงซานย้ำเตือน
“อืม ฉันอยากรีบกลับไปกินข้าวแล้ว” เย่เฟย์หยูกล่าว ทั้งร่างของเขาพลันถูกห่อหุ้มด้วยเลือดสังหาร มันขยับไหวคล้ายกับเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้ จากนั้นทั้งคนทั้งร่างก็ปรี่ตรงไปยังก้อนเนื้อยักษ์
“ตายซะ!”
ปากเอ่ยคำราม สองมือแปรเปลี่ยนเป็นคมมีดยาว ตัดเฉือนลงบนก้อนเนื้อ
ทางฝั่งก้อนเนื้อ เมื่อต้องเผชิญกับศัตรูตรงหน้า คมมีดยาวนับร้อยก็ยืดออกไปจากทุกทิศทาง แปรเปลี่ยนร่างตัวเองราวกับเม่น ทิ่มแทงเข้าใส่เย่เฟย์หยู
“อืม!” เย่เฟย์หยูครวญออกมาคำหนึ่ง เลือดสังหารที่ปกคลุมรอบกาย แตกกระจายออกไปทั่วบริเวณ
“นายโอเครึเปล่า” กู่ฉิงซานตะโกนถามจากระยะไกล
“ยังโอเคอยู่ ขอเวลาฉันแก้มือหน่อย จะรีบสับมันเดี๋ยวนี้ล่ะ!”
เย่เฟย์หยูคำราม ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ตั้งหลักเตรียมที่จะโถมโจมตีอย่างรุนแรงในครั้งต่อไป
ทางฝั่งกู่ฉิงซาน เขาตบลงไปในถุงสัมภาระ คว้าจับธนูเย่หยูขึ้นมาในมือ
ในหน้าต่างระบบเทพสงคราม เขาทำการเปลี่ยนสมญาเป็น ‘นายพลชั้นโหยวจี’
“ถ้าอย่างงั้นฉันจะรับหน้าที่เก็บกวาดผู้ติดตามของมันเองก็แล้วกัน”
เขาค่อยๆ ก้าวไปทีละก้าว ก้าวตรงไปยังผีดิบกินคนที่ทำหน้าที่คอยลากรถเลื่อน
ในก้อนเนื้อ บังเกิดเสียงกระหึ่มขึ้น
“ปรากฏว่าจริงๆ แล้วพวกเจ้าไม่ต้องการที่จะเข้าสู่โลกของข้า นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆ”
“จงไปซะ ไปนำร่างของเจ้ามนุษย์ธรรมดาคนนั้นมา ข้าต้องการจะกินอาหารดีๆ หลังจากที่ไม่ได้พบเจอมานาน!”
สิ้นคำกล่าวของก้อนเนื้อ ผีดิบกินคนชั้นยอดที่ทรงพลังทั้งหลายก็เริ่มเคลื่อนไหวทันที
พวกมันปล่อยมือจากเชือกที่ใช้ลากจูงรถเลื่อน ปากอ้าตะโกนปราดตรงมายังกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานดึงลูกศรออกมาและแนบลงบนคันธนูของเขา ขึงเส้นจนตึง
และปล่อยมือออกไป
ปุ๊!
หัวของผีดิบกินคนตนหนึ่งระเบิดออกทันที
ทว่าสองเท้าของมันยังคงวิ่งต่อมายังเบื้องหน้า ทว่าเพียงไม่กี่ก้าว ร่างของมันก็ร่วงกระแทกลงกับพื้นดิน แน่นิ่งไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ อีกต่อไป
“ผลลัพธ์ของมันไม่เลวเลย”
กู่ฉิงซานเอ่ยงึมงำ
ภายใต้สมญา ‘นายพลชั้นโหยวจี’ ส่งผลให้ความว่องไวในการโจมตีของเขาเร็วขึ้นถึงสิบห้าเปอร์เซ็นต์
ควบคู่ไปกับสกิลติดตัว ‘กังหันลม’ ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการบินของลูกธนูระหว่างตรงไปยังเป้าหมาย ภายใต้การสนับสนุนของสกิลทั้งสองนี้ ทำให้แม้กระทั่งตัวกู่ฉิงซานเองก็ยังไม่อาจมองเห็นวิถีของลูกศรได้
กู่ฉิงซานยังคงไม่หยุดมือ ขณะนี้สองสกิลถูกใช้ออกไปอีกครั้ง
กังหันลม!
ยิงต่อเนื่อง!
ลูกศรถูกดึงออก แนบลง และยิงออกไป
หลังจากที่ยิงออกไป เมื่อลูกศรปรากฏให้เห็นในวิสัยทัศน์อีกครั้ง มันก็เจาะลึกลงไปบนร่างกายของผีดิบกินคนเสียแล้ว
สิบผีดิบกินคน พริบตาเดียวกลับหลงเหลือเพียงหนึ่งที่ยังคงวิ่งตรงมายังเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานเก็บธนูกลับคืน ยื่นมือออกไปยังอากาศที่ว่างเปล่า พร้อมกับคว้าดาบพิภพที่ปรากฏออกมา
ดาบพิภพถูกวาดออก บังเกิดเสียงเสียดสีฉีกอากาศอันคมชัด
ร่างของกู่ฉิงซานและผีดิบนักฆ่าพุ่งผ่านกันและกัน
เบื้องหลังเขา ผีดิบกินคนยืนหยัดนิ่งงัน ทว่าตามร่างกายของมันกลับค่อยๆ ปรากฏรอยเส้นตัดบางๆ ที่มีสีแดงสดๆ ค่อยๆ ปริแตกออกมา
รอยเส้นเลือดลุกลามไปตามส่วนต่างๆ อย่างรวดเร็ว ริเริ่มจากไหล่ซ้าย ขยายไปยังไหล่ขวา เคลื่อนตัวลงมายังกระดูกสะโพก ลุกลามแพร่กระจายไปทั่ว
พรวด!
ผีดิบนักฆ่าถูกหั่นแยกออกเป็นสองส่วน อวัยวะภายในที่แดงสดร่วงตกลงสู่พื้น
กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น ปากเอ่ยคำหนึ่ง “อืม เผลอฆ่าพวกมันไปจนหมดซะแล้ว”
แต่ในตอนนั้นเอง เขาก็หันไปเห็นเย่เฟย์หยูที่กำลังจ้องมองมาทางตนด้วยความปวดร้าว ปากเปล่งเสียงตะโกน “รีบหนีไปเร็วเข้า!”
กู่ฉิงซานได้สติทันใด สองตาหรี่แคบลง มุ่งเน้นสังเกตอีกฝ่ายอย่างรอบคอบ
มองไปยังเย่เฟย์หยูที่ปากอ้าหอบหายใจหนักหน่วง เลือดสีแดงสดข้นหนืดในแววตาที่กำลังเผยถึงความบ้าคลั่งออกมาทีละน้อยๆ
“มันพยายามที่จะควบคุมฉัน ความแข็งแกร่งทางจิตของมันเหนือล้ำยิ่งกว่าที่พวกเราจินตนาการเอาไว้ นายต้องวิ่งแล้ว ไม่อย่างนั้นฉันคงยั้งมือไม่ไหว เผลอฆ่านายตายไปแน่ๆ!” เย่เฟย์หยูอุทานลั่น
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มหนักอึ้ง เขาไม่คาดคิดเลยว่าระดับกลายพันธุ์ของซอมบี้ตนนี้จะถึงขั้นสามารถควบคุมได้แม้กระทั่งเย่เฟย์หยู
เขารวบดาบพิภพกลับคืนอย่างรวดเร็ว คว้าจับเอาธนูเย่หยูขึ้นมา ตามด้วยลูกศรสีดำ
ศรทำลายมาร!
กังหันลม! โจมตีฉับไว! ยิงระเบิด!
เปิดใช้งานสกิลเต็มรูปแบบ!
ยามเมื่อสายที่ถูกขึงจนตึงถูกผละออก ศรทำลายมารก็หายวับไปจากตัวคันธนู
บนรถเลื่อน ปรากฏเสียงกรีดร้องอันคมชัดและแข็งกร้าวของก้อนเนื้อดังสะท้านไปทั่ว
“อืม!! เจ็บๆๆ มันเจ็บ เจ็บเหลือเกิน!”
มองไปยังก้อนเนื้อยักษ์ บัดนี้ชิ้นส่วนขนาดใหญ่ของมันถูกเจาะทะลวงจนเว้าโหว่โดยสมบูรณ์ ระเบิดกระจัดกระจายไปทั่วทุกที่ เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดราวกับน้ำพุ
“บัดซบ เป็นเพียงแค่มนุษย์! ข้าจะต้องให้เจ้าชดใช้เป็นหมื่นเท่า!”
ก้อนเนื้อเอ่ยเสียงหึ่งๆ
สิ้นคำกล่าวของมัน คลื่นที่มองไม่เห็นก็ค่อยๆ โอบล้อมรอบตัวกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานไม่แยแสมัน เขาคว้าจับศรทำลายมารลูกที่ศรขึ้นมาแนบลงกับคันธนู และใช้ออกด้วยสกิลทั้งหลายอีกครั้ง
ลูกศรถูกยิงออกไป
เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอันน่าสมเพชดังขึ้นอีกครา ก้อนเนื้อยักษ์เต้นตุบๆ ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง “จงตกอยู่ในอาณัติแห่งข้า!”
คลื่นความผันผวนที่มองไม่เห็น แปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน
กู่ฉิงซานถูกโจมตีอย่างกะทันหัน
ในวินาทีต่อมา ม่านสีดำก็ที่สามารถซ่อนผืนฟ้า บดบังไปทั่วทั้งผืนดินก็ถูกกวาดลงมา
โลกทั้งใบกลับกลายเป็นสีทมิฬ
สิ่งมีชีวิตรูปร่างแปลกประหลาดนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาจากพื้นดิน ตามมาด้วยแอ่งกระทะเลือดที่เดือดปุดๆ ที่เกือบจะท่วมทับสิ่งมีชีวิตที่พึ่งปรากฏขึ้นจนแทบมิด
จากนั้นก็บังเกิด ภูเขาคมมีด ทะเลเพลิง คมเขี้ยวสัตว์ประหลาดกัดแทะ เหวลึกอันไร้ก้นบึ้ง และภาพนรกภูมิอันน่าหวาดหวั่น ปรากฏขึ้นภพแล้วภพเล่าเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกของข้า ทว่าเมื่อเข้ามาแล้ว ย่อมไม่สามารถที่จะกลับออกไปได้อีกเป็นครั้งที่สอง”
เสียงของก้อนเนื้อที่แฝงไปด้วยความเกลียดชังดังกังวานขึ้นจากรอบทิศทาง
“เจ้าจะต้องตกอยู่ภายใต้การถูกทารุณทรมานอย่างโหดร้ายที่สุด จนกระทั่งจิตเทวะของเจ้าเหือดหายไปโดยสมบูรณ์ เพื่อบรรเทาความโกรธเกรี้ยวที่ลุกโชนอยู่ในจิตใจข้า!”
สิ้นคำกล่าวของมัน ใต้ฝ่าเท้าของกู่ฉิงซาน จู่ๆ ก็แปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นธารโลหิตที่เดือดพล่าน
ท่ามกลางธารโลหิตสายนี้ ปรากฏสัตว์ประหลาดอันน่าขวัญผวามากมายหลากชนิดผุดขึ้นมาบนผิวน้ำ พวกมันอ้าปากเผยให้เห็นฟันที่คมกริบ จดจ้องมายังกู่ฉิงซานไม่วางตาชนิดหัวชนฝา
เสียงฮึมฮัมของก้อนเนื้อดังหึ่งๆ ขึ้นจากรอบทิศทาง “เจ้ามนุษย์สารเลวเอ๊ย จงลิ้มรสถึงความน่าสะพรึงกลัวของนรกภูมิ!”
และร่างของกู่ฉิงซานจู่ๆ ก็ร่วงตกลงไปในธารโลหิตที่เดือดพล่าน
ในธารโลหิต สัตว์ประหลาดหลากชนิดพากันตื่นเต้น ตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จะคว้าจับกู่ฉิงซาน
แต่แล้วในวินาทีต่อมานั้นเอง จู่ๆ ร่างของกู่ฉิงซานก็ปลดปล่อยประกายแสงเจ็ดสีสดใสขึ้นทันใด
ท่ามกลางความว่างเปล่า ปรากฏให้เห็นถึงฉากที่ฝนตกชุกและสัตว์ป่านานาชนิด
หลังจากนั้นสิ่งที่ตามมาก็คือ ร่างเงาของธรรมพิทักษ์ทั้งหกที่แต่ละคนถืออาวุธในมือคนละอย่าง
นี่คือเทคนิคลับการปกปักของทวยเทพที่นักพรตเป่ยหยวนมอบให้แก่เขาในยามที่มีชัยเหนือการสู้รบขั้นแตกหักในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ
นั่นทำให้ เมื่อใดก็ตามที่จิตเทวะของกู่ฉิงซานถูกรุกล้ำ เทคนิคลับนี้ก็จะถูกกระตุ้นโดยอัตโนมัติทันที เผยให้เห็นถึงประสิทธิภาพอันทรงพลังของมัน
หกธรรมพิทักษ์โคจรรอบกายของกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยตะโกนก้องเป็นเสียงเดียวกัน “โฮ่!”
ลึกลงไปในนรกภูมิเบื้องล่าง ปรากฏเสียงร่ำไห้คร่ำครวญอันแสนสาหัส
ในเสี้ยววินาที ธารโลหิต ภูเขาคมมีด ทะเลเพลิง คมเขี้ยวสัตว์ประหลาดกัดแทะ เหวลึกอันไร้ก้นบึ้ง และฉากสยองขวัญสั่นประสาททั้งหมดก็มลายหายไปอย่างสิ้นเชิง
ม่านดำที่ปกคลุมสวรรค์และโลกจางหายไป ท้องฟ้ากลับกลายเป็นสีฟ้าสดใสอีกครั้ง
และกู่ฉิงซานก็พบว่าตนเองยังคงยืนอยู่บนจุดเดิม ท่ามกลางถนนอันกว้างใหญ่
............................................................