ตอนที่ 182 พระสันตะปาปา
ตั้งแต่โบราณกาลจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ผู้ที่ยืนหยัดอยู่บนจุดสูงสุดของยอดพีระมิด เพื่อที่จะให้ได้รับผลประโยชน์มากมาย พวกเขาจำต้องต่อสู้ ก่อสงครามกับชนผู้น้อยนับร้อย นับพัน หรือบางทีอาจแม้กระทั่งนับล้านคนที่ต้องตกตายลงในสงคราม
สิ่งเหล่านี้มิใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใดในประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษยชาติ
และในคราวนี้ ผลประโยชน์เบื้องหน้าของพวกเขาก็คือชีวิตนิรันดร์
แล้วคิดว่าเหล่าเผด็จการผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของยอดพีระมิดจะทำเช่นไรเล่า? หากตนเองสามารถปีนป่ายออกจากหลุมฝังศพได้
หากเป็นเรื่องที่ส่งผลเกี่ยวข้องกับพวกเขา ผู้คนนับหมื่น หรือมากยิ่งกว่านั้นก็คงไม่นับว่ามีค่าใดๆ?
เช่นเดียวกันกับเหล่ามืออาชีพที่แข็งแกร่ง
แม้ว่าโลกใบนี้จะมีผู้คนนับล้านต้องตกตายลง ตราบใดที่พวกเขาสามารถมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้แล้วล่ะก็ ชีวิตของคนอื่นๆ มันก็นับว่าไม่มีค่าอะไรเลย
ในทุกๆ วันนี้ ต่อให้ผู้คนตกตายลง ดวงตะวันก็ยังคงทอแสงในยามเช้าตามปกติ
แต่เมื่อการแข่งขันท้าทายสิ้นสุดลง และคุณสามารถคว้าเอารางวัลชีวิตนิรันดร์มาได้ ทว่าสุดท้ายกลับต้องถูกไอ้ตัวตลกแปลกๆ นี่ฆ่าตายอยู่ดี เจ้าสิ่งนี้มันหมายความว่าเช่นไร?
เกมแห่งชีวิตนิรันดร์ได้กระตุ้นความปรารถนาอันแรงกล้าของมนุษย์ที่จะได้ครอบครองความเป็นอมตะ
ส่วนเพชฌฆาตตัวตลก กลับดับความปรารถนานี้ลง
เหล่าผู้คนค่อยๆ สงบลง เรียกสติกลับคืนมาได้อย่างช้าๆ
หลังจากที่เพชฌฆาตตัวตลกหายตัวไปหลายสิบนาที ผลกระทบที่เขาก่อก็ค่อยๆ เริ่มถูกเป็นที่พูดถึงขยายออกไปเป็นวงกว้าง
การปรากฏตัวขึ้นของเพชฌฆาตตัวตลก ไม่ได้เลวร้ายไปกว่าการปรากฏขึ้นของเกมแห่งชีวิตนิรันดร์เลย และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ
เพราะจู่ๆ มันก็ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างปริศนา จึงทำให้ระบบสังคมมนุษย์เริ่มสั่นคลอนอีกครั้ง
แม้กระทั่งเครื่องจักรที่ไร้ซึ่งความรู้สึกหรือชีวิตจิตใจ ก็ยังเชื่อฟังคำสั่งของเขา
และนี่มิใช่เพียงสมองควอนตัมรายบุคคลที่ถูกควบคุม
ทว่ากลับเป็นสมองควอนตัมของโลกทั้งใบ!
สมองควอนตัมเป็นเครื่องจักรกล มันไร้ซึ่งชีวิต และมันย่อมที่จะไม่ถูกล่อลวงหรือผลกระทบใดๆ จากเทคนิคมนตราเป็นแน่ ทว่ามันกลับฉายภาพในยามที่เพชฌฆาตตัวตลกได้ปรากฏตัวขึ้นพอดิบพอดี
เช่นนั้น จู่ๆ มันเกิดการทำงานขึ้นได้อย่างไร?
ใช่เป็นเพราะอาวุธสงครามรุ่นใหม่ชนิดหนึ่งหรือไม่?
หากได้ลองขบคิดตามบรรทัดฐานนี้ คุณจะพบว่ามันเป็นเรื่องที่น่าหวาดหวั่นยิ่ง
ในแต่ละประเทศเริ่มตกอยู่ในความวุ่นวาย
ณ จักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์
ภายในวังหลวง
สององครักษ์วังและสองนักบวชก้าวเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ราชาแห่งจักรวรรดิโอลันก้า พระสันตะปาปาของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ และรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมทั้งหมดได้เงยหน้าขึ้นมา
“รายงาน!”
“จงพูดมา”
“ไม่อาจค้นพบร่องรอยของการบิดเบือนที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ และสถานการณ์นี้ก็เกิดขึ้นเช่นเดียวกันกับในประเทศอื่นๆ”
“นั่นมันเป็นไปไม่ได้ นี่มิใช่ฝีมือของมนุษย์จริงๆ อย่างนั้นหรือ มันถึงขั้นสามารถดำเนินการควบคุมสมองควอนตัมของคนทั้งโลกได้เลยเชียวนะ” พระสันตะปาปาเอ่ยกล่าวอย่างแผ่วเบา
“ไม่มีใครสามารถควบคุมสมองควอนตัมของคนทั้งโลกได้ในเวลาเดียวกัน และแน่นอนว่าย่อมไม่มีใครในโลกที่จะสามารถทำเช่นนั้นได้”
“แล้วข่าวกรองของทางด้านประเทศอื่นๆ ล่ะ?” พระสันตะปาปาเอ่ยถาม
“ทางจักรพรรดิแห่งสาธารณรัฐฟูซีถึงขั้นโยนเครื่องลายครามที่รักยิ่งทิ้ง และสั่งให้มีการสอบสวนอย่างละเอียด ทว่าทุกคนกลับไม่สามารถค้นพบข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ได้เลย”
“ส่วนประธานาธิบดีแห่งรัฐบาลกลาง และตัวแทนของตระกูลใหญ่ทั้งเก้ากำลังประชุมหารือร่วมกันอยู่ ทั้งๆ ที่ปกติไม่ค่อยอยากจะเจอหน้ากันสักเท่าไหร่นัก อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้หารือเรื่องอะไรกันนั้น พวกเราไม่อาจล่วงรู้ได้” เสียงกล่าวรายงาน
“แล้วเรื่องเกี่ยวกับผู้ที่ชนะเกมแห่งนิรันดร์ที่พึ่งผ่านมานี่ล่ะ?”
“สถานการณ์มิแตกต่างกัน คือไม่อาจค้นพบเบาะแสใดๆ ได้”
“แชมเปี้ยนส์ของเกมแห่งชีวิตนิรันดร์ถูกสังหารลงโดยเจ้าบ้าที่เรียกตัวเองว่าเพชฌฆาตตัวตลก แถมวิธีการสังหารของมัน…จะเรียกว่าเป็นเทคนิค สกิล วิชา หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่มันเป็นสิ่งที่พวกเราไม่เคยพบเห็น และไม่อาจทำความเข้าใจได้ นอกจากนี้ยังไม่อาจหาเบาะแสใดๆ ของมันได้อีก”
พระสันตะปาปาเงียบไปครู่หนึ่ง และเอ่ยถามในทันใด “ถ้าอย่างนั้นพวกที่เราใช้ยากระตุ้นเทคนิคเทียนซวนสามารถค้นหาตัวเขาได้ไหม”
“ยังคงพอที่จะค้นหาเบาะแสได้ แต่ก็เพียงแค่ครึ่งทางเท่านั้น”
พระสันตะปาปาส่ายหัวด้วยความผิดหวัง เธอลุกขึ้นเดินออกจากห้องประชุม และออกจากพระราชวังไป
พฤติกรรมที่ผิดปกติเช่นนี้ของเธอทำให้ทุกผู้คนรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
ทว่าก็ยังไม่มีใครกล้าตำหนิหรือทำท่าทีหยาบคายใส่เธออยู่ดี
พระสันตะปาปาไม่สนใจผู้ใด เธอก้าวขึ้นไปบนรถม้าเพียงลำพัง และปล่อยให้อาชาขาวทั้งสิบ วิ่งผ่านน้ำพุทรงจัตุรัสหน้าพระราชวังตรงไปยังคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ทางทิศตะวันออก
ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถม้า พระสันตะปาปาก็เฝ้ามองดูฉากที่เคลื่อนผ่านทางหน้าต่าง ในปากไม่ได้เปล่งคำใด
มันเงียบจนกระทั่งรถม้าหยุดอยู่หน้าประตูโบสถ์ เธอจึงถอนหายใจอย่างเงียบๆ
ได้ยินแค่เสียงของเธอที่กระซิบออกมาอย่างแผ่วเบา “นี่มันจะรวดเร็วเกินไปแล้วมิใช่หรือ แม้กระทั่งดาวดวงนี้…ก็ยังไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว?”
ภายในเฉินเตี้ยนเฮ่า
คทาสีแดงถูกโยนลงบนพื้น ปรากฏเสียงกริ๊งกร๊างดังสะท้อนไปทั่ว
“ของดีนี่นา ฉันขอลองเอาไปใช้บ้างดีกว่า” ซางหยิงฮ่าวหยิบคทาขึ้นมา ทดลองควงมันไปมาดู
“ซ่อนมันไว้ก่อนจะดีกว่า เพราะเจ้าสิ่งนี้ได้ถูกเปิดเผยต่อสายตาของคนทั้งโลกแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว
“วัสดุของคทานี้ ทั้งหมดเป็นวัสดุที่ไม่มีในคลังข้อมูล ฉันจำเป็นต้องทำการตรวจสอบมัน” เทพธิดากล่าว
“ก็ได้ๆ เอาไปสิ” ซางหยิงฮ่าวกล่าว
เขาวางคทาแดงกลับคืนลงบนพื้น
แขนจักรกลยื่นออกมาและคว้าจับคทาแดง ลากมันจมหายลงไปใต้พื้นป้อมปราการ
“ใต้เท้าผู้ทรงเกียรติ ขณะนี้ฉันได้ทำการละเมิดกฎหลักทั้งสิบห้าข้อที่มนุษย์ได้บัญญัติขึ้นมาไปเสียแล้ว” เทพธิดากล่าว
“แต่การกระทำนั้นก็ช่วยให้คุณสามารถทำภารกิจนี้ได้สำเร็จ แม้อาจจะดูเป็นการข่มขู่ให้มนุษย์หวาดกลัวไปบ้าง ทว่ามันก็ไม่ได้ทำอันตรายใดๆ ต่อพวกเขา” กู่ฉิงซานกล่าว ทว่ายังคงไม่เงยหน้าขึ้น
“แต่การละเมิดกฎนั้นมันเป็นเรื่องที่ผิด” เทพธิดากล่าว “นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันทำการแฮ็กข้อมูล”
“ทว่าการแฮ็กในครั้งนี้ คุณจะสามารถช่วยชีวิตผู้คนได้นับไม่ถ้วน คุณจะต้องรู้จักปรับเปลี่ยนตัวเองไปตามสถานการณ์บ้างนะ”
“ใต้เท้าผู้ทรงเกียรติ คุณคิดว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้คือสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่?”
“ถูกต้องสิ” กู่ฉิงซานชะงัก เอ่ยปากกล่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “บางครั้ง ถึงแม้การพูดคุยใช้เหตุผลจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ในบางครั้งการสู้กันด้วยคมหอกและดาบก็เป็นเพียงทางออกเดียว”
“ฉันเข้าใจแล้ว” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็มาช่วยฉันหน่อย”
กู่ฉิงซานกล่าว ขณะที่สองมือของเขากำลังร่างออกแบบแผ่นพิมพ์เขียวอย่างรวดเร็ว
เขากำลังวุ่นอยู่กับการรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบ สตาร์การ์เดี้ยน
ทางด้านเหลียวฮัง สองตาของเขาจดจ่ออยู่แต่บนจอม่านแสง
ทั้งสองดูราวกับเป็นจิตรกรที่กำลังรังสรรค์ผลงานของตนอย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย
เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาออกแบบเสร็จสิ้น จอม่านแสงก็จะได้รับการอัปเดตทันที พร้อมทั้งทำการระบุจุดผิดพลาด และปัญหาใหม่ที่ถูกส่งต่อออกมา
เวลานี้ทั้งสองคนยุ่งเกินกว่าจะหารือกัน ไม่มีแม้กระทั่งเวลาที่จะมาร่วมรับประทานมื้อเย็น
ซางหยิงฮ่าวตบลงบนบ่าของเย่เฟย์หยูและเอ่ยถาม “นายรู้สึกอย่างไรบ้าง?”
เย่เฟย์หยูกล่าวด้วยความเสียดาย “หลังจากที่ฉันได้ยินเสียงปัง! ของโซนิคบูม ความว่องไวในการบินของหุ่นรบก็ทวีความเร็วขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้แทบจะไม่มีเวลาได้ทดลองใช้ฟังก์ชันอื่นๆ เลย”
“อ้อจริงสิ แล้วน้ำเสียงที่นายพูดในตอนนั้น ที่มันได้แพร่กระจายออกไปทั่วโลกน่ะ มันดูไม่เห็นจะเหมือนเสียงของนายตอนปกติเลยนี่”
“นั่นคือเสียงที่เทพธิดากงเจิ้งได้ทำการคำนวณออกมาแล้วว่ามันเป็นเสียงที่เขย่าขวัญสั่นประสาทมนุษย์มากที่สุดน่ะ”
“นั่นสินะ มันก็ให้ความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ สมแล้วที่เป็นถึงเทพธิดา” ซางหยิงฮ่าวกล่าว “แต่กระบวนท่าสุดท้ายของนายนั่นมันคืออะไรกันแน่?”
เย่เฟย์หยู “เมื่อผีดิบนักฆ่าวิวัฒนาการไปจนถึงระดับสูง พวกเขาจะบังเกิดความเชี่ยวชาญในกระบวนท่าบางอย่างขึ้นมาโดยอัตโนมัติ”
“เดิมทีฉันคิดที่จะหักคอของเขาโดยตรง” เฟย์หยูเอ่ยอย่างมีความสุข “แต่ก็ดันฉุกคิดเปลี่ยนใจซะใหม่ ก็ในบรรดาผีดิบนักฆ่าทั้งหมด มีเพียงแค่ฉันเท่านั้นที่สามารถวิวัฒนาการจนได้รับความสามารถนี้ขึ้นมาได้นี่นา และอานุภาพของมันก็น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าอาวุธแสงเลเซอร์ซะอีก ดังนั้นฉันเลยตัดสินใจที่จะใช้มัน”
ซางหยิงฮ่าวเอ่ยด้วยความอิจฉา “แบบนี้ไม่ดีแน่ ฉันไม่อาจเรียนรู้กระบวนท่า…มันชื่ออะไรนะ เลือดสังหารใช่ไหม...อ่า...สำหรับฉันคงไม่อาจครอบครองมันได้ สงสัยฉันคงต้องให้หุ้นส่วนสร้างชุดเกราะรบขับเคลื่อนให้ฉันซักเครื่องแล้วสิ”
ในช่วงเวลาต่อมา กู่ฉิงซานก็ยังมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในการดำเนินงานพัฒนาตัวเกม ส่วนเหลียวฮังก็ยังวุ่นอยู่กับการเคลื่อนย้ายและติดตั้งเทคโนโลยีจัมป์ขนาดย่อย ทั้งสองกลายเป็นคนบ้างาน ไม่มีเวลาว่างเลยตลอดทั้งวัน
ซางหยิงฮ่าวและเย่เฟย์หยูจึงมีเวลาพูดคุยกัน และเริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้น หลังจากที่ทั้งสองตั้งใจมองไปยังกู่ฉิงซานที่ยังคงขะมักเขม้นอยู่ครู่หนึ่งก็เริ่มรู้สึกเบื่อขึ้นมา
ในส่วนของเรื่องนี้ มิใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถให้ความช่วยเหลือได้
พอไม่รู้จะทำอะไร พวกเขาจึงเรียกเทพธิดากงเจิ้งออกมา และขอให้ทำการเชื่อมต่อจอม่านแสงและดวลเกมฟุตบอลกัน
โดยที่ไม่มีใครทันได้รู้ตัว ช่วงเวลาค่ำคืนก็ผ่านพ้นไปเสียแล้ว
เสียงชราภาพดังกังวานขึ้นอีกครั้ง
“เกมแห่งชีวิตนิรันดร์รอบที่สอง…ได้เปิดให้ลงเล่นอย่างเป็นทางการแล้ว”
น้ำเสียงนี้ดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล มันกังวานขึ้นมาจากในจิตใจของผู้คนดังเช่นเมื่อวาน
ทว่ารอบนี้ ปฏิกิริยาตอบสนองของมนุษย์กลับแตกต่างไปจากรอบก่อนโดยสิ้นเชิง…
............................................................