ตอนที่ 172 น้ำฝน
กู่ฉิงซานขบคิด ก่อนจะเปลี่ยนสมญาเป็น ‘ผู้บัญชาการรบ’
เขาเรียกดาบพิภพออกมา และถ่ายเทพลังวิญญาณลงไป
บังเกิดกระแสลมหมอกพวยพุ่ง ปกคลุมอยู่รอบใบดาบ
หมอกนี้ ประกอบขึ้นจากปราณดาบที่ถูกตัดแบ่งเป็นส่วนเล็กๆ จำนวนมากมาย ห่อหุ้มอยู่รอบตัวดาบโดยสมบูรณ์
กู่ฉิงซานกวัดแกว่งดาบของเขาออกไป และใช้ออกด้วยหนึ่งในชุดวิชาดาบผ่าขุนเขาอย่างรวดเร็ว
ดาบยาวในมือโบกสะบัด และหมอกที่ปกคลุมก็ตามติดไปตามทิศทางที่คมดาบพาดผ่านไป
ด้วยวิธีนี้ จะช่วยให้ศัตรูไม่สามารถมองเห็นตำแหน่งที่แท้จริงของใบดาบได้ และทำให้ไม่สามารถคาดเดากระบวนท่าที่กู่ฉิงซานใช้ออกอย่างแม่นยำ
“ผลประโยชน์ที่เก็บเกี่ยวได้ในครั้งนี้ นับว่าคาดไม่ถึงเลยจริงๆ” กู่ฉิงซานพึมพำ
เขายกดาบขึ้นขนานกับอก และจ้วงแทงมันไปยังเบื้องหน้าอย่างแรง
เมื่อกระบวนท่าดาบถูกปลดปล่อยออกไป เขาก็เปิดใช้งาน ปราณดาบสุดขอบฟ้าทันที
ปรากฏให้เห็นแค่เพียงรูปร่างของคมดาบที่ถูกใช้ออกไป ดาบแรกจ้วงแทง ตามติดด้วยเงาหมอกรูปคมดาบจ้วงแทงตามหลังออกไปติดๆ เป็นครั้งที่สอง
“ยอดเยี่ยม สกิลนี้มันไม่เลวเลยจริงๆ” กู่ฉิงซานแสดงความคิดเห็น
หลังจากที่ลองพยายามใช้กระบวนท่าต่างๆ อีกสักเล็กน้อย กู่ฉิงซานก็เปลี่ยนสมญาเป็น ‘นายพลชั้นโหยวจี’
และหมอกบนดาบยาวก็หายไปทันใด
จากนั้นเขาปล่อยให้ร่างกายกลมกลืนไปกับความรู้สึกใหม่นี้เล็กน้อย ก่อนจะวาดดาบยาวในมือออกไปด้วยหนึ่งในชุดวิชาดาบตัดสายลม
ภายในเต็นท์ทหาร ปรากฏแค่เพียงร่างของกู่ฉิงซานที่วูบไหว ดาบในมือที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา แลดูคล้ายเงาที่พร่ามัว แปรเปลี่ยนท่วงท่าไม่รู้จบ ราวกับดาบเล่มนี้เป็นเพียงภาพลวงตาที่ไม่มีอยู่จริง
แม้กระทั่งชั้นอากาศโดยรอบก็ยังไม่อาจทานทนได้ไหว ทิศทางใดก็ตามที่คมดาบวาดผ่าน จะบังเกิดเสียงร้องหวีดแหลมของสายลม
นี่คือผลลัพธ์ที่เกิดจากการฟาดฟันคมดาบที่รวดเร็วเกินไป
กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืนไปในอากาศที่ว่างเปล่า
และภายในเต็นท์ทหาร ความสงบเงียบหวนคืนกลับมาอีกครั้ง
กู่ฉิงซานเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา
เขารู้สึกพึงพอใจมากกับความสามารถที่เพิ่มพูนขึ้นของสมญานี้
เขาหันกลับมามองหน้าต่างระบบเทพสงครามอีกครั้ง และพบว่าตั้งแต่มันเอ่ยอธิบายว่าสามารถยืดการใช้งานสมญาออกไปได้ หน้าต่างสถานะก็มิเอ่ยคำใดออกมาอีกเลย
นี่นับว่าแปลกมาก
“การสู้รบขั้นแตกหักครึ่งแรก” เห็นได้ชัดว่าเป็นภารกิจเพียงช่วงต้น และตอนนี้เขาก็ได้ทำภารกิจเสร็จสิ้นลงโดยสมบูรณ์แล้ว ทว่ากลับยังคงไม่ปรากฏภารกิจในช่วงครึ่งหลัง
หรือจำเป็นต้องรอจนกว่าสถานการณ์ที่สอดคล้องกับเงื่อนไขบังเกิดขึ้น มันถึงจะปรากฏออกมาใช่หรือไม่?
นั่นคือข้อสรุปที่เขาคิดได้
ในเวลานั้น น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ผู้ฝึกยุทธในโลกใบนี้ ทำการบุกโจมตีโลกเทวะ
สามวันต่อมา...
กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังนาฬิกาทราย
เหลืออีกเพียงไม่กี่นาที นาฬิกาทรายก็จะว่างเปล่า
เขานั่งนิ่งอยู่อย่างเงียบๆ สักพัก
ไม่นาน ก็บังเกิดแสงสว่างวาบ ทั้งคนทั้งร่างหายวับไปจากโลกแห่งผู้ฝึกยุทธโดยสมบูรณ์
...
ท่ามกลางห่าฝนที่ซัดสาด
ภายในกองซากศพริมถนน ปรากฏมือคู่หนึ่งยื่นออกมา
ทว่าก็ยื่นออกมาได้เพียงแค่มือ รังสีดาบจากอีกทิศทางหนึ่งก็ถูกปลดปล่อยออกมาเสียก่อน มันร่วงตกลงกระแทกเข้ากลางดงซากศพ ระเบิดเข้าใส่ผีดิบนักฆ่าที่ยังไม่แม้แต่กระทั่งจะปีนออกมาด้วยซ้ำจนกลายเป็นชิ้นๆ
กู่ฉิงซานยืนถือดาบอยู่ท่ามกลางความเงียบ
ตลอดทั้งสวรรค์และโลกไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ นอกจากเมฆหมอกสีดำราวกับตะกั่วลอยล่องอยู่บนท้องฟ้าที่ว่างเปล่า ขณะที่ฝนสาดเทลงมาอย่างหนัก
ทั่วทั้งเมืองจมอยู่ในความเงียบสงบ ปรากฏให้ได้ยินแค่เพียงเสียงของสายฝนที่ร่วงโรยลงมากระทบเข้ากับตัวอาคาร จนเกิดเสียงดังอยู่ตลอดเวลา
กู่ฉิงซานยื่นมือออกไปรองน้ำฝน และเฝ้าดูมัน
ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนเพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจ ทั้งตัวของกู่ฉิงซานก็เปียกชุ่ม
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเขาจะมิได้ตระหนักถึงมัน สายตายังคงจดจ้องไปยังเม็ดฝนในมือ
ฝน…
ฝนที่กำลังร่วงโรยลงมาจากฟากฟ้า
ในหัวใจของกู่ฉิงซานค่อยหม่นทะมึนลงเรื่อยๆ
เขาเปิดหน้าต่างระบบเทพสงคราม และกวาดผ่านไปยังแถบระบบแจ้งเตือน
และพบว่ามันว่างเปล่า
“ก่อนหน้านี้คุณบอกให้ฉันหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงของห้วงเวลาและมิติในโลกใบนี้ แล้วตอนนี้ฉันก็กลับมาแล้ว ไหนเล่าการเปลี่ยนแปลงที่ว่า?” เขาเอ่ยถาม
ติ๊ง!
หน้าต่างระบบเทพสงครามตอบคำถามกลับมา “การเปลี่ยนแปลงได้เสร็จสิ้นลงแล้ว แต่ทว่าจนกระทั่งบัดนี้ หน้าต่างระบบเทพสงครามก็ยังไม่ได้ค้นพบเนื้อเรื่องใดๆ ที่จะก่อให้เกิดวิกฤติ”
กู่ฉิงซานเงียบไปครู่หนึ่ง
ทันใดนั้นเอง รถเหินเวหาขนาดเล็กก็ร่อนลงมาจอดเบื้องหน้าเขา
ประตูรถเปิดออก ทว่าภายในกลับไม่มีผู้ใด
“ใต้เท้าผู้ทรงเกียรติ การยืนอยู่ท่ามกลางฝนตกหนักเช่นนี้ มันจะไม่ดีต่อสุขภาพร่างกายนะ” เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังขึ้น
“ขอบคุณที่เป็นห่วง ว่าแต่ฉันขอถามอะไรหน่อยจะได้ไหมว่ามันเกิดเหตุการณ์อะไรแปลกๆ ขึ้นกับโลกใบนี้หรือเปล่า?”
“อสูรแห่งท้องทะเลยังคงเดินหน้าขึ้นมาบนผืนดินอย่างต่อเนื่อง และเริ่มทำลายเมืองชายฝั่งแล้ว ส่วนผีดิบนักฆ่าก็ค่อยๆ ทวีความแข็งแกร่งขึ้น หลายประเทศทั่วโลกได้มารวมตัวกันในรัฐบาลกลาง เพื่อหารืออย่างเป็นทางการ”
“มีอะไรอีกไหม?”
“จักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์โอลันก้าได้แยกตัวออกไป เกิดกองทัพปฏิวัติระหว่างผู้จงรักภักดีในราชวงศ์และคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์”
“เรื่องอื่นล่ะ?”
“ส่วนที่เหลือฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ใต้เท้าผู้ทรงเกียรติกู่ฉิงซานคงจะไม่สนใจ”
“ฉันถามว่า...โลกใบนี้มันไม่เกิดเหตุการณ์อะไรแปลกๆ หรือเรื่องที่มันน่าเหลือเชื่อขึ้นมาบ้างเลยหรือ”
“ในช่วงเวลานี้ ยังไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ นอกจากที่ได้บอกไป”
กู่ฉิงซานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง
เขาเหวี่ยงสะบัดเม็ดฝนออกจากมือ ถอนหายใจยาว และเดินเข้าไปในห้องโดยสาร
ประตูถูกปิดลงตามมาอย่างรวดเร็ว
รถเหินเวหาขนาดเล็กค่อยๆ ทะยานตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า และบินออกไปยังสถานที่ห่างไกล
ในรถเหินเวหา ชุดเสื้อผ้าสะอาดใหม่เอี่ยมถูกจัดวาง พับซ้อนๆ กันเอาไว้อย่างเรียบร้อยบนที่นั่งคนขับ พร้อมกับน้ำผลไม้แก้วหนึ่งที่วางอยู่
“นี่คือน้ำส้มผสมกีวี ที่ใต้เท้าผู้ทรงเกียรติกู่ฉิงซานชมชอบ”
“ขอบคุณนะ”
กู่ฉิงซานเปลี่ยนเสื้อผ้า และย้ายตัวไปนั่งลงบนฝั่งคนขับ
ท่ามกลางสายฝน วันสิ้นโลกกำลังค่อยๆ ใกล้เข้ามาทีละก้าวอย่างช้าๆ
อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ เรื่องในช่วงชีวิตก่อนหน้า ไม่สมควรจะนำมาใช้จัดเรียงลำดับ
แล้ว นี่มันคืออะไรกัน?
สถานการณ์ในตอนนี้ เปรียบดั่งศรที่ถูกขึงจนตึงบนสายธนู ทว่าเพียงแค่ยังไม่ผละออกเท่านั้น ภัยพิบัติในโลกใบนี้แตกต่างไปจากในชีวิตก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง
กู่ฉิงซานเองก็ไม่รู้แล้วว่ามันจะเกิดสิ่งใดขึ้นต่อไป คงทำได้เพียงแค่เฝ้ารอดูด้วยตาตนเองเท่านั้น
ถ้าหากทุกอย่างเกิดขึ้นก่อนเวลาที่กำหนด และเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ ที่จะเปิดตัวในอีกครึ่งปีก็ยังปรากฏขึ้นล่วงหน้า กู่ฉิงซานจะยินดีอ้าแขนรับเป็นอย่างยิ่ง
นับตั้งแต่ที่เขาได้จุติใหม่อีกครั้ง เพียงไม่กี่วันในโลกใบนี้ กู่ฉิงซานกลับได้ประสบพบเจอกับเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย
เพียงลำพัง แต่กลับต้องต่อสู้กับการรุกรานด้วยวิธีการนับไม่ถ้วนของเผ่ามาร การที่จะทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว นี่มันไม่แตกต่างไปจากความฝันของคนโง่เลย
หากผู้คนของโลกใบนี้ ได้เข้าสู่โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ คงจะนับได้ว่าเป็นข่าวดีที่สุด
“เย่เฟย์หยูกับซางหยิงฮ่าวจะเป็นอย่างไรบ้างนะ?” เขาเอ่ยถาม
จอม่านแสงถูกเปิดออก เผยให้เห็นถึงภาพบางส่วนของสถานที่ไหนสักแห่งหนึ่ง
เย่เฟย์หยู ซางหยิงฮ่าว และชายแปลกหน้าอีกคนกำลังนั่งล้อมวงอยู่บนโต๊ะที่ถูกจัดวางไปด้วยอาหารค่ำมื้อใหญ่ที่ดูหรูหรา
กู่ฉิงซานมองไปยังชายแปลกหน้าอย่างระมัดระวัง และเห็นว่าคนคนนี้มีเค้าโครงหน้าของชาวจีน ไว้เครายาวดก ในมือถือท่อยาสูบสมัยเก่า
เขารับประทานอย่างเชื่องช้า ทุกท่วงท่าแฝงไว้ซึ่งความเงียบสงบ และมารยาทอันสง่างามของพวกชนชั้นสูง
เขานับได้ว่าเป็นชายชราที่คงไว้ซึ่งความสง่างามอย่างแท้จริง
เพียงแต่ว่าคู่ดวงตาของเขานั้นแลดูคมกริบจนเกินไป มันได้ทำลายภาพลักษณ์ของชราผู้อ่อนโยนลงไปไม่น้อยเลย
“ข๊ากๆ ข๊าก...ถุย! ไก่นี่มันเผ็ดเกินไปไหม ให้ตายเถอะ ไม่มีของหวานเลยหรืออย่างไร?” ชายคนนั้นก่นด่าสาปแช่ง
ทันทีที่น้ำเสียงของเขาเปล่งออกมา ความประทับใจในคราแรกโดยรวมที่มีต่ออีกฝ่ายของกู่ฉิงซานก็พังทลายลง
เขาขมวดคิ้ว ปากเอ่ยถาม “คนคนนั้นคือใครกัน?”
“เหลียวฮัง นักวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้นเทคโนโลยีจัมป์”
“อย่างไรก็เถอะ ตัวเขาดูไม่เหมือนกับความทรงจำของฉันเลย
“ที่คุณกล่าวว่าไม่เหมือนกับในความทรงจำนั้น ก็คงจะไม่น่าแปลกใจ”
“เนื่องเพราะคุณได้สั่งเอาไว้ว่า หลังจากที่เขากลับมา ให้ฉันทำการปรับโฉมเขาเสียใหม่”
“อ้อ ฉันจำได้แล้ว แต่ว่านะ นี่มันจะปรับโฉมใหม่มากเกินไปไหม”
“โฉมใหม่นี้ เขาเป็นคนลงมือร่างวาดภาพเสมือนด้วยตัวเอง”
“เข้าใจแล้ว…”
“เมื่อเขากลับมา แต่คุณไม่ได้อยู่ที่นี่ ฉันจึงส่งเขาไปหาซางหยิงฮ่าวแทน”
“อืม”
ระหว่างกล่าว กู่ฉิงซานก็จ้องมองไปยังจอม่านแสง และตั้งใจฟังบทสนทนาตอบโต้ระหว่างทั้งสาม
“เฮ้สหาย นั่งกินอาหารด้วยกันยังจะมามัวสวมแว่นกันแดดอีก ทำตัวแบบนี้ พวกผู้หญิงน่ะเขาจะปลื้มกันหรอกนะ” เหลียวฮังจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
เย่เฟย์หยูได้ฟัง เขาก็ถอดแว่นกันแดดลงอย่างว่าง่าย เผยให้เห็นถึงดวงตาสีแดงเลือดทั้งสองข้าง “นั่นเพราะผมเป็นผีดิบนักฆ่าน่ะ”
กล่าวจบ เขาก็กลับมาสวมแว่นกันแดดดังเดิม และเริ่มขะมักเขม้น ตั้งใจกินกุ้งมังกรตรงหน้า
“เง็กเซียนเถอะ!” เหลียวฮังผวาสุดขีด เขาผงะลุกขึ้น รีบหันไปทางซางหยิงฮ่าวอย่างรวดเร็วเพื่อต้องการคำตอบ
ซางหยิงฮ่าวยักไหล่ บ่งบอกว่าตัวเขาเองก็ไม่มีอะไรจะกล่าว
เหลียวฮังค่อยๆ สงบลงอย่างรวดเร็ว ปากเอ่ยพึมพำอย่างครุ่นคิด “ผีดิบนักฆ่า…หัวหน้ากลุ่มนักฆ่าใต้ดิน…เด็กหนุ่มที่มีเทพธิดากงเจิ้งคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง…บวกกับผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้เทคโนโลยีจัมป์วางระเบิดเช่นฉัน…”
เขาบังเกิดความรู้สึกตื่นเต้นขึ้นทันใด ปากเอ่ยตะโกนลั่น “อย่าบอกนะว่า ภารกิจที่แท้จริงของพวกเราที่มารวมตัวกันในครั้งนี้ คือการยึดครองโลก!?”
........................................