ตอนที่ 119 การสอนสั่ง
เหล่าผู้ฝึกยุทธพากันวิ่งตรงเข้าไปในเมืองร้อยบุปผา ปากเอ่ยวาจาตะโกนลั่นไปตลอดทั้งเส้นทาง
“ทุกครั้งครา ไม่ว่าจะครั้งใด ล้วนแล้วแต่เป็นการทดสอบบ้าบอคอแตก มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถแก้ปริศนาหรือผ่านการทดสอบไปได้ เช่นนั้นการพำนักอยู่ในอาณาจักรร้อยบุปผาแบบระยะยาว และฝึกฝนไปพลางๆ ระหว่างนั้นย่อมเป็นการดีกว่า”
“ถูกต้อง เพียงสิบปีน่ะมันเรื่องเล็กน้อย ช่วงชีวิตของข้ายาวนานหลายร้อยปี สำหรับผู้ฝึกยุทธนี่นับว่าเป็นช่วงเวลาแค่ไม่กี่พริบตาเท่านั้น”
“ที่แห่งนี้ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยนักปราชญ์ นั่นหมายความว่าย่อมต้องมีพลังงานวิญญาณที่เหลือล้น หากได้ฝึกวรยุทธที่นี่ถึงสิบปี ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ย่อมเป็นของทางฝั่งพวกเรา แถมยังไม่ต้องมาเผชิญหน้ากับการทดสอบที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอีก นี่นับว่าเป็นข้อตกลงที่ดียิ่ง”
“เป็นเช่นนั้น อาณาจักรร้อยบุปผาน่ะอุดมไปด้วยสมบัติสวรรค์ มีทรัพยากรดีๆ มากมายที่เหมาะสมต่อการฝึกวรยุทธ ทว่าน่าเสียดายยิ่งที่ที่แห่งนี้หาได้มีย่านโคมแดงไม่”
“คำกล่าวเจ้ามันไร้สาระสิ้นดี นิกายชิงหยุนน่ะคือวิหารเต๋า ส่วนนิกายหลิงเย่คือสถานที่ปฏิบัติธรรมทางศาสนา ส่วนที่แห่งนี้เป็นที่พำนักของนางเซียน ณ จุดที่มีไตรภาคีอยู่ มันจะไปมีสถานที่ดังที่เจ้ากล่าวได้อย่างไร”
“เป็นเช่นนั้น ทว่าหากพวกเจ้าอยากจะคุยก็คุยไป ข้าขอตัวไปสถานที่พำนักก่อนล่ะ!”
“สหายเต๋าผู้นี้ ข้ารู้มาว่าเจ้าแก่กล้าในทางการสร้างยันต์ ส่วนข้านั้นแก่กล้าในด้านการปรุงยา เหตุใดพวกเราจึงไม่มาลงทุนเปิดร้านค้าร่วมกันเล่า?”
“เป็นความคิดที่ดี เช่นนั้นไปหาอะไรกินกันที่โรงเตี๊ยม จากนั้นค่อยนั่งหารือรายละเอียดกันอย่างช้าๆ จะเป็นการดีกว่า”
กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูฝูงชนที่กระจัดกระจายตัวกันออกไป รอยยิ้มตรงมุมปากค่อยขยายกว้างขึ้นทีละน้อย
นับจากนี้ไปในอนาคต ทุกผู้คนที่อยู่ในอาณาจักรร้อยบุปผานิรันดร์จะตกอยู่ภายใต้สายตาของท่านอาจารย์โดยสมบูรณ์ ไม่ว่าพวกเขาจะดีจะร้าย วันเวลาก็จะเป็นตัวบ่งบอกเอง
ด้วยวิธีการนี้ เมื่อเทียบกับการให้ร่างอวตารห่านขาวของตนมาทำการคัดเลือก หรือให้ศิษย์พี่เซี่ยวโหลวออกมาทดสอบเพื่อหาความสุขใส่ตน วิธีการนี้ย่อมช่วยลดความกังวลและสมเหตุสมผลยิ่งกว่า
นอกจากนี้ หากเทียบกับนิกายของนักปราชญ์คนอื่นๆ ทางนิกายชิงหยุนเองก็มีสาวกอยู่กว่าหลายพันคน นิกายวัดหลิงเย่ก็มีผู้ศรัทธาอยู่ทั่วทั้งผืนฟ้า ทว่านับตั้งแต่ที่ท่านอาจารย์ได้บรรลุเข้าสู่ขอบเขตประทับเทพ นางกลับอยู่อย่างโดดเดี่ยวตลอดมา ไม่มีบิดามารดา ไม่มีแม้กระทั่งอาวุโสหรือผู้บังคับกฎนิกายมีเพียงแค่เหล่าศิษย์พี่และศิษย์น้องหญิงเท่านั้น
ข้าคิดว่าคงเพราะเนื่องจากนางเคยได้รับความเดือดร้อนทุกข์ทรมานมานับครั้งไม่ถ้วน นางจึงมิยอมให้ผู้ใดชิดใกล้
และท่านอาจารย์ก็เป็นคนที่รักในศักดิ์ศรีและหน้าตามากเช่นกัน การที่จะไปเชิญใครเข้ามานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย
แต่หากหลังจากที่อาณาจักรร้อยบุปผานิรันดร์มีผู้คนเพิ่มขึ้นมากมาย นางก็ไม่จำเป็นต้องแยกร่างอวตารของตัวเองออกไปเป็นจำนวนมากอีกต่อไป และจะได้มีเวลาไปใส่ใจกับการสนับสนุนให้อาณาจักรแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น
หากอาณาจักรร้อยบุปผามีจำนวนประชากรที่เป็นคนมากมายอย่างแท้จริง เมื่อนั้นแหละอาณาจักรก็จะคึกคักและมีชีวิตชีวาโดยสมบูรณ์
บางทีอีกไม่กี่ปีข้างหน้า มันอาจจะกลายเป็นอาณาจักรแห่งผู้ฝึกยุทธอย่างแท้จริงก็ได้
เมื่อเห็นว่าฝูงชนกระจัดกระจายกันไปแล้ว กู่ฉิงซานก็นั่งลงบนศิลาฟ้า
เขาหลับตาลงและเริ่มต้นทำการฝึกฝน
ต้องไม่ลืมนะว่า ทุกวินาทีนั้นมีค่ายิ่งสำหรับเขา และกู่ฉิงซานก็ไม่ต้องการที่จะเสียเวลาใดๆ อีก
เขาไม่อาจรับรู้ได้เลยว่าขณะนี้นางเซียนไป่ฮั่วกำลังยืนอยู่ลึกเข้าไปในชั้นเมฆบนท้องฟ้า คอยเฝ้ามองฉากนี้อย่างเงียบๆ
ยามค่ำคืน ห่านขาวก็บินโฉบลงมา
“กลับไปยังวังเถอะ อาหารเย็นเตรียมไว้พร้อมแล้ว”
“ขอรับ”
กู่ฉิงซานยืนขึ้น และกระโจนติดตามห่านขาวไป
ณ พระราชวังร้อยบุปผา
ศิษย์อาจารย์ทั้งห้าต่างนั่งล้อมรอบโต๊ะอาหารและเพลิดเพลินไปกับอาหารวิญญาณที่ถูกปรุงโดนฉินเซี่ยวโหลว
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ นางเซียนไป่ฮั่วก็กล่าวขึ้นอย่างกะทันหัน “นับจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไปพวกเจ้ามิจำเป็นต้องไปยังศิลาฟ้าเพื่อทำการคัดเลือกผู้ใดอีก”
ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้น หรือว่าท่านกำลังกังวลเรื่องซิวซิว เช่นนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้นางได้รับอันตรายใดๆ อย่างแน่นอน”
“มิใช่เช่นนั้น ข้าคิดว่าวิธีการของฉิงซานในวันนี้ค่อนข้างดีทีเดียว ดังนั้นในภายภาคหน้าพวกเราจึงจะใช้วิธีนี้กัน” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว
ผู้คนเกือบทั้งหมด ต่างหันมองไปยังกู่ฉิงซานด้วยความสงสัย
กู่ฉิงซานกล่าวเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่ตนเองเป็นคนตั้งขึ้นออกไป
ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวด้วยความปีติ “ช่างเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมนัก เช่นนี้ก็ถือได้ว่าพวกเราทุกคนได้เป็นอิสระแล้ว”
ซิวซิวถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอเอ่ยกล่าวความคิดในหัวออกมา “ดีจัง ก่อนหน้านี้ในทุกๆ วันข้าเฝ้าคอยแต่ขบคิด ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหากข้าให้หัวข้อการทดสอบแก่พวกเขาไป ทว่าตอนนี้มิจำเป็นแล้ว”
นางเซียนไป่ฮั่วที่กำลังเฝ้ามองท่าทีตอบสนองของหลายๆ คนก็เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา ทว่ากลับไม่เอ่ยสิ่งใด
หลังจากมื้ออาหาร นางก็บอกให้กู่ฉิงซานอย่าพึ่งจากไป
“ข้าได้รับรู้ถึงการกระทำของเจ้าในวันนี้ที่การทดสอบประจำปีแล้ว”
“น้อมสวรรค์นั้นเป็นคนที่แม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยก็ยังเก็บมาใส่ใจ ขณะเดียวกันก็เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นกัน แม้ว่าวันนี้ข้าจะได้เข้าไปไกล่เกลี่ยข้อพิพาทกับเขาแล้วก็ตาม ทว่าอาจจะมีสักวันที่เขาเป็นบ้าขึ้นมา และหันมาล้างแค้นให้แก่ศิษย์ฝึกหัดของตนก็เป็นได้”
“บางทีเขาอาจจะไม่กล้าลงมือด้วยตัวเองอย่างเปิดเผย แต่เขาจะต้องมองหาผู้ฝึกยุทธระดับสูงมาคอยเฝ้าจับตาดูเจ้าจากในที่มืดอย่างแน่นอน”
“มันเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะสามารถปกป้องเจ้าได้ตลอดเวลา ดังนั้นเจ้าจะต้องเป็นผู้ที่น่าเกรงขาม ผลักดันตนเองให้แกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างน้อยก็แกร่งให้มากพอที่จะหลบหนีจากสถานการณ์อันตรายได้”
นางเซียนไป่ฮั่วกล่าวอย่างจริงจังเป็นเรื่องเป็นราว
กู่ฉิงซานคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถาม “เช่นนั้นข้าสมควรทำอย่างไร?”
นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว “จงเก็บตัวเสีย”
“เก็บตัว?” กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยความฉงน
นางเซียนไป่ฮั่วที่กำลังจ้องมองเขา จู่ๆ ก็เผยยิ้มออกมาและกล่าว “ข้าได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าได้เลือกเดินเส้นทางที่แตกต่างออกไป ส่วนศิษย์พี่สองของเจ้าก็มิใคร่ใส่ใจสรรพาวุธ สำหรับซิวซิวนางยังเล็กเกินไป สุดท้ายจึงมีเพียงเจ้าที่ยังหลงเหลืออยู่”
“และเจ้าก็เป็นผู้ที่มีความเพียรพยายาม รู้จักฝึกฝนอย่างหนัก มีพรสวรรค์โดยธรรมชาติ มีหัวคิดหลักแหลม และที่สำคัญที่สุดก็คือเจ้าครอบครองห้วงอารมณ์และจิตใจที่เด็ดเดี่ยว…เด็ดเดี่ยวพอที่จะส่งมอบมรดกแห่งข้า”
ในหัวใจของกู่ฉิงซานสั่นสะท้าน
นางเซียนไป่ฮั่ว เซี่ยเต๋าหลิง ต้องการที่จะส่งมอบมรดก! ส่งมอบมันให้แก่ฉัน!
สกิลเทวะ?
มีแค่เพียงสกิลเทวะเท่านั้น
ว่าแต่จะเป็นสกิลเทวะใดเล่า?
สวรรค์ล่มสลาย?
โอบกอดฟ้าดิน?
หรือจะเป็นสกิลที่ผ่าเหล่ามากที่สุดอย่างสายธารแห่งการหลงเลือน?
ณ ตอนนี้ กู่ฉิงซานกำลังคิดว่าตนจะโชคดีเกินไปแล้ว
การที่จะได้เรียนรู้สกิลเทวะนั้นคือความฝันอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่ผู้ฝึกยุทธทุกคนในโลกไม่แม้แต่จะกล้าคิดถึง
เชื่อได้เลยว่านอกเสียจากน้อมสวรรค์ซวนหยวนและนักพรตเป่ยหยวน สองนักปราชญ์แล้วนั้น หากเป็นคนอื่นๆ ต่อให้ทุ่มใช้ออกด้วยอะไรก็ตาม พวกเขาก็ยินดีเพื่อที่จะสามารถคว้าโอกาสนี้เอาไว้ให้จงได้
“เจ้าต้องการมันหรือไม่?” นางเซียนไป่ฮั่วเอ่ยถาม
กู่ฉิงซานฝืนบังคับจิตใจตนให้เย็นลงและเอ่ยถาม “ ข้าฝึกฝนวิถีแห่งดาบอยู่ก่อนแล้ว เช่นนั้นมันจะขัดแย้งต่อกฎเกณฑ์หรือไม่ท่านอาจารย์?”
“ข้าจะไม่ส่งมอบสิ่งที่มันจะไม่สอดคล้องกับเจ้าให้ไปหรอก กระบวนท่าที่ข้าเลือก จะไม่ส่งอิทธิพลย้อนแย้งใดๆ ต่อสกิลดาบของเจ้า” นางเซียนไป่ฮั่วเอ่ยอย่างพอใจกับท่าทีที่ยังดูสงบของเขา
“เช่นนั้น ข้ายินดีน้อมรับ” กู่ฉิงซานกล่าว
“ยอดเยี่ยม”
นางเซียนไป่ฮั่วยืนขึ้นก้าวทีละก้าว ทีละก้าวตรงมาจนหยุดอยู่ตรงข้ามของกู่ฉิงซาน
“วันนี้ข้าจะมอบความประทับใจแรกให้เจ้าเสียหน่อย เจ้าจะได้เข้าใจว่าตนกำลังจะได้เรียนรู้สิ่งใดอยู่”
เธอยิ้มและกล่าว “ข้าจะลดหลั่นพื้นฐานวรยุทธลงมาอยู่เพียงขั้นต้นของขอบเขตก่อตั้ง เจ้าจงโจมตีเข้ามา ข้าจะทำให้เจ้าตระหนักถึงสิ่งที่เจ้ากำลังจะเรียนรู้!”
“ขอรับ!”
กู่ฉิงซานโค้งคารวะอย่างเคร่งขรึม ก่อนจะย่ำฝีเท้า ทะยานตรงไปยังนางเซียนไป่ฮั่ว
นางเซียนยืนนิ่งด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ไม่คิดขยับเขยื้อนไปไหน
รอยยิ้มของเธอขณะนี้เผยให้เห็นถึงร่องรอยของความสนุกสนาน
กู่ฉิงซานเห็นดังนั้น ในหัวใจของเขาก็เริ่มเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที
ถึงแม้ว่าเธอจะอยู่ถึงระดับประทับเทพ แต่ตอนนี้ระดับพื้นฐานวรยุทธของเธอก็ถูกระงับไว้อยู่ที่ขอบเขตก่อตั้ง ทว่ากลับยังกล้ายืนนิ่งอยู่เช่นนี้ มันจะไม่เป็นการดูถูกสกิลดาบของเขามากเกินไปหรอกหรือ?
มองไปยังระยะห่างระหว่างทั้งสองที่ลดทอนลงอย่างรวดเร็ว กู่ฉิงซานก็เอ่ยออกมา “ท่านอาจารย์โปรดจงระวังให้ดี ข้าจะใช้ออกด้วยเทคนิคลับแห่งดาบ”
นางเซียนไป่ฮั่วยิ้มแต่ไม่ได้เอ่ยตอบ
มั่นใจถึงเพียงนั้น? กู่ฉิงซานเริ่มจริงจัง เขาตะคอกคำหนึ่งและพรวดเข้าหานางเซียนไป่ฮั่วโดยตรง
“ดาบแห่งข้าจงปรากฏ...ตัดสายลม!”
เขาคว้าจับไปในอากาศที่ว่างเปล่า ทว่าก็กลับจับได้เพียงอากาศที่ว่างเปล่าเช่นกัน
เอ๋?
ดาบฉันล่ะ?
ทำไมดาบของฉันจึงไม่ปรากฏออกมา?
ระหว่างช่วงวินาทีตึงเครียด กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระและล้วงคว้าจับหมายมั่นจะเอาธนูเย่หยูออกมา
ทว่าเขากลับพบว่าไม่อาจควานหาธนูเย่หยูได้เลย
กู่ฉิงซานถึงขั้นกวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปถึงสองครั้งสองครา ทว่าเขาก็ยังไม่ค้นพบแม้กระทั่งเงาของธนูเย่หยู
ไม่มีดาบ ไม่มีธนู แล้วฉันจะต่อสู้ได้อย่างไร?
ว่าแต่ทำไมดาบกับธนูถึงได้หายไปกัน!?
กู่ฉิงซานชะงักในทันใด
“ท่านอาจารย์ นี่หรือว่าท่านต้องการจะสอนสั่งสกิลแยกมิติให้แก่ข้ากระนั้นหรือ?” เขาถาม
กระบวนท่านี้มันแหกกฎมากเกินไป เมื่อครั้งในช่วงเวลาที่ต่อสู้กับห้ามารนักปราชญ์ นางก็ได้ใช้สกิลนี้ขโมยอาวุธและสมบัติมนตราของอีกฝ่ายมา ทำให้มารนักปราชญ์ทั้งห้าไร้ซึ่งสรรพาวุธ พลังในการต่อสู้ลดหลั่นลงเป็นอย่างมาก
“มันมิใช่ความสามารถในการแยกสิ่งของออกจากมิติ นั่นเป็นเพียงการกระทำที่คล้ายกับวลีที่ว่า ‘เก็บของดีๆ ของอีกฝ่ายไว้ใต้โต๊ะเรา’ เพียงเท่านั้นเอง และที่สำคัญมันเป็นเทคนิคเทียนซวน จึงมิอาจสอนสั่งให้แก่เจ้าได้”
กู่ฉิงซานรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
ทว่าวินาทีต่อมา นางเซียนไป่ก็กลับเอ่ยคำรามด้วยเสียงดังสนั่น “แต่นี่ต่างหากเล่า คือสิ่งที่ข้าจะสอนสั่งเจ้า!”
ทันทีที่สิ้นเสียงลง ร่างกายของนางก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้ากู่ฉิงซานและโจมตีเขา
ปง...!
กู่ฉิงซานถูกฝ่ามือตบฉาด ลอยเคว้งไกลออกไปจนสุดห้องโถงใหญ่ กลิ้งคลุกฝุ่นอยู่หลายตลบจึงตั้งหลักได้
พลังฝ่ามือนี้ช่างหลักแหลมยิ่ง มันห่อตัวและหยุดอยู่เบื้องหน้าเขา ก่อนจะกระแทกให้กระเด็นออกไป แม้ร่างของกู่ฉิงซานถูกส่งลอยออกไปไกล แต่มันกลับแทบจะไม่ทำอันตรายใดๆ แก่เขา หรืออาจจะกล่าวได้ว่า แท้จริงแล้วฝ่ามือนี้ถูกควบคุมไว้ ให้ส่งผลร้ายน้อยที่สุดต่างหาก!
“เมื่อครู่เจ้าได้เห็น ‘ท่าร่าง’ ของข้าหรือไม่?” นางเซียนไป่ถาม
กู่ฉิงซานขบคิด และพบว่าถึงแม้นางจะลดระดับวรยุทธ์ลงมาถึงขอบเขตก่อตั้งแล้วก็ตามที ทว่าเขากลับไม่อาจมองตามการเคลื่อนไหวของนางได้เลย
ช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!
........................................