webnovel

0053 อุบายในยามสิ้นหวัง

ตอนที่ 53 อุบายในยามสิ้นหวัง

นอกจากนี้ การตื่นขึ้นของเทคนิคดาบตัดสายลม ยังช่วยให้เขาสามารถซ่อนตัวดาบไว้ในความว่างเปล่าได้อีกด้วย และเพียงใช้พลังวิญญาณกระตุ้นเทคนิคดังกล่าว คุณก็จะสามารถเรียกดาบออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าได้ทุกที่ทุกเวลา

ด้วยสิ่งนี้เพียงอย่างเดียว ก็พอแล้วที่จะสามารถชดเชยเวลานับไม่ถ้วนที่จำเป็นต้องเสียไปกับการชักดาบได้

ในชีวิตก่อนหน้า มีผู้คนมากมายที่ได้ต้องการเรียนรู้เทคนิคตัดสายลม เพียงเพราะกระบวนท่าที่สามารถเรียกดาบออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าได้นั้นมันเท่ระเบิด!

ผู้ฝึกดาบนับไม่ถ้วนแทบจะกรีดเลือดกรีดเนื้อขายเพื่อต้องการที่จะซื้อชุดเทคนิคดาบตัดสายลม

ส่วนเหตุผลที่กู่ฉิงซานเลือดชุดเทคนิคดาบชุดนี้ ส่วนใหญ่ก็เนื่องมาจากในเวลาที่โจนทะยานเข้าไปกลางวงล้อมเผ่ามาร เขาจะได้เรียกดาบออกมาใช้งานได้สะดวก มันจะช่วยให้เขาสามารถวาดคมดาบออกไปได้อย่างว่องไว และช่วยให้ใช้ออกด้วยสกิลอื่นๆ ได้อย่างสะดวกสบายขณะที่กำลังวิ่งด้วยเร็วสูง

นอกจากนี้ ชุดเทคนิคดาบตัดสายลมยังเป็นเทคนิคดาบ เทคนิคแรกที่เขาใช้ชีวิตเข้าแลกล่าสังหารกับเผ่ามารเพื่อให้ได้มันมาครอบครองอีกด้วย

กู่ฉิงซานกวัดแกว่งร่ายรำดาบในมือ ขณะที่ในหัวใจสัมผัสได้ถึงรสชาติแห่งความปีติ

เหลิงเทียนสิงที่ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะพึมพำในจิตใจ

ฉากที่เห็นนี้มันแปลกโดยแท้

ฉากที่ชายหนุ่มผู้สวมเกราะหนามแหลมบนไหล่ ประกอบกับกำลังร่ายรำดาบในมือ ในขณะเดียวกันก็ยังแบกดิสก์ค่ายกลขนาดใหญ่เอาไว้บนหลัง…

ตกลงว่านี่เขาจะเป็นอะไรกันแน่?

เป็นนักสู้หวูเต๋า?

เป็นผู้ฝึกดาบ?

หรือเป็นปรมาจารย์ค่ายกล?

หากกล่าวว่าเน้นหนักไปทางปรมาจารย์ค่ายกลก็คงนับว่าโชคดี เพราะตราบใดที่เขามีพรสวรรค์ที่จะสามารถฝึก ‘หกศิลป์’ ได้การที่จะเลือกหวูเต๋าหรือผู้ฝึกดาบเป็นสายรองก็ยังพอเป็นไปได้

แต่ตัวตนแบบนั้นนับว่าหายากยิ่ง

ส่วนสำหรับ หวูเต๋าที่เป็นนักสู้มือเปล่าแต่กลับฝึกฝนสกิลดาบไปด้วยในตัว เหลิงเทียนสิงไม่เคยได้ยินมาก่อน

มองไปยังกู่ฉิงซานที่กำลังร่ายรำดาบ เห็นได้ชัดว่าตัวเขาดูราวกับเป็นนักดาบที่เคี่ยวกรำไปด้วยประสบการณ์มาหลายปี

เหลิงเทียนสิงไม่อาจระงับใจให้เอ่ยถามออกไปได้ว่า “อันที่จริงแล้วคุณเป็นผู้ฝึกยุทธสายอะไรกันแน่? นักดาบ หรือ นักสู้? ฉันมองไม่ออกจริงๆ”

กู่ฉิงซานได้ยินคำถาม ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดหัวนิดๆ เขาไม่สามารถกล่าวออกไปโดยตรงได้ว่า ‘เขาเลือกที่จะใช้แต้มพลังวิญญาณในการเรียนรู้สกิลต่างๆ โดยตรง ทำให้สามารถเข้าใจและใช้ออกด้วยสกิลของทุกสายได้เลยไม่จำเป็นต้องฝึกฝน’

เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับคำตอบและเอ่ย “อืม...ถ้าจะเอาตรงๆ ก็ขอบอกว่าฉันไม่ใช่นักสู้หวูเต๋าที่พิเศษอะไร…และก็ไม่ใช่ปรมาจารย์ค่ายกลของแท้ด้วย” แน่นอนว่าประโยคหลังเขาเอ่ยในใจ

เหลิงเทียนสิงพยายามขบคิดในห้วงสติซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงกล่าว “ไม่ใช่นักสู้หวูเต๋าที่พิเศษอะไร?”

กู่ฉิงซานกลืนเม็ดยาปราณกระเรียนแดงและกล่าว “ฉันมีวิธีการบางอย่างที่สามารถทำให้เรียนรู้วรยุทธหลายแขนงได้ แต่จะให้บอกว่าฉันเป็นนักสู้หวูเต๋าขนานแท้ก็คงไม่ใช่เสียทั้งหมด”

“และแน่นอนว่าฉันก็พอจะรู้เกี่ยวกับเทคนิคดาบและค่ายกลอยู่บ้างเช่นกัน”

เหลิงเทียนสิงตะลึง แต่ก็ยังรู้สึกว่านี่มันค่อนข้างจะเหลือเชื่อเล็กน้อย

กู่ฉิงซานไม่เอ่ยอธิบายอีกต่อไป ตาทั้งสองของเขาปิดลง เริ่มควบคุมลมหายใจ และค่อยๆ ใช้พลังวิญญาณละลายเม็ดยาปราณกระเรียนแดงจนย่อยสลายไปโดยสมบูรณ์

ผ่านไปนาน เหลิงเทียนสิงก็กล่าว “การที่คุณเรียนรู้มากเกินไป ในอนาคต หากต้องการจะให้เทคนิคใดปีนป่ายขึ้นไปอยู่เหนือล้ำกว่าเทคนิคอื่นๆมันจะเป็นเรื่องยากกว่าการเรียนรู้เพียงสายเดียว”

นี่คือคำแนะนำที่ดี และถูกต้อง…สำหรับคนทั่วๆ ไป

หากผู้ฝึกยุทธเบี่ยงเบนความสนใจไปในหลายสิ่งมากเกินไป มันไม่เป็นสิ่งที่ดีเลย เรื่องนี้จะส่งผลโดยตรงต่อยามเมื่อเขากำลังจะอัปเลเวลเข้าสู่ขอบเขตใหม่ มันจะยากกว่าคนปกติมากๆ

กู่ฉิงซานรู้สึกถึงความห่วงใยของอีกฝ่าย เขาจึงเผยรอยยิ้มออกมาและกล่าว “ไม่มีปัญหาหรอก ฉันมีวิธีเฉพาะทางอยู่แล้วน่ะ”

เหลิงเทียนสิง “วิธีเฉพาะทาง? หมายความว่าอย่างไร”

กู่ฉิงซาน “เอ่อ ก็วิธีเฉพาะทางที่จะช่วยให้ฉันได้มีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้อย่างไรล่ะ”

คำกล่าวนี้แม้เป็นเพียงแค่คำที่เรียบง่าย ธรรมดาๆ แต่น้ำเสียงของเขามันกลับเต็มไปด้วยความทุกข์ตรมของการดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด

หลังจากที่ต่อสู้มาหลายปีจนสุดท้ายก็มาถึงวันสิ้นโลก ทำให้มนุษย์ได้มองเห็นภาพที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่

เหลิงเทียนสิงฟังคำกล่าวนี้อย่างรอบคอบ

หลังจากเอ่ยจบ กู่ฉิงซานก็ยืนขึ้น ก่อนจะโค้งตัวลงไปด้านหน้าเล็กน้อย เฉกเช่นเดียวกับในตอนที่วูจินกระทำ หนามแหลมบนเกราะถูกชี้ออกไปยังภายนอกค่ายกล ก่อนที่เขาจะย่ำถอยหลังไปหลายก้าว

กู่ฉิงซาน “มีเวลาอีกครึ่งก้านธูป ก่อนที่ค่ายกลนี้จะหายไป”

เหลิงเทียนสิงอดไม่ได้ที่จะถาม “แล้วพวกเราจะร่วมมือกันอย่างไร?”

เมื่อต้องอยู่เป็นกลุ่มหรือทีม เขามักจะได้รับบทบาทเป็นหัวหน้าเสมอ แต่หลังจากที่ทุกคนตกตายกันไปหมดแล้ว และเหลือเพียงแค่เขากับกู่ฉิงซาน เขาก็ไม่รู้ตัวเลยว่าตนได้ยกตำแหน่งหัวหน้าให้กู่ฉิงซานไปแล้ว

ด้วยขอบเขตก่อตั้งขั้นสูงสุด การเอ่ยปากขอความคิดเห็นจากคนที่เป็นเพียงปราณปรับแต่ง นับว่าเป็นเรื่องที่หายากยิ่ง

แน่นอนว่าทั้งสองไม่มีใครตระหนักถึงเรื่องนี้ แต่กลับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

กู่ฉิงซานชี้ดาบออกไปนอกค่ายกลและกล่าว “เห็นมารตัวนั้นไหม?”

มันคือเผ่ามารที่ลอบโจมตีเขาในครั้งก่อน

“เห็น”

“มอนสเตอร์ตัวนั้นมีกลิ่นเหม็นฉุนที่รุนแรงมาก มันถูกเรียกว่ามารชิฝู ไม่ว่าจะคนหรือมารก็ล้วนเกลียดชังมัน ฉันต้องการให้คุณจัดการนำดวงตาของมันมาให้ฉัน”

เหลิงเทียนสิงขับเคลื่อนเทคนิคมนตราจากทั่วร่าง ก่อนจะยืนขึ้นและกล่าว “ต้องการให้ฉันออกไปฆ่ามันเลยรึเปล่า?”

กู่ฉิงซานกล่าวปราม “ไม่ๆ มันเป็นมารสมองทึบ พวกเราจะใช้กลยุทธ์ล่อมันเข้ามาใกล้ๆ แทน”

กู่ฉิงซานมองไปยังซากแหลกละเอียดของมารน้อยครองใจบนพื้น ก่อนจะหยิบเลือดมอนสเตอร์งูออกมาและเทมันลงบนซากมารน้อย

หลังจากนั้นเขาก็ขุดก้อนหินใต้ดินขนาดเท่าครึ่งตัวเด็กขึ้นมาหลายก้อน และจัดวางมันเรียงๆ กันบนพื้นดิน

และเริ่มต้นชโลม ซากร่างมารน้อยที่ผสมผสานไปกับเลือดงูลงบนก้อนหินอย่างระมัดระวัง

เหลิงเทียนสิงมองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ

ทุกสิ่งอย่างที่คนผู้นี้กระทำอยู่เหนือจินตนาการของเขา

ภายนอกค่ายกล มารชิฝู กำลังคลานอย่างช้าๆ

มันยังคงหิวโหย และพยายามที่จะจับเผ่ามารตนอื่นๆที่อยู่รอบๆ กิน

ทว่ามารเหล่านั้นอยู่ห่างไกลจากมันมากเกินไป พวกมันยอมที่จะไปเบียดเสียดกันเป็นกลุ่มก้อนกับตัวอื่นๆ แทนที่จะต้องมาอยู่ใกล้กับมารชิฝู

แม้ว่ามารชิฝูจะแข็งแกร่ง แต่ช่วยไม่ได้ที่มันเคลื่อนไหวช้าเกินไป แค่มันเข้ามาใกล้เพียงก้าวเดียว มารตนอื่นๆ ก็วิ่งหนีไปหลายก้าวแล้ว ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่มันจะได้กินแต่พวกซากเน่าๆ ที่ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว

มารชิฝูดูจะหงุดหงิดเล็กน้อย และในตอนนั้นเอง จู่ๆ มันก็ได้ยินเสียง ‘ปุก’ ตกลงมาข้างตัวมันพร้อมด้วยกลิ่นอันเย้ายวนใจโชยมา

ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเพียงหินสี่เหลี่ยม แต่สีของมันดูจะแตกต่างไปจากหินทั่วๆ ไปเล็กน้อย และสีนี้…ก็เป็นสีที่มันโปรดปราน

มารชิฝูทำจมูกฟุดฟิดสูดดมกลิ่นออกไปโดยสัญชาตญาณ

นี่มันกลิ่นของเลือด!

แม้กลิ่นจะยั่วยวน แต่มันก็ขนาดเล็กเกินไป แทบจะไม่เพียงพอที่จะใช้เป็นไม้จิ้มฟันของมันด้วยซ้ำ

ทว่าก็มิได้หมายความว่ามารชิฝูจะละเลย ด้วยกลิ่นอายเลือดที่ยั่วยวนผสานไปกับกลิ่นอายที่เต็มไปด้วยพลัง ยิ่งช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร

ในที่สุดมารชิฝูก็เลื้อยลงบนพื้นดินและงับเอาก้อนหินใส่ปากแล้วเคี้ยวกรึบกรึบ

รสชาติที่ดี! แต่นี่มันน้อยเกินไป

และในตอนนั้นมารชิฝูก็ได้ยินเสียง ‘ปุก’ อีกครั้ง และสิ่งแปลกปลอมดังกล่าวก็อยู่ไม่ห่างจากกายของมันมากนัก

เป็นระยะที่สามารถเข้าถึงได้ เพียงเคลื่อนไหวแค่เล็กน้อย

มารชิฝูคลานไปอย่างช้าๆ และกินมันเข้าไป

กลิ่นอายที่แฝงไปด้วยพลัง และหอมหวน ทว่าครั้งนี้กลับผสมผสานเข้ากับความรู้สึกหนาวเย็น…แต่ดูเหมือนว่ามารชิฝูจะไม่ได้ใส่ใจถึงสัมผัสสุดท้าย

‘มีอีกไหม?’

มารชิฝูรอคอยด้วยความหวัง

และปาฏิหาริย์ก็ปรากฏ!

ก้อนหินสี่เหลี่ยมอีกก้อนตกลงในจุดที่ไม่ไกลออกไป

มารชิฝูรีบเคลื่อนร่างของมันอย่างรวดเร็ว

กู่ฉิงซานเฝ้าจับตามองมารชิฝูและกล่าว “ถ้ามันมาถึงระยะโจมตีเมื่อไหร่ จำไว้ว่ามีโอกาสยิงเพียงครั้งเดียวเท่านนั้น”

เหลิงเทียนสิงถาม “แล้วถ้าฉันพลาด?”

กู่ฉิงซาน “ก็คงมีวิธีอื่นอีก แต่ไม่มีกลยุทธ์ใดดีไปกว่าอันนี้แล้ว”

เหลิงเทียนสิง “ถ้าอย่างงั้น…แล้วถ้าฉันทำสำเร็จล่ะ?”

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความระมัดระวัง “ทันทีที่คุณจัดการเรื่องลูกตาให้ฉัน ถึงตอนนั้นฉันจะสานต่อเอง แต่ตอนนี้ค่ายกลเกือบจะถึงขีดจำกัดเวลาแล้ว”

“ตกลง”

เหลิงเทียนสิงสูดหายใจลึก และจับจ้องสมาธิมุ่งไปยังมารชิฝู

เขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องที่กู่ฉิงซานจะทรยศ หลังจากทั้งหมดนี้ เนื่องเพราะขอบเขตวรยุทธของเขาที่เหนือล้ำกว่าอีกฝ่ายถึงช่วงขอบเขตใหญ่ ยามเมื่อถูกทรยศและใกล้ตกตาย เขาสามารถรีดเค้นกำลังเฮือกสุดท้ายเพื่อทำให้กู่ฉิงซานตกตายไปด้วยกันได้

เหลิงเทียนสิงเหลือบมองไปที่กู่ฉิงซาน

เด็กหนุ่มผู้นี้ดูจะไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นเขาไม่สมควรคิดคดทรยศใดๆ ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้

ในเวลานั้นเอง กู่ฉิงซานกระซิบเสียงแผ่ว “ลงมือเลย!”

เหลิงเทียนสิงระดมพลังวิญญาณมายังพัดหยกในมือ ก่อนจะกวัดแกว่งมัน ปลดปล่อยกระแสที่คล้ายคมดาบทะยานออกไปในแนวเฉียง

“ใบมีดน้ำแข็งสะบั้น!”

ภายนอกค่ายกล ปรากฏเสียงร้องคำรามอันน่าสยองขวัญเขย่าไปทั่วทั้งบริเวณ

กระแสเส้นน้ำแข็งเจาะลงบนหน้าผากของมัน หลังจากนั้นเลือดก็สาดกระจายไปทั่ว

ใบมีดน้ำแข็ง ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันและกะโหลกเล็กๆ กว่าครึ่งก็พลันถูกเฉือนออก

มารชิฝูได้รับบาดเจ็บสาหัส ดวงตาของมันกระเด็นหลุดจากร่าง

อาการบาดเจ็บเช่นนี้ นับว่าค่อนข้างสาหัสจริงๆ สำหรับมัน

มารชิฝูกลิ้งร่างเน่าๆ ไปมาบนพื้นดินอย่างบ้าคลั่ง

ทว่าสองหน่อในค่ายกลดูจะไม่ใส่ใจมัน พวกเขากลับปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ และกวาดกระจายออกไปทั่วทุกหนแห่ง

ดวงตาขนาดยักษ์สีเหลืองขุ่นกระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างฉับพลัน ก่อนจะเคลื่อนลงไปในทิศทางดงที่พวกเผ่ามารยืนออกันอยู่

เหลิงเทียนสิงเก็บพัดหยกอย่างเร็วรี่ พร้อมยื่นมือซ้ายออกพลางตะโกนก้อง “จงกลับมา!”

ลูกตาสีเหลืองขุ่นโค้งอยู่ในอากาศ ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางและร่วงตกลงมาในค่ายกล ก่อนจะตกลงสู่เงื้อมมือของเหลิงเทียนสิงได้ในที่สุด

........................................