webnovel

Twilight memories : รักต้องห้ามชายาแวมไพร์

โคโกะ หนุ่มน้อยรูปงามผู้เติบโตมาด้วยความเกลียดชังในตัวแวมไพร์ เขาปฏิเสธทุกอย่างแม้กระทั่งสายเลือดที่อยู่ในตัวเองเฉกเช่นเดียวกับกลุ่มแวมไพร์ที่ปฏิเสธในตัวเขา ทว่าความงดงามของหนุ่มน้อยผู้นี้นั้นต่างสร้างความบ้าคลั่ง ความหลงใหลราวกับถูกมอมเมา เมื่อโตขึ้นเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ แต่เมื่อคืนเดือนมืดมาถึงในขณะที่เขากำลังปลูกต้นกุหลาบขาวนั้น เขาได้ถูกแวมไพร์ปริศนาฝังรอยเขี้ยวเอาไว้บนต้นคอ เลือดสีแดงสาดกระเซ็นลงบนกลีบกุหลาบสีพิสุทธิ์ การกระทำทุกอย่างผ่านไปเชื่องช้าราวกับเวลาถูกหยุด สิ่งสุดท้ายที่โคโกะสัมผัสได้ก่อนหมดสติคือน้ำเสียงนุ่มนวลชวนหลงใหลที่บอกราตรีสวัสดิ์กับเขา...

Starry_Alis · Fantasia
Classificações insuficientes
11 Chs

ใครฆ่าแอคเคอร์ลีย์

เช้าวันถัดมาเป็นเช้าอันแสนวุ่นวาย โถงทางเดินของปราสาทตะวันออกเต็มไปด้วยใบปลิวจากชมรมวารสารปลิวว่อนไปทั่ว บนใบปลิวเป็นรูปคนสีดำกำลังถือป้ายข้อมูลนักโทษที่เขียนว่า 'ใครฆ่าแอคเคอร์ลีย์ วอลเกอร์' เมื่อแตะนิ้วลงบนป้ายนักโทษ ประโยคจะหายไปและถูกแทนที่ด้วยเนื้อหาข่าวสั้น ๆ เรียกให้นักเรียนทุกเผ่าพันธุ์โดยเฉพาะเผ่ามนุษย์อยากซื้อนิตยสารรายสัปดาห์ที่ถูกพิมพ์เพื่อสรุปข่าวคราวและเรื่องน่าสนใจประจำสัปดาห์ ถึงแม้ว่าจะดูใช้ประโยชน์จากความตายและความเศร้า แต่เรื่องนั้นต้องสนใจด้วยหรือ ? ในเมื่อทำให้ชมรมที่แทบจะไม่มีผลงานและรายได้มาจุนเจือจนจะต้องปิดตัวอยู่รอมร่อกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง เสียงสมาชิกชมรมวารสารตะโกนพร้อมกับแจกใบปลิวโปรโมทวารสารให้กับทุกคน

ใบปลิวใบหนึ่งมาอยู่ในมือของโคโกะ เขามองประโยคบนป้ายนักโทษด้วยสายตาเรียบนิ่ง เขาลงมือสังหารแอคเคอร์ลีย์ นั่นไม่ใช่เรื่องโป้ปด แต่ในยามนั้นนอกจากการเหนี่ยวคันธนูเพื่อช่วยเพื่อนแล้ว เขาคิดอย่างอื่นไม่ออกจริง ๆ ว่าต้องทำอะไร จะให้เดินไปบอกแวมไพร์ที่กำลังคลั่งจากอาการขาดเลือดให้หยุดการกระทำ มันคงจะหยุดให้หรอก ดีไม่ดีมีแต่จะเพิ่มจำนวนผู้เสียหายให้มากขึ้น และอาจจะทำให้ความลับของเขาถูกเปิดโปง

"โคโกะ นายอย่าไปสนใจเลยนะ" เอลีนเอ่ยเมื่อเห็นโคโกะยืนมองใบปลิวนิ่ง ๆ มาหลายนาทีแล้ว

"ไม่ได้รู้สึกเศร้าอะไรนี่" โคโกะเอ่ยด้วยท่าทีเฉยเมย เขาฉีกใบปลิวเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนจะโยนมันลงถังขยะ "ถ้าไม่ทำแบบนั้น คนที่อาจจะกลายเป็นศพคือเอลีน และอาจจะถูกปกปิดให้หายไปตามเวลา" เขาเชื่อว่าในตอนนี้เอลีนคงจะไม่เชื่อเรื่องนี้ นายคนนี้เชื่อเรื่องระบบยุติธรรมของประเทศ และมองทุกอย่างในแง่ดี แต่เขานั้นต่างออกไป เขาอยู่กับความโสมมของประเทศนี้มานาน นานมากจนมีหลายครั้งที่คิดว่าเขาอยากเปลี่ยนแปลงมันด้วยมือของเขาเอง

"ไง..ถ้าพวกนายได้ยินเรื่องนี้จากพวกเรา รับรองว่าพวกนายต้องรู้สึกเหลือเชื่อ" เวอร์นอนเอ่ยขณะเดินตีเนียนมากอดคอเอลีนพร้อมกับโชว์ใบปลิวใบเดิมให้ดู

"ได้ยินมาว่าแอคเคอร์ลีย์ที่ตายไปนั้นเป็นมนุษย์มาก่อน เขาเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลวอลเกอร์ แต่เมื่อ 2 ปีก่อนหน้านั้นเจ้าบ้านวอลเกอร์แลกชีวิตในฐานะมนุษย์ของลูกชายกับการได้ใกล้ชิดกับคนในรัฐสภา" เวอร์นีย์เอ่ยก่อนจะส่งไม้ต่อไปให้ฝาแฝดผู้น้อง

"นายแอชลีย์ วอลเกอร์ ว่ากันว่าเขาทำธุรกิจได้ห่วยแตก ธุรกิจค้าผ้าที่ทำอยู่ในปัจจุบันนั้นมาจากเงินเก็บก้อนสุดท้ายที่เขามีอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังบริหารได้ห่วยแตก เมื่อรู้ว่าธุรกิจกำลังจะไปไม่รอด เขาจึงเสนอตัวเองเป็นคนคอยดูแลคลังผ้าให้กับสมาชิกรัฐสภาคนหนึ่ง" เวอร์นอนเอ่ยต่อ

"แต่คนในรัฐสภาไม่เห็นประโยชน์ของเขาเลยสักนิด แหงล่ะ..พวกเขาต้องการคนคอยตรวจสอบคลังผ้าไปทำไมในเมื่อเรื่องง่าย ๆ พรรค์นี้พ่อบ้านแม่บ้านก็ทำให้ได้ แต่คนจากรัฐสภาคนนั้นกลับยื่นข้อเสนอให้เขาส่งแอคเคอร์ลีย์ไปให้ตระกูลคอลลินเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ ตระกูลคอลลินเปลี่ยนแอคเคอร์ลีย์ให้เป็นแวมไพร์พร้อมทั้งอุปถัมภ์เขาในฐานะผู้ติดตามของคอลลิน คาซึฮะ ที่พวกฉันสืบมาได้มีเพียงเท่านี้" เวอร์นีย์เอ่ยจบปิดท้าย แต่สร้างความประหลาดใจให้กับเอลีนเป็นอย่างมาก

"พวกนายไปรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงกันเนี่ย บ้าไปแล้ว! ฉันว่าเรื่องพวกนี้ไม่มีทางอยู่ในนิตยสารแน่นอน" เอลีนเอ่ย เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจากคดีการตายปริศนา (ที่เขารู้อยู่แล้วว่าเป็นฝีมือของใคร) จะกลายมาเป็นจุดเชื่อมโยงความสัมพันธ์อันซับซ้อนซ่อนเงื่อนระหว่างแวมไพร์ มนุษย์ กับการเมือง "เวอร์นีย์ เวอร์นอน พวกนายเป็นใครกันแน่"

"พวกฉันน่ะเป็นนักเรียนธรรมดา ๆ เหมือนพวกนาย เพียงแต่พ่อแม่ทำงานที่หอรวบรวมความทรงจำน่ะ" เวอร์นอนเอ่ยตอบ พวกเขามักจะเป็นแบบนี้เสมอ เมื่อใครก็ตามพูดไปแล้วหนึ่งหน อีกคนจะพูดในหนต่อมา

"หอที่รวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ ของคนที่อยากบันทึกเรื่องราวของตัวเองเอาไว้สินะ" เอลีนเอ่ยอย่างนึกขึ้นได้

"ใช่แล้ว แต่ว่าเรื่องของแอชลีย์นั้นตัวเขาไม่ได้บันทึกด้วยตัวเองหรอกนะ ประวัติน่าอดสูขนาดนี้ใครจะไปบันทึกได้ลงกัน คนที่มาบันทึกข้อมูลพวกนี้คือภรรยาของเขาต่างหาก จะเรียกว่าบันทึกเพื่อเก็บความทรงจำก็ไม่ใช่ มีข่าวลือหนาหูว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์ระหองระแหงมาสักพักใหญ่ ๆ การบันทึกในครั้งนี้.."

"ทำพินัยกรรมยังไงล่ะ" โคโกะเอ่ยขึ้นหลังจากฟังเรื่องราวจากคู่แฝดผู้มีข้อมูลแน่นปึกเสียยิ่งกว่าชมรมวารสาร "พวกนายบอกว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์ระหองระแหงกันสินะ ถ้าสันนิษฐานจากข้อมูลที่ฟังมา คุณนายวอลเกอร์อาจจะคิดฆ่าสามีตัวเอง เหตุผลอาจจะเป็นเพราะความแค้นที่เขาทำลายชีวิตลูกตัวเอง คุณนายคงตั้งใจจะเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดมาแบ่งให้ตัวเองและแอคเคอร์ลีย์ แน่นอนว่าจะทำอย่างนั้นได้ต้องอาศัยพินัยกรรมเท่านั้น ตามกฎหมายพินัยกรรมต้องมีลายเซ็นของเจ้าของ แต่ถ้าคุณนายกลายเป็นผู้ดูแลเต็มตัว เธออาจจะอาศัยช่องโหว่นั้นได้เหมือนกัน" เขาเอ่ยข้อสันนิษฐานจากข้อมูลที่ฟังมาทั้งหมด ทำเอาเอลีน และฝาแฝดไวส์แมนอ้าปากค้าง ทำหน้าเหวอไปตาม ๆ กัน ใบหน้างดงามของโคโกะฉายแววสงสัยขึ้นมาในทันทีว่าทำไมทั้งสามถึงมีปฏิกิริยาเช่นนั้น

"ฉันว่าโคโกะควรไปเป็นนักสืบหรือนักอาชญาวิทยา" เวอร์นีย์เอ่ย และเวอร์นอนพนักหน้าหงึก ๆ อย่างเห็นด้วย

"นายคิดไปถึงขนาดนั้นได้ยังไงเนี่ย สมกับเป็นลูกของผู้สังเกตการณ์" เอลีนเอ่ยชื่นชม ดวงตาสีน้ำตาลเปล่งประกายฉายแววชื่นชมอย่างปิดไม่มิด

"แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่โคโกะคิดนี่" โคโกะเอ่ย เขาไม่ได้รับประกันว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เขาคิด ทำไมต้องตื่นเต้นกันขนาดนั้นด้วยนะ

ในขณะที่ทั้ง 4 คนนั้นกำลังเดินไปตามโถงทางเดินเพื่อไปยังห้องเกียรติยศแห่ง 4 เผ่าพันธุ์เพื่อเรียนคาบศาสตร์ว่าด้วยเรื่องเผ่าพันธุ์ทั้ง 4 นักเรียนเผ่ามนุษย์ที่ยืนจับกลุ่มคุยกันตามระเบียงทางเดินนั้นพากันหลบไปด้านข้างซ้ายขวากัน แววตาของหลายคนนั้นฉายแววหวาดกลัว และพากันหยุดบทสนทนากลางคัน เวอร์นีย์เห็นบุคคลที่กำลังเดินมา เขาจึงดึงแขนเวอร์นอนให้หลบไปด้านข้าง และยังสะกิดเอลีนให้รู้ตัว เอลีนเห็นชายหนุ่มผมและตาสีนิล สวมเครื่องแบบสีแดงโกเมนเดินมา ต่อให้เขาจะไม่เคยสัมผัสกับแวมไพร์โดยตรง แต่ใช่ว่าจะไม่รู้จักแวมไพร์ที่กำลังเดินมา เด็กหนุ่มผลักโคโกะติดกำแพงพร้อมกับใช้ร่างกายที่สูงกว่าของตัวเองบังร่างบางเอาไว้ แต่ย่อมไม่พ้นสายตาที่ดีกว่าของแวมไพร์ ทาคุยะมองผ่านไปยังคนที่อยู่ด้านหลังเด็กหนุ่มที่เคยหาญกล้าบอกให้เขาปล่อยเด็กคนนั้นไป เขาเดินผ่านไปโดยไม่พูดอะไรออกมา เสียงกระซิบกระซาบเริ่มกลับมาอีกครั้งเมื่อคล้อยหลังแวมไพร์กลุ่มรัตติกาลอันสูงส่งที่มารวมตัวกันในยามเช้า

.

.

- ห้องเกียรติยศแห่ง 4 เผ่าพันธุ์ -

ห้องเกียรติยศแห่ง 4 เผ่าพันธุ์เป็นห้องขนาดไม่ใหญ่มาก การตกแต่งเรียบ ๆ ยืนพื้นสีขาว แม้กระทั่งกระดานสำหรับสอนก็เป็นกระดานสีขาวโดยใช้หินสีดำที่ถูกขัดจนเรียวเล็ก ปลายแหลมคล้ายปากกาในการเขียน เหนือกระดานมีป้ายเขียนว่า 'สันติจงบังเกิดแก่ 4 เผ่าพันธุ์' มาสเตอร์คาโรไลน์ โยชิยูกิ เป็นมาสเตอร์ที่แต่งกายเรียบร้อย สวมชุดครุยตัวยาวสีขาว แขนทั้งสองข้างคาดแถบสีทอง ดูกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมโดยรวมของห้อง ผมยาวจรดพื้นสีขาวยิปซัมเคลื่อนตัวไปตามเจ้าของราวกับเป็นภาพวาดของเทพธิดา

"สวัสดีเด็ก ๆ ห้อง 4 นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราเจอกัน" มาสเตอร์คาโรไลน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงไพเราะใสราวกับเสียงพิณ "นี่คือวิชาว่าด้วยเผ่าพันธุ์ทั้ง 4 วิชานี้จะพาพวกเธอไปทำความรู้จักกับเผ่าพันธุ์ทั้ง 4 ตามหลักพันธะสัญญา ไม่ว่าจะเป็นลักษณะภายนอก พฤติกรรม และความสามารถพิเศษ วิชานี้จะไปต่อยอดได้ดีในชั้นโบโซนิดกับโรชชิงเมื่อพวกเธอต้องแยกย้ายไปเรียนตามประเทศต่าง ๆ เอาละ..เราจะเริ่มกันที่เผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างพวกเราก่อน" มาสเตอร์สาวเอ่ยพร้อมกับผายมือไปยังด้านขวา รูปปั้นหินอ่อนมนุษย์ยุคแรกเริ่มโผล่พ้นขึ้นมาจากพื้นด้วยกลไกชักรอก

มาสเตอร์คาโรไลน์อธิบายเกี่ยวกับลักษณะของมนุษย์ในเชิงพัฒนาการในเรื่องรูปลักษณ์ ความสามารถและพฤติกรรม วิชานี้อาจจะคล้ายกับวิชาประวัติศาสตร์ของมาสเตอร์โดมนิเตอร์ แต่แตกต่างกันตรงที่วิชานี้เจาะลึกไปยังความเป็นอยู่ ระบบความคิด โครงสร้างทางสังคมที่สะท้อนผ่านมาในรูปแบบวัฒนธรรม มาสเตอร์บอกว่าหากจะให้พูดถึงทั้งหมดของเผ่ามนุษย์นั้น ไม่สามารถจบได้ภายในชั้นแลนเฌียน ดังนั้นวิชานี้จึงเหมือนการเอ่ยเกริ่นก่อนจะเพิ่มระดับความเข้มข้นตามชั้นเรียนที่สูงขึ้น น้ำเสียงของมาสเตอร์แม้จะไพเราะ แต่ราบเรียบราวกับคลื่นน้ำสงบ แน่นอนว่าทำให้เอลีนหลับสนิทได้ไม่ยากเย็นนั้น โคโกะตอนแรกก็คอยปลุก แต่สุดท้ายก็เหนื่อยใจแล้วกลับมาสนใจบทเรียนตรงหน้าแทน

"หาว.." เด็กหนุ่มเอามือปิดปากตัวเองที่กำลังหาวหวอด ๆ เขาพยายามบังคับตัวเองให้จดให้ได้มากที่สุดพลันคิดว่า..ไม่ต้องเป็นเอลีนหรอก ขนาดเรายังรู้สึกง่วงเลย

จบคาบเรียนศาสตร์ว่าด้วยเรื่อง 4 เผ่าพันธุ์ไปเป็นที่เรียบร้อย เอลีนเดินหาวหวอด ๆ เช่นเดียวกับเวอร์นอน ทั้ง 4 คนกำลังเดินไปโรงอาหารเพื่อหาอะไรกินก่อนจะไปเรียนในคาบถัดไป คาบเรียนศาสตร์การต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเองจากแวมไพร์ เวอร์นีย์เล่าให้ฟังว่ารุ่นพี่บอกวิชานี้ไม่เน้นท่องตำรา เน้นปฏิบัติ ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงต้องเผื่อเวลาไปเอาชุดวอร์มที่หอพัก

"ได้ยินมาว่าเมื่อเช้านายแอชลีย์คนนั้นโวยวายเสียลั่นห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่" เวอร์นีย์เอ่ยหลังจากไปสืบเรื่องราวจากรุ่นพี่ที่แอบไปฟังอยู่หน้าห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่

"แหงละ ลูกเขาตายทั้งคน จะไม่ให้โวยวายได้ไง" เอลีนเอ่ยขณะตักแกงหะหรี่รสเผ็ดร้อนเข้าปาก ใบหน้าหล่อเหลาขี้เล่นแดงเล็กน้อยจากรสชาติเผ็ดที่แทบจะระเบิดลิ้นของเขา

"ที่เอลีนพูดก็ถูก แต่รุ่นพี่ที่ไปแอบฟังหน้าห้องเล่าต่อกันมาว่าแอคเคอร์ลีย์อดเลือด เขาโจมตีนักเรียนเผ่ามนุษย์คนนึงในช่วง 15 นาทีที่ความมืดคลืบคลาน แต่ถูกใครบางคนกำจัดด้วยธนูที่มีส่วนประกอบของอัญมณีอัคคี" เวอร์นอนเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น หารู้ไม่ว่าเอลีนนั้นกลืนข้าวแทบไม่ลง ส่วนโคโกะยังคงสีหน้าเรียบนิ่งเช่นเดียวกับการกระทำ

"ธนูที่มีส่วนประกอบของอัญมณีธาตุทั้ง 7 มีราคาแพงมาก ยิ่งราคาแพง อานุภาพยิ่งรุนแรง รุ่นพี่ชมรมวารสารเล่าว่าร่างของแอคเคอร์ลีย์ถูกเผาไหม้จนไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่าน แปลว่าอัญมณีอัคคีนั้นต้องเป็นอัญมณีระดับสูง คนที่จะทำได้ต้องมีฐานะร่ำรวยระดับนึงเชียวละ และต้องเก่งการยิงธนูชนิทหาตัวจับยาก พวกนายคิดดูสิ..มืดขนาดนั้นยังยิงโดนได้ แสดงว่าคน ๆ นั้นต้องไม่ธรรมดา จริงไหม ?" เวอร์นีย์เอ่ยแผ่วเบาราวกับว่ากำลังอยู่ในภาพยนตร์สืบสวนสอบสวน

"จริงอย่างที่เวอร์นีย์ว่า คน ๆ นั้นต้องมีฝีมือและฐานะร่ำรวย โคโกะคิดว่าเขาต้องเป็นคนมีคุณธรรมด้วยนะ เพราะเขากำลังช่วยเพื่อนร่วมเผ่านี่น่า" โคโกะเอ่ยขึ้น ทั้งที่เขารู้ดียิ่งกว่าใคร จดจำสัมผัสนั้นได้แม่นยำจนถึงตอนนี้ แต่เขาไม่ใช่คนโง่ที่จะเอ่ยชี้เป้ามาที่ตัวเองหรอกนะ

"แต่เรายังไม่รู้เลยนะว่าใครเป็นคนฆ่าแอคเคอร์ลีย์ เธอรู้ด้วยอย่างนั้นเหรอ ?" เสียงปริศนาเอ่ยขึ้นจากด้านหลังวงสนทนาของพวกโคโกะ ชายหนุ่มผมสีน้ำผึ้งแย้มยิ้มให้โคโกะราวกับต้องการจะบอกว่าเขายินดีรับฟังเรื่องราวต่อจากนี้

โคโกะยิ้มตอบกลับ รอยยิ้มนั้นขับให้ใบหน้างดงามมากยิ่งขึ้น ทว่าร่างบางกลับรวบช้อนส้อม ลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารไปโดยไม่ปริปากเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวบ่งบอกว่าไม่อยากร่วมสนทนาด้วย เด็กหนุ่มก้าวฉับ ๆ จากไปปล่อยให้เอย์จิยืนนิ่งค้างหลายนาที เอย์จิไม่ได้ตามไป เขามองออกว่าเด็กคนนั้นไม่อยากพูดคุยด้วย เขาก็จะไม่คุย เขาทำใจไว้ส่วนนึงว่าผลอาจจะออกมาเป็นแบบนี้ ไม่มีทางที่เด็กจากครอบครัวผู้สังเกตการณ์จะปลาบปลื้มแวมไพร์ เรื่องนั้นใคร ๆ ก็รู้ดี..

.

.

- ห้องแห่งพละกำลังและสติปัญญา -

ห้องแห่งความลับและสติปัญญาเป็นห้องที่ตกแต่งเหมือนโรงยิมสำหรับฝึกฝนทุกระเบียดนิ้ว ไม่มีโต๊ะเรียนเหมือนวิชาอื่น ๆ ห้องเรียนห้องนี้จัดว่าเป็นห้องเรียนที่ใหญ่ที่สุด เนื่องจากต้องใช้พื้นที่สำหรับฝึกซ้อม นักเรียนชั้นแลนเฌียนห้อง 4 ทุกคนสวมชุดวอร์มสีเหลืองบัตเตอร์มิลค์ นั่งอยู่บนพื้นที่ทำจากวัสดุพิเศษป้องกันการลื่น เบื้องหน้าของทุกคนคือมาสเตอร์เฟอร์ดินาน เฟริสเซโร่ ชายหนุ่มผิวสีแทน ร่างกายกำยำ มาสเตอร์สวมชุดวอร์มสีน้ำเงินเข้ม ยืนกอดอดกวาดสายตามองนักเรียนหน้าใหม่ก่อนจะเอ่ยเสียงดังว่า

"สวัสดีเด็ก ๆ ห้อง 4 ครูชื่อเฟอร์ดินาน เฟริสเซโร่ พวกเธอจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ตามสบาย ก่อนจะมาเริ่มบทเรียนกันนั้น ครูขอบอกไว้ก่อนว่าวิชานี้เน้นปฏิบัติ ไม่เน้นทฤษฎี การสอบก็สอบปฏิบัติ หากพวกเธอฝึกซ้อมและดูแลตัวเองไม่ดีพอ ย่อมมีผลต่อการเรียน วิชานี้เน้นให้พวกเธอไม่เกรงกลัวแวมไพร์ หากพวกมันเข้ามา พวกเธอจะได้ป้องกันตัวเองได้ ส่วนใครที่อยากสอบเป็นมือปราบ สามารถมาฝึกนอกรอบที่เข้มข้นขึ้นกับครูได้ เอาละ..ก่อนอื่นเรามาอบอุ่นร่างกายกันก่อน"

มาสเตอร์เฟอร์ดินานสาธิตท่าอบอุ่นร่างกายให้ทุกคนทำตาม บางคนทำได้คล่องแคล่ว บางคนทำได้บ้างไม่ได้บ้าง บางคนถึงกับร้องโอดโอยด้วยอาการเส้นตึง โคโกะนั้นเป็นอย่างแรก เพราะเขาเคยเรียนยิมนาสติก ฟันดาบและเทควันโด ทำให้ร่างกายของเขายืดหยุ่นมากกว่าคนอื่น ๆ ดวงตาสีฟ้าอ่อนใสหันไปมองเอลีนที่สามารถทำตามทุกท่าได้อย่างคล่องแคล่ว คล่องแคล่วยิ่งกว่าเขา ใบหน้าขี้เล่นมีรอยยิ้มประดับบ่งบอกถึงความสุขที่ก่อตัวขึ้น ร่างบางแอบลอบยิ้มออกมา อย่างน้อยเขาไม่ต้องเป็นห่วงว่าเพื่อนคนนี้จะหลับคาชั้นเรียน

"อบอุ่นร่างกายกันเสร็จแล้วใช่ไหม นี่คือคำแนะนำสำหรับครูว่าในช่วงพักกลางวันพวกเธอไม่ควรจะกินอิ่มจนเกินไป ควรพักผ่อยนอย่างน้อย 30 นาทีก่อนมาเรียนคาบนี้ และอบอุ่นร่างกายให้พร้อม คาบหน้าจะไม่มีการอบอุ่นร่างกายแบบนี้อีก ต่อไปจับคู่กัน" มาสเตอร์เอ่ยสั่ง

โคโกะย่อมคู่กับเอลีน เพราะเขาไม่มีเพื่อนสนิทคนไหนนอกเหนือจากเด็กหนุ่มคนนี้ ส่วนฝาแฝดไวส์แมนเขายังไม่จัดให้อยู่ในกลุ่มสนิท ถึงแม้จะไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่เขาไม่ได้แบ่งปันเรื่องราวส่วนตัวให้คู่นั้นเยอะเท่ากับเอลีน

ตุบ..เสียงเอลีนกวาดเท้าขัดขาโคโกะก่อนจะทุ่มร่างบางลงบนพื้นโดยกะระยะห่างให้ศีรษะกระทบพื้นน้อยที่สุด ทุกครั้งที่เขาทุ่มได้สำเร็จ เขาจะขอโทษขอโพยราวกับทำเรื่องร้ายแรงทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วร่างบางไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่เจ็บไม่ปวด โคโกะผ่านความเจ็บปวดมานักต่อนักแล้ว โดนทุ่มแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อีกอย่างเขาก็เป็นคนนึงที่เล่นกีฬา เขาย่อมรู้จุดปลอดภัยให้กับตัวเอง

"เอลีนต่อสู้ระยะประชิดเก่งเหมือนกันนะ" โคโกะเอ่ยหลังจากจบคาบเรียนศาสตร์การป้องกันตัว

"ฉันเหรอ ?" เอลีนเอ่ยพร้อมกับชี้ตัวเอง ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อเมื่อคนที่ตัวเองชื่นชมมาโดยตลอดเอ่ยปากชมเขา "ฉันชอบน่ะ.." เขาเอ่ยแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ แต่ก็ไม่สามารถรอดพ้นโสตประสาทที่ดีกว่ามนุษย์ของโคโกะได้

"ชอบ..นายชอบการป้องกันตัวระยะประชิดสินะ" โคโกะเอ่ย ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เขาว่าเอลีนนั้นเหมาะสมกับศาสตร์นี้ไม่น้อย

"ฉัน..ฉันฝันอยากไปแข่งกีฬากับนาย ก็เลยพยายามเล่นกีฬาหลายอย่าง แต่ทำได้ดีแค่เจ้านี้ ถึงอย่างนั้นนายกลับไม่เล่นซะได้" เอลีนเอ่ย เขายิ้มแหย ๆ ออกมาแก้อาการเขินของตัวเอง

"ไม่ต้องทำตามโคโกะทุกอย่างหรอก เอลีนเป็นแบบที่เอลีนเป็นน่ะดีแล้ว" โคโกะเอ่ยขณะเปลี่ยนเสื้อวอร์มมาเป็นชุดเครื่องแบบ ส่วนเอลีนนั้นขอใส่ชุดวอร์มเดินกลับหอเลย

"งั้นเหรอ ฉันคิดมาตลอดว่าถ้าทำตามนาย อาจจะได้เจอนายเข้าสักวันนึง" เอลีนเอ่ยแผ่วเบากับตัวเอง "เสร็จแล้วเหรอ ไปกันเถอะ..ฉันหิวแล้ว" เขากลับมาเป็นเอลีนที่สดใสตามเดิม เดินคู่กับโคโกะไปหาอะไรกินที่โรงอาหารก่อนกลับหอพัก

เมื่อดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ดวงจันทร์มาทำหน้าที่แทน บรรยากาศในหอพักเพเลสช่างเงียบสงบ โคโกะนอนหลับสนิท ร่างบางพลิกตัวตามมาด้วยเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ เอลีนค่อย ๆ ย่องอย่างแผ่วเบา เขาสวมเสื้อทะมัดทะแมง หยิบสลิงกี้มาคาดไว้รอบเอว เด็กหนุ่มเดินออกจากห้องไปเตรียมรับการฝึกฝนในคืนที่สอง..

.

.

เกลียวคลื่นกระทบชายฝั่งในยามค่ำคืน ณ เมืองโฮซูเร่ เมืองทางตอนใต้ของประเทศโรมานา ชาวประมงวัยชรากำลังจะนำเรืออกจากฝั่งเพื่อไปหาปลามาส่งตลาดในยามเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ในขณะที่เขากำลังเตรียมแหดักปลาอยู่ที่ริมชายหาดนั้นสายตาของเห็นอะไรบางอย่างถูกคลื่นซัดเข้าฝั่ง มันเป็นเงาตะคุ่ม ๆ สีดำ ด้วยความสงสัยจึงเดินไปดู มืออันเหี่ยวย่นเอื้อมไปพลิกดู ดวงตาที่ฝ้าฟางเหลือกโตขึ้นด้วยความตกใจ ศพ! มีศพคนพัดมาที่ริมชายหาด!! เขาวิ่งหนีสุดแรงเท่าที่มีไปสั่นระฆังอันใหญ่อยู่กลางหมู่บ้าน เสียงหง่างเหง่งของระฆังปลุกให้ชาวบ้านหลายคนออกมาจากบ้านเรือน หลายคนตะโกนด่าทอชายชราที่ริอาจมาทำลายช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน

"ศพ! ตรงนั้นมีศพ!" ชายชราเอ่ยพร้อมกับชี้นิ้วอันสั่นเทาไปมา ใบหน้าตกใจจนซีดเผือด

"ศพอยู่ที่ไหนล่ะ" หัวหน้าหมู่บ้านที่เป็นชายฉกรรจน์เอ่ยอย่างใจเย็น

"หยะ..อยู่ริมทะเล" ชายชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

"ถ้าอย่างนั้นทุกคนรออยู่ที่นี่ ฉันจะไปริมทะเลเอง" หังหน้าหมู่บ้านเอ่ยก่อนจะเดินไปริมชายหาดกับชายชราพร้อมด้วยตะเกียงน้ำมัน

เมื่อมาถึงชายทะเลแล้วนั้นชายชราพาไปยังจุดที่พบศพ หัวหน้าหมู่บ้านส่องตะเกียงไปในความมืด ฉับพลันเขาตกใจจนทำตะเกียงร่วงลงบนพื้นทราย ศพของชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วม สวมสูทสีน้ำตาล นอนคว่ำหน้ากับพื้น ดวงตาเบิกโพล่ง ปากอ้าค้าง ด้านหลังมีมีดเล่มยาวปักตรงบริเวณอกข้างซ้าย ทั้งสองคนรีบพากันหันหลังกลับในทันที

หัวหน้าหมู่บ้านรีบไปสั่นระฆังร้องเตือนให้สมาชิกหมู่บ้านล็อคประตูให้แน่นหนา เพราะไม่อาจทราบได้ว่าฆาตกรยังอยู่ในนี้หรือไม่ จากนั้นเขาจึงรีบกดโทรศัพท์โทรหาตำรวจในทันที

.

.

- หอพักโอราเดีย -

ห้องพักของทาคุยะไม่ได้ตกแต่งอะไรมากนัก มีเพียงนาฬิกา โต๊ะทำงาน ตู้หนังสือที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือหลายหมวดหมู่ เตียงนอนขนาดใหญ่ และโซฟาตัวยาวที่เบื้องหลังเป็นหน้าต่างบานใหญ่ เนื่องจากเขาเป็นลูกหลานของคนใหญ่คนโต ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องมีรูมเมท เขาได้ห้องพักที่ใหญ่ที่สุดมาโดยไม่ต้องเอ่ยปากขอ

ในเวลากลางคืนที่พระจันทร์ลอยเด่น เป็นช่วงเวลาของแวมไพร์ เขาค่อนข้างรู้สึกอึดอัดในช่วงแรก ๆ ที่ต้องออกมาใช้ชีวิตในช่วงเวลากลางวันเหมือนอย่างมนุษย์ แต่นั่นทำให้แวมไพร์มีจุดอ่อนน้อยลง จึงโดนกำจัดได้น้อยลงตามไปด้วย ชายหนุ่มเหยียบมีดสั้นขึ้นมา เขาแทงมันลงบนตราสัญลักษณ์อะไรบางอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะ จังหวะเดียวกันนั้นเองเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขายกหูรับสาย ปลายสายเป็นเสียงหวานใสน่าฟังเอ่ยว่า

[ จัดการให้แล้วนะ คราวนี้จะไม่มีใครสงสัยแน่นอน ]

"ขอบคุณมาก และขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียเวลา สึกิมิยะ" ทาคุยะกล่าวขอบคุณ

[ หวังว่าเจ้าพวกสุนัขนักล่าอย่างผู้สังเกตการณ์จะตามไม่เจอ ]

อัพเวลานี้อีกแล้วค่ะ ขอโทษที่มาอัพเลทบ่อย ๆนะคะ ไรท์เตอร์นี่นิสัยเสียจัง จะพยายามปรับการอัพให้ดีกว่านี้ค่ะ!! ขอบคุณสำหรับยอดวิวที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นะคะ ถ้ามีข้อติชมอะไร ทิ้งคอมมเนท์ไว้ได้เลยค่ะ

Starry_Aliscreators' thoughts