webnovel

Twilight memories : รักต้องห้ามชายาแวมไพร์

โคโกะ หนุ่มน้อยรูปงามผู้เติบโตมาด้วยความเกลียดชังในตัวแวมไพร์ เขาปฏิเสธทุกอย่างแม้กระทั่งสายเลือดที่อยู่ในตัวเองเฉกเช่นเดียวกับกลุ่มแวมไพร์ที่ปฏิเสธในตัวเขา ทว่าความงดงามของหนุ่มน้อยผู้นี้นั้นต่างสร้างความบ้าคลั่ง ความหลงใหลราวกับถูกมอมเมา เมื่อโตขึ้นเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ แต่เมื่อคืนเดือนมืดมาถึงในขณะที่เขากำลังปลูกต้นกุหลาบขาวนั้น เขาได้ถูกแวมไพร์ปริศนาฝังรอยเขี้ยวเอาไว้บนต้นคอ เลือดสีแดงสาดกระเซ็นลงบนกลีบกุหลาบสีพิสุทธิ์ การกระทำทุกอย่างผ่านไปเชื่องช้าราวกับเวลาถูกหยุด สิ่งสุดท้ายที่โคโกะสัมผัสได้ก่อนหมดสติคือน้ำเสียงนุ่มนวลชวนหลงใหลที่บอกราตรีสวัสดิ์กับเขา...

Starry_Alis · Fantasia
Classificações insuficientes
11 Chs

ธนูกับความลับในยามวิกาล

โคโกะกลับมาที่ห้องไม่เจอเอลีน เขารู้สึกสงสัยไม่น้อย เพราะก่อนออกไปซื้อเมล็ดพันธุ์นั้นเอลีนไม่ได้บอกว่าตัวเองมีธุระอะไร เพียงแค่ฝากเขาไปซื้อเท่านั้น แต่ด้วยความสงสัยบวกกับความเป็นห่วงเขาจึงกวาดสายตามองรอบห้องอีกครั้ง ทันใดนั้นพบกับกระดาษสีขาวบนโต๊ะทำงานของเอลีน ในนั้นเขียนด้วยลายมือหวัด ๆ ว่า

'ฉันมีธุระต้องออกไป ไม่รู้ว่าจะกลับมาตอนไหน นายนอนไปก่อนได้เลยนะ โคโกะ'

มีธุระอย่างนั้นเหรอ..ในเวลาแบบนี้เนี่ยนะ โคโกะรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่เอลีนจะมีธุระในยามวิกาล เพราะโดยสามัญแล้วทุกคนในโรมานามักจะไม่ออกมาเดินเตร่เป็นเหยื่อล่อให้แวมไพร์จับกิน ในกระดาษใบนี้ไม่ได้บอกว่าเพื่อนร่วมห้องของเขาไปที่ไหน แต่เขาคาดเดาไว้ว่าน่าจะเป็นเขตนอกโรงเรียน ถ้าอย่างนั้นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอาจจะเห็นก็ได้ ถ้าเขาลองไปถาม อาจจะยังพอตามหาได้ ว่าแล้วร่างบางจึงวิ่งพรวดออกมาจากห้องในทันทีพร้อมอุปกรณ์เสริมที่คุณโรเวลเลือกมาให้เขา..

ขณะที่อีกคนกำลังร้อนใจเอลีนกำลังทำใจให้นิ่งที่สุด เขาเหวี่ยงสายเอ็นจากสลิงกี้ที่ส่วนปลายติดตะขาเกี่ยวสามหัวเอาไว้ เขากดปุ่มตรงหน้าปัดให้สลิงกี้หมุนเก็บขดลวดด้วยความเร็วส่งผลให้ร่างสูงถูกดึงเข้าหาต้นไม้ใหญ่ แต่ด้วยความไม่คล่องมือมากนัก ทำให้เขาเสียสูญ ตกลงมาจากต้นไม้โดนกิ่งไม้ใบไม้บาดหน้าเป็นแผลเส้นริ้ว เลือดไหลซิบ

"ถือว่าทำได้ดีในฐานะมือใหม่ วันนี้พอแค่นี้แล้วกัน" ชายร่างยักษ์เอ่ยเมื่อเห็นว่าเอลีนทำได้ดีไม่น้อยในฐานะมือใหม่ ถือว่าเรียนรู้ไวเลยทีเดียว

"ขอบคุณมากนะครับ" เอลีนเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง เขาเก็บสลิงกี้เข้ากระเป๋ากางเกง แล้วแยกย้ายกับชายร่างยักษ์ปราศจากคำจากลา เพราะดูเหมือนทางนั้นคงไม่ได้คิดเรื่องนี้เหมือนกัน

เด็กหนุ่มเดินเอื่อย ๆ ไปตามทางเดินยาวทอดสู่เขตหอพักเผ่ามนุษย์ ตามรายทางมีพุ่มดอกกุหลาบหลากสีสันส่งกลิ่นหอมคู่กับเสาไฟสีแดงโกเมนสลับกับเหลืองบัตเตอร์มิลค์ ในหัวของเขาคิดเรื่องเรื่อยเปื่อยไม่มีคำตอบ เพราะเพิ่งผ่านการฝึกฝนหนักมา ให้ตายสิ..พี่ชายคนนั้นไม่คิดจะผ่อนปรนให้เขาเลยสักนิดทั้งที่เป็นวันแรก

"นาย..นายชื่อว่าอะไรเหรอ" เสียงเย็นยะเยือกชวนขนหัวลุกดังขึ้นจากทางด้านหลังของเอลีน

"เอลีน บาร์เบอร์น่ะ" เอลีนเอ่ยโดยไม่หันมามอง และนั่นเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของเขา

เด็กหนุ่มหน้าซูบ ร่างกายผอมโซกอดเอลีนแน่นจากทางด้านหลัง เขี้ยวสีขาวยาวเผยออกมาจากริมฝีปากสีดำบ่งบอกว่าเขาคือแวมไพร์ เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเตรียมฝังเขี้ยวลงบนซอกคอของเด็กหนุ่มผู้โชคร้าย เขาได้กลิ่น ได้กลิ่นตั้งนานแล้ว กลิ่นเลือดลอยโชยมาจากลานฟอนตานา เขาจึงดักซุ่มอยู่หลังพุ่มดอกกุหลาบ เพราะคำนวณไว้แล้วว่าเจ้าของกลิ่นเลือดอันแสนหอมหวานจะต้องเดินผ่านทางนี้เพื่อกลับหอพัก

"ปล่อยนะเว้ย!" เอลีนพยายามดิ้นขัดขืน แต่เขาก็ถูกล็อคคอแน่นจนเกินไป ปลายนิ้วเริ่มเกิดอาการชาไล่ขึ้นมาทีละน้อย

"อา..ยิ่งขัดขืน เลือดในตัวเธอยิ่งพลุ่งพล่านตามอารมณ์ มันหอมมากเลยละ ดิ้นอีกสิ ดิ้นอีก" แวมไพร์ผู้บ้าคลั่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงชวนขนหัวลุก เขาหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นเด็กหนุ่มในอ้อมแขนดิ้นรนเอาชีวิตรอด เพราะเลือดที่เกิดจากการถีบตัวดิ้นรนหนีความตายมีรสชาติอร่อยมากกว่าเลือดปกติเป็นไหน ๆ เขาอยากให้เด็กคนนี้ดิ้นรนมากกว่านี้ หยาดเลือดจะได้ยิ่งโอชะมากยิ่งขึ้น

"ปล่อยเขา ไอ้แวมไพร์โสโครก!"

เสียงปริศนาเอ่ยมาจากทางด้านหลัง ชั่วพริบตาเดียวนั้นเอลีนสัมผัสได้ถึงหยาดโลหิตสีดำที่ไหลซึมทะลุเสื้อของเขา ด้วยความตกใจเขาสะดุ้งสุดขีดพร้อมกับใช้ขาถีบแวมไพร์ตัวนั้นออกมา ร่างของแวมไพร์ที่กำลังหิวกระหายโงนเงนไปมาราวกับต้นหญ้าต้องลม แต่ด้วยสัญชาตญาณดิบที่เข้ามาแทนที่มันจึงวิ่งพุ่งตรงมายังเอลีนทั้งที่มีลูกธนูปักทะลุกลางอก ปลายเล็บยาวแลดูน่ากลัวห่างจากดวงตาสีน้ำตาลไม่กี่เซนติเมตร เมื่อลืมตาขึ้นมาเขาพบว่ากลางหน้าผากของแวมไพร์ตนนั้นมีลูกธนูเสียบทะลุออกมา หัวธนูเป็นก้อนอัญมณีสีแดงเจียระไนมาอย่างดี ร่างของแวมไพร์ตนนั้นเกิดไฟลุกโชนแผดเผาไปทั่วทั้งร่าง เสียงกรีดร้องของมันหวีดแหลมประสานกับเสียงลมพัดแรงชวนให้ทางเดินกลับหอพักเหมือนกับทางเดินไปสุสานมากกว่า

"ขอบใจนะ" เอลีนเอ่ย เขามองไม่เห็นบุคคลที่ช่วยชีวิตเขาเพราะแสงจากเสาไฟไม่เพียงพอ อีกทั้งคน ๆ นั้นยังอยู่ในจุดอับแสงอีกด้วย เขาตั้งใจจะหันหลังเดินต่อ แต่กลับถูกกระชากคอเสื้อเอาไว้อย่างแรง

"ออกมาเวลานี้ทำไม!?" โคโกะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองสุดชีวิต

"โคโกะ! นายเองเหรอเนี่ย!" เอลีนเอ่ยด้วยความตกใจพลางมองคันธนูในมือของเพื่อนสนิท "นายยิงธนูได้!"

"เรื่องนั้นช่างมันก่อน แต่นายออกมาข้างนอกทำไม จำที่มาสเตอร์ลูคัสบอกไม่ได้เหรอว่าช่วงเวลา 4 ทุ่มคือ 15 นาทีที่ความมืดคลืบคลานน่ะ! เวรยามกำลังจะผลัดเปลี่ยน นายมีแผลบนใบหน้า..อย่างนี้นี่เอง เลือดของนายไหลออกมาสินะ พวกแวมไพร์น่ะมีประสาทสัมผัสไวต่อกลิ่นเลือดเป็นพิเศษ อีกทั้งยังเคลื่อนไหวได้เร็ว ช่วงเวลา 15 นาทีก็เพียงพอที่พวกมันจะดูดเลือดจากเหยื่อเพื่อระงับความกระหาย แต่ดูจากสภาพของเจ้าตัวเมื่อกี้แล้วคงจะเป็นแวมไพร์ที่เคยเป็นมนุษย์ และคงจะอดเลือดมาได้สักระยะแล้วละ" โคโกะเอ่ยขณะก้มลงไปดึงอัญมณีสีแดงที่ถูกใช้เป็นหัวธนูออกมา เขาใช้ผ้าเช็ดหยาดเลือดสีดำก่อนจะนำมันไปใส่เป็นหัวธนูของลูกธนูอันอื่น

"ที่นี่รับแวมไพร์ที่เคยเป็นมนุษย์มาเข้าเรียนด้วยเหรอ" เอลีนเอ่ยด้วยความสงสัย เขาเคยได้ยินมาว่าไบรอันนาคัดเลือกนักเรียนแวมไพร์เป็นพิเศษด้วยหลักการที่เป็นความลับ นักเรียนแวมไพร์ส่วนใหญ่อาจจะมาจากตระกูลผู้ดีที่มีสายเลือดแวมไพร์เข้มข้น

"ไม่รู้เหมือนกันว่าหลุดเข้ามาได้ยังไง" โคโกะเอ่ย "รีบกลับเข้าหอกันเถอะ" เขาเอ่ยเมื่อได้ยินเสียงส้นเท้าหนัก ๆ ของเวรยามที่น่าจะผลัดเปลี่ยนเสร็จแล้ว

ยามสวมเครื่องแบบรีบเดินมาเมื่อได้กลิ่นเหม็นไหม้ลอยโชยมากับสายลม แต่เมื่อมาถึงพวกเขากลับพบกับเด็กหนุ่มร่างสูงผมสีส้ม และเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลไฮไลท์สีแดง ยามทั้งสองพากันถอยฝีเท้าเมื่อสัมผัสได้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคือแวมไพร์ผู้มีฉายาว่ารัตติกาลอันสูงส่ง แวมไพร์ชั้นสูงที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งมากที่สุด พวกเขาก้มหัวทำความเคารพก่อนรีบวิ่งออกไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นบริเวณนั้นมาก่อน

"รอยไหม้ อัญมณีอัคคีงั้นเหรอ" เด็กหนุ่มผมสีส้มเอ่ย "แต่ไม่เจอตัวอัญมณีเลยนะ"

"คงถูกเก็บกลับไปด้วย" เด็กหนุ่มผมทำไฮไลท์สีแดงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบนาบพร้อมกับหยิบชุดนักเรียนสีแดงโกเมนที่ไหม้ไฟจนเป็นคราบเขม่าสีดำ

"แต่ไม่เก็บลูกธนูกลับไปเนี่ยนะ" เด็กหนุ่มผมสีส้มเอ่ย มีแค่หัวธนูที่เป็นอัญมณีถูกเก็บกลับไปเท่านั้น หมายความว่ายังไงกันแน่..

"คาซึฮะ ฉันว่านี่เป็นการป้องกันตัวมากกว่าเป็นการฆ่า"

"เซธ นายดูตรงไหนว่าเป็นการป้องกันตัว เก็บหัวธนูที่เป็นอัญมณีกลับไป ไม่ใช่ว่าพยายามลบหลักฐานรึไง" เด็กหนุ่มผมสีส้มนาม 'คาซึฮะ' เอ่ยกับเด็กหนุ่มผมไฮไลท์สีแดงนาม 'เซธ'

"ไม่หรอก ถ้าต้องการลบหลักฐาน น่าจะเก็บลูกธนูไปด้วย" เซธเอ่ยขณะหยิบลูกธนูขึ้นมา

"ดูเหมือนเจ้าหมอนี่จะเป็นแวมไพร์ที่เคยเป็นมนุษย์" คาซึฮะเอ่ยเมื่อหยิบชุดนักเรียนขึ้นมาดู ตรงบริเวณอกเสื้อมีนาฬิกาพกสีเงินสลักนามสกุล 'วอลเกอร์' "ตระกูลวอลเกอร์งั้นเหรอ ถ้าจำไม่ผิด ลูกชายของเขาเป็นแวมไพร์เพราะฉันนี่แหละ" เด็กหนุ่มเอ่ยพลางนึกถึงเมื่อ 2 ปีที่แล้ว

ตระกูลวอลเกอร์เป็นตระกูลผู้ตรวจสอบแพรพรรณในคลังของคนในรัฐสภา เพราะอยากให้ตัวเองดูสูงส่งใกล้ชิดกับคนระดับสูง หัวหน้าตระกูลวอลเกอร์ตัดสินใจส่งลูกชายของตัวเองมาให้เขาเพื่อทำให้กลายเป็นแวมไพร์ ตามหลักพันธะสัญญาแล้วนั้นหากแวมไพร์ตนไหนทำให้มนุษย์ต้องกลายเป็นแวมไพร์ ตระกูลแวมไพร์นั้นจะต้องเลี้ยงดูอุปถัมภ์แวมไพร์ที่เคยเป็นมนุษย์ตัวดังกล่าว ด้วยเหตุนั้นตระกูลคอลลินจึงรับแอคเคอร์ลีย์ วอลเกอร์มาดูแล และให้คอยรับใช้เขากับโคเมย์ที่เป็นญาติกัน แต่ช่วงหลังมานี้เขาเห็นแอคเคอร์ลีย์มีท่าทีแปลกไป ร่างกายซูบผอม เดาได้ไม่ยากว่าเจ้าตัวอดเลือด แต่เขาไม่เคยให้อีกฝ่ายอดเลือดมาก่อนนี่น่า อย่าบอกนะว่าเจ้าตัวอดเอง ถ้าอย่างนั้นคงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

"เอาของพวกนี้กลับไปให้ท่านทาคุยะดูแล้วกันเผื่อท่านจะมีความคิดดี ๆ" คาซึฮะเอ่ย เขาเก็บเสื้อนักเรียนของแอคเคอร์ลีย์กลับหอพักไปด้วย

.

.

เขตหอพักของแวมไพร์ประกอบไปด้วยหอพักพาราทู หอพักโอราเดีย หอพักคูซิโน่ และหอพักซีทาที ทั้ง 4 หอพักนั้นเชื่อมต่อกันด้วยทางเชื่อม ตรงกลางเป็นสวนดอกไม้ที่ใจกลางเป็นรูปหล่อโลหะแวมไพร์ที่ถูกไม้กางเขนปักลงบนกลางอก เป็นสัญลักษณ์ว่าครั้งหนึ่งมนุษย์เคยมีความเชื่อว่าแวมไพร์พ่ายแพ้ต่อสัญลักษณ์พระเจ้า แท้จริงแล้วนั่นเป็นเรื่องแต่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย แวมไพร์ไม่ได้แพ้ไม้กางเขน แต่แพ้แสงแดด ซึ่งเรื่องนั้นได้รับการแก้ไขทางพันธุกรรมแล้วในอีกร้อยปีต่อมา

คาซึฮะและเซธกลับมาจากข้างนอกพร้อมเสื้อผ้าของแอคเคอร์ลีย์ เด็กหนุ่มผมสีส้มส่งชุดนักเรียนให้กับหัวหน้าแวมไพร์ที่ทุกคนในชั้นเรียนหรือแม้กระทั่งแวมไพร์ข้างนอกยังเคารพยำเกรง ทาคุยะ เบรค ทาคุยะรับชุดนักเรียนไหม้เกรียมมาพิจารณา

"ไม่ได้ฆ่าหรอก น่าจะเป็นการป้องกันตัว" ทาคุยะเอ่ย ซึ่งตรงกับที่เรนจิสันนิษฐานไว้ "แต่เขาตายด้วยอัญมณีอัคคีใช่ไหม โคเมย์" เขาเอ่ยถามแวมไพร์รุ่นน้องหนึ่งในกลุ่มรัตติกาลอันสูงส่ง

"คะ..ครับ ใช่แล้วครับ" โคเมย์เอ่ยตอบ เขาหวาดเกรงในตัวท่านทาคุยะมาแต่ไหนแต่ไร ดวงตาสีไพลินจ้องมองไปยังรอยไหม้บนเสื้อก่อนจะเอ่ยว่า "อัญมณีอัคคียิ่งราคาแพง พลังบริสุทธิ์ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น อัญมณีระดับทั่ว ๆ ไปไม่สามารถทำให้แวมไพร์ถึงตายได้ อย่างมากแค่ผิวหนังละลาย แต่นี่ถึงขั้นเผาไหม้จนไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่าน แปลว่าต้องเป็นอัญมณีที่มีพลังบริสุทธิ์สูงมาก ซึ่งมันต้องแพงมากเช่นกันครับ"

"นี่คือลูกธนูที่เก็บมาได้สินะ" เอย์จิเอ่ย เขารับลูกธนูมาพลิกไปพลิกมา "ตัวก้านทำจากเงินตีจนบาง นอกจากจะปราบแวมไพร์แล้ว ลูกธนูสามารถปราบมนุษย์หมาป่าได้ด้วย" เขาเอ่ยด้วยท่าทีสนใจ และไม่ทุกข์ร้อนกับการจากไปของอดีตนักเรียน

"แสดงว่ามีคนจากประเทศฟรองซัวร์มาเรียนที่นี่เหรอครับ" เซธเอ่ยด้วยความสงสัย แต่สีหน้ากลับปราศจากความสงสัย เรียบนิ่งจนอ่านไม่ออก

"ไม่มีเหตุผลที่คนจากฟรองซัวร์จะมาเรียนที่นี่ แล้วพกธนูมายิงปักหัวแวมไพร์หรอกนะ น่าจะเป็นคนของที่นี่ ส่วนลูกธนูที่ทำจากเงินน่าจะสั่งทำจากฟรองซัวร์มากกว่า" ทาคุยะเอ่ย ธนูจากฟรองซัวร์งั้นเหรอ..ต้องเป็นคนที่มีฐานะร่ำรวย ไม่ใช่แค่ร่ำรวย แต่ต้องมีเส้นสายด้วย เพราะประเทศฟรองซัวร์เข้มงวดกับสินค้าที่ทำจากเงินเป็นอย่างมาก อย่างที่รู้กันที่นั่นคือดินแดนของมนุษย์หมาป่า สิ่งมีชีวิตที่กลัวแร่เงินมากที่สุด "ผมจะแจ้งเรื่องนี้กับตระกูลวอลเกอร์เอง คาซึฮะ เธอไปแจ้งตระกูลคอลลิน แล้วบอกผมด้วยว่าเจ้าบ้านคอลลินจะรับมือกับเรื่องนี้ยังไง ผมว่าทางตระกูลวอลเกอร์ต้องไม่ยอมเฉยกับเรื่องนี้แน่" เขาเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นเดินจากไปด้วยฝีเท้าไร้เสียงกระทบพื้น

"เรื่องใหญ่แล้วไหมล่ะ" คาซึฮะเอ่ยด้วยท่าทีหนักใจขึ้นมาทันที ตระกูลวอลเกอร์อาจจะไม่ใช่ตระกูลเก่าแก่และร่ำรวย แต่แอคเคอร์ลีย์ที่เป็นทายาทเพียงคนเดียวดันมาตายลงด้วยฝีมือของใครก็ไม่รู้ แถมยังมาตายในเขตไบรอันนา เขตที่รับรองเรื่องความปลอดภัยของทั้ง 2 เผ่าพันธุ์ หากมีใครก็ตามแพร่งพรายออกไป เรื่องนี้ไม่จบแค่การชดเชยด้วยเงินตราหรือการปกปิดข่าวให้หายไปเงียบ ๆ แน่

"ร่าเริงกันเข้าไว้ อาจจะไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นก็ได้" เอย์จิเอ่ยให้ทุกคนไม่รู้สึกกดดันจนเกินไป

"ขอให้เป็นอย่างนั้นทีเถอะครับ" เซธเอ่ยก่อนจะเดินหายไปอีกคน เขาไม่เข้าใจว่าคุณเอย์จิมีอารมณ์ร่าเริงเข้าไปได้ยังไงในสถานการณ์ที่คุกกรุ่นแบบนี้

.

.

- หอพักเพเลส -

โคโกะแปะพลาสเตอร์ลวดลายน่ารักลงบนแก้มของเอลีน แถมท้ายด้วยการใช้นิ้วกดลงบนแผลจนเจ้าตัวร้องโอดโอยออกมา แต่กลับมายิ้มร่าภายในไม่กี่วินาทีถัดมา ช่างแตกต่างจากโคโกะที่มีสีหน้าบึ้งตึง ร่างบางหยิบถุงเมล็ดพันธุ์จากถุงกระดาษสีน้ำตาลโยนแปะหน้าเพื่อนสนิทอย่างแม่นยำ

"เมล็ดพันธุ์ของนาย มันคือต้นเกรเกอรัส เป็นพืชเวทที่เจริญเติบโตได้รวดเร็ว รสชาติหวาน ดัดแปลงพันธุ์ได้ง่ายเหมาะสำหรับมือใหม่" โคโกะอธิบายสรรพคุณเมล็ดพันธุ์

"นายเคยฝึกสัตว์วิเศษมาก่อนเหรอ โคโกะ ดูนายไม่ทุกข์ร้อนเลยนะ" เอลีนเอ่ย เรียนผ่านมา 2 วิชาเขารู้สึกว่าโคโกะไม่มีท่าทีรู้สึกเครียดกับวิชาไหนเลยเป็นพิเศษ ออกแนวทำได้ดีในทุกวิชาด้วยซ้ำไป

"ไม่เคยหรอก แต่โคโกะชอบปลูกต้นไม้น่ะ" โคโกะเอ่ยขณะหยิบเมล็ดพันธุ์ออกมาวางไว้บนเตียงเพื่อพิจารณาว่าจะปลูกพันธุ์ไหนดี

"นั่นมันกุหลาบขาวนี่" เอลีนเอ่ยขณะโผกระโดดมาคว้าเมล็ดพันธุ์ดอกกุหลาบขาวบนเตียงของโคโกะมาถือเอาไว้ "ไม่ใช่พืชเวทด้วย นายชอบเหรอ" เขาเอ่ยถามด้วยท่าทีสนใจ ถึงเขาจะบอกว่าตัวเองเป็นแฟนคลับของครอบครัวเบลินดา แต่นอกจากเกียรติยศและประวัติที่เผยแพร่บนหน้าสื่อแล้วนั้นข้อมูลอื่น ๆ เขาแทบไม่รู้เลยโดยเฉพาะข้อมูลของโคโกะ

"เอลีนคิดว่าดอกกุหลาบขาวเป็นสัญลักษณ์ของอะไร" โคโกะเอ่ยถามขึ้น ดวงตาสีฟ้าอ่อนใสจ้องเข้าไปยังดวงตาสีน้ำตาลร่างบางลุกขึ้นก้าวเดินมายังเอลีน

"เอ่อ..ฉันไม่ค่อยรู้ภาษาดอกไม้ซะด้วยสิ แต่สีขาวเหรอ..น่าจะหมายถึงความบริสุทธิ์ล่ะมั้ง" เอลีนเอ่ยตอบไปด้วยเดินถอยหลังไปด้วย ทว่าโคโกะยังไม่หยุดฝีเท้าที่ก้าวเข้ามา ทำให้เขาเซล้มลงบนเตียงโดยที่โคโกะเท้าแขนเอาไว้ ใบหน้างดงามเคลื่อนเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากร่างบาง เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันได้ใกล้ชิดกับคนที่ตัวเองชื่นชมมาตลอด เขาเพิ่งสังเกตได้ว่าริมฝีปากของโคโกะนั้นแดงสวยราวกับกลีบดอกสตรีสีชาด ดอกไม้แสนงดงามที่มีในเฉพาะประเทศโรมานาเท่านั้น

"บริสุทธิ์อย่างนั้นเหรอ.." โคโกะเอ่ยทวนคำของเอลีนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือน้อย ๆ ภาพในหัวของเขามีแต่เรื่องราวน่ารังเกียจอันห่างไกลคำว่าบริสุทธิ์ ร่างกายของเขาเคยถูกฉีกกระชากย่ำยีให้จมอยู่ฐานล่างสุดของสังคมนี้ เมื่อรุ่งอรุณมาถึงดอกกุหลาบสีขาวจะถูกส่งมาเป็นของปลอบใจให้กับเขาพร้อมกับการ์ดที่พรรณนาถึงตัวเขาเปรียบเปรยกับดอกกุหลาบสีขาว มันจึงกลายเป็นดอกไม้ที่ทั้งชอบและเกลียดในเวลาเดียวกัน ชอบเพราะมันเป็นเพื่อนของเขาเพียงอย่างเดียว เกลียดเพราะมันจะมาพร้อมกับความโหดร้ายในยามค่ำคืน

"นายเป็นอะไรน่ะ" เอลีนเอ่ยถามเมื่อเห็นดวงตาเศร้าสร้อยของโคโกะ

"มันเป็นเรื่องที่นานมากแล้ว" โคโกะเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ เขาผละออกจากเอลีนในทันที "ขอโทษที่ทำให้ตกใจ"

"เดี๋ยวก่อนโคโกะ" เอลีนเอ่ยขึ้น "ถ้ามีเรื่องอะไรที่นายอยากเล่าให้ฉันฟัง นายเล่าให้ฉันฟังได้นะ" เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

"ขอบคุณนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น โคโกะจะเล่าให้ฟังแล้วกัน" โคโกะเอ่ยก่อนจะจัดที่นอนให้ตัวเอง

เล่าให้ฟังอย่างนั้นเหรอ..ใครมันจะทนฟังเรื่องราวอัปยศอดสูแบบนั้นได้กันต่อให้เป็นคนสดใสอย่างเอลีนก็ตาม เรื่องนั้นน่ะฝังมันลงไปอดีตน่ะดีแล้ว แต่ทำไมกันนะ..มันถึงกลับมาทิ่มแทงหัวใจของเขาอยู่เรื่อยไป

"โคโกะ ฉันมีเรื่องจะถามนายอยู่น่ะ" เอลีนเอ่ย เด็กหนุ่มเดินไปคว้าคันธนูสีเงินมาถือเอาไว้ "นายยิงธนูเป็นด้วยเหรอ"

"เรื่องนั้นน่ะเหรอ เพราะว่าโคโกะเป็นลูกชายของผู้สังเกตการณ์ พ่อกับแม่บอกว่าจะได้ไม่ถูกพวกแวมไพร์ทำร้ายน่ะ เพราะมีหลายครั้งที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว" โคโกะเอ่ยตอบ "แต่ว่าพวกหัวธนูที่เป็นอัญมณีเป็นของขวัญที่เพิ่งได้มาไม่นานนี้ ถ้าเราเรียนศาสตร์การป้องกันหรือเวทมนตร์อาจจะได้เรียนเกี่ยวกับอัญมณีพวกนี้ เพราะอัญมณีแต่ละธาตุสามารถดัดแปลงเป็นอาวุธได้แตกต่างกันไป เอาเป็นว่ามันมีธาตุ 7 ธาตุกับอีก 3 แร่แล้วกัน" เขาอธิบายแบบง่าย ๆ ให้เอลีนเข้าใจ เพราะคาบเรียนที่จะถึงนี้คงได้เรียนกัน มาสเตอร์ต้องปูพื้นฐานอยู่แล้ว

"อย่าอมพะนำไว้คนเดียวสิ ชิ..ฉันไปนั่งเรียนเอาในห้องเรียนเองก็ได้" เอลีนเอ่ยอย่างแง่งอน

"ถ้าแอบหลับละน่าดู" โคโกะเอ่ยคาดโทษเอาไว้ "ไม่สอนย้อนหลังให้หรอกนะ นี่..เอลีน สัญญากันก่อนได้ไหม สัญญาว่าจะไม่ออกจากห้องเหมือนวันนี้อีก" เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"อื้อ แน่นอน ฉันจะไม่ออกจากห้องเหมือนอย่างวันนี้อีก" เอลีนรับคำ แน่นอนว่าเขาไม่ทำตาม ขอโทษนะโคโกะ แต่เขาต้องทำเพื่อเงินจริง ๆ

.

.

วันต่อมาทั่วทั้งโถงทางเดินเต็มไปด้วยเสียงกระซิบกระซาบเมื่อได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากห้องทำงานอาจารย์ใหญ่เนโรตั้งแต่ยังไม่เริ่มคาบเรียน เสียงที่กำลังเอะอะโวยวายนั้นคือเสียงของแอชลีย์ วอลเกอร์ เจ้าบ้านวอลเกอร์ และพ่อของแอคเคอร์ลีย์ เขาทุบโต๊ะเสียงดังสนั่น ใบหน้าฉายแววโกรธจัด

"อาจารย์ใหญ่เนโร นี่มันหมายความว่ายังไง ทำไมลูกชายที่น่ารักของผมถึงถูกฆ่าตายที่นี่!" แอชลีย์เอ่ยเสียงดังลั่น เขาโกรธจนแทบจะปีนขึ้นไปตะคอกใส่อาจารย์ใหญ่ได้ทุกเมื่อ

ภายในห้องทำงานอาจารย์ใหญ่เนโรตอนนี้มีครอบครัววอลเกอร์ทั้งเจ้าบ้านและภรรยา แต่ยังคงปราศจากเงาของตระกูลคอลลินหรือตระกูลอันโดะ ยิ่งทำให้แอชลีย์เจ็บแค้นใจมากกว่าเดิม ส่วนคุณนายบ้านวอลเกอร์เอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้น ในขณะที่อาจารย์ใหญ่เนโรพยายามทำให้แอชลีย์สงบสติลง เขามีใบหน้าเจื่อนสนิท แหงละ..ไม่เคยมีเหตุนักเรียนเสียชีวิตในไบรอันนามาก่อน เพราะฉะนั้นมันไม่ต่างจากการการันตีว่าที่นี่ปลอดภัย เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนสั่นคลอนความปลอดภัยนี้

"แอชลีย์ ใจเย็นซะ" น้ำเสียงเย็นเยียบของบุคคลที่ไม่คิดว่าจะปรากฎตัวเอ่ยขึ้น

"ท่านทาคุยะ นี่มันหมายความว่ายังไง ทำไมลูกชายของผมที่อยู่ภายใต้การดูแลของตระกูลคอลลินถึง.." แอชลีย์เอ่ยยังไม่ทันจบประโยค เขาพลันร้องไห้โฮออกมา

"แอคเคอร์ลีย์พยายามอดเลือดมาหลายวันแล้ว" ทาคุยะเอ่ยพร้อมกับวางภาพถ่ายหญิงสาวจากกล้องฟิล์มลงบนโต๊ะของอาจารย์ใหญ่เนโร "จากการตรวจสอบเมื่อวานมีความเป็นไปได้ว่าเขากำลังมีความรักกับมนุษย์ จึงคิดจะปกปิดสถานะแวมไพร์ที่เคยเป็นมนุษย์ของตัวเอง จากการสันนิษฐานเขาน่าจะอดเลือดมาไม่ต่ำกว่า 3 เดือน และเมื่อคืนเขาได้โจมตีนักเรียนมนุษย์คนหนึ่ง แต่นักเรียนคนดังกล่าวป้องกันตัวด้วยธนูทำจากเงินและอัญมณีอัคคี" เขาวางลูกธนูที่ทำจากเงินลงบนโต๊ะ

"เราสันนิษฐานว่าคนที่ยิงธนูใส่แอคเคอร์ลีย์นั้นมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย มีเส้นสาย และต้องมีฝีมือไม่น้อย" คาซึฮะที่เพิ่งมาถึงเอ่ย

"มันเป็นใครกัน!? ผมจะแจ้งต่อสภากลาง! เรื่องนี้จะไม่จบง่าย ๆ แน่" แอชลีย์เอ่ยด้วยความแค้นท่วมท้นอก

"เพราะตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ เพราะฉะนั้นขอให้ท่านวอลเกอร์สบายใจ ผมจะลงมือตรวจสอบด้วยตัวเอง" อาจารย์ใหญ่เนโรเอ่ยเมื่อสบโอกาสพอเหมาะ

"ผมจะมั่นใจได้ยังไงว่าทางโรงเรียนจะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง พวกคุณก็รู้ว่าผมสนิทกับคนในรัฐสภามากแค่ไหน ถ้าผมไม่ได้รับคำตอบภายในวันพรุ่งนี้ ผมจะแจ้งให้คนของรัฐสภามาตรวจสอบทุกซอกทุกมุมของที่นี่!" แอชลีย์กล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินกระฟัดกระเฟียดออกจากห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่ไปพร้อมกับภรรยาที่ยังคงเศร้าโศกไม่หาย

"พรุ่งนี้อย่างนั้นเหรอ..โอหังจังเลยนะ เป็นแค่พ่อค้าขายผ้าแท้ ๆ" โคเมย์เอ่ยอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นท่าทีอวดดีของแอชลีย์

"พรุ่งนี้อย่างนั้นเหรอ แค่คืนนี้ก็เพียงพอแล้ว ใช่ไหม..ทาคุยะ" เอย์จิเอ่ยอย่างรู้ทันทาคุยะที่มีสีหน้าเรียบนิ่ง คาดเดาอะไรไม่ได้สักอย่าง

ทาคุยะไม่เอื้อนเอ่ยอะไรออกมา เขาเดินออกจากห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่เนโรไป นักเรียนเผ่ามนุษย์ที่แอบดูกันอยู่ด้านนอกพากันแหวกทางให้เขาเดิน เมื่อคล้อยหลังไปจึงพากันซุบซิบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ชั่วขณะที่เขากำลังเดินเพื่อไปยังปราสาทฝั่งตะวันตกนั้นเขาพบกับเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลที่กำลังใช้ร่างกายสูงใหญ่ของตัวเองกำบังใครบางคนเอาไว้ เขามองผ่านเข้าไป จึงเห็นว่าเป็นเด็กหนุ่มผู้มีดวงตาสีฟ้าอ่อนใสคนเดียวกับที่เขาอยากจะพูดคุยด้วยเมื่อวานนี้..

อัพเหมือนคนไม่รู้จักเวลานอน 555+ ตอนนี้เนื้อเรื่องเริ่มเข้มข้นขึ้นมาบ้างแล้วค่ะ ความสัมพันธ์ตัวละครเริ่มยุบยับมากขึ้น หลังจากนี้จะมีตัวละครใหม่ ๆ เข้ามาเรื่อย ๆ ค่ะ รีดเดอร์ช่วยมอบความรักให้กับพวกเขาด้วยนะคะ >< สำหรับวันนี้ขอบคุณสำหรับยอดวิวค่ะ จะพยายามผลิตผลงานออกมาเยอะ ๆ เลยค่ะ

Starry_Aliscreators' thoughts