webnovel

Twilight memories : รักต้องห้ามชายาแวมไพร์

โคโกะ หนุ่มน้อยรูปงามผู้เติบโตมาด้วยความเกลียดชังในตัวแวมไพร์ เขาปฏิเสธทุกอย่างแม้กระทั่งสายเลือดที่อยู่ในตัวเองเฉกเช่นเดียวกับกลุ่มแวมไพร์ที่ปฏิเสธในตัวเขา ทว่าความงดงามของหนุ่มน้อยผู้นี้นั้นต่างสร้างความบ้าคลั่ง ความหลงใหลราวกับถูกมอมเมา เมื่อโตขึ้นเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ แต่เมื่อคืนเดือนมืดมาถึงในขณะที่เขากำลังปลูกต้นกุหลาบขาวนั้น เขาได้ถูกแวมไพร์ปริศนาฝังรอยเขี้ยวเอาไว้บนต้นคอ เลือดสีแดงสาดกระเซ็นลงบนกลีบกุหลาบสีพิสุทธิ์ การกระทำทุกอย่างผ่านไปเชื่องช้าราวกับเวลาถูกหยุด สิ่งสุดท้ายที่โคโกะสัมผัสได้ก่อนหมดสติคือน้ำเสียงนุ่มนวลชวนหลงใหลที่บอกราตรีสวัสดิ์กับเขา...

Starry_Alis · Fantasia
Classificações insuficientes
11 Chs

การฝึกฝนยามรัตติกาล

เช้าวันแรกของการเรียนการสอนนักเรียนชั้นแลนเฌียนห้อง 4 มีอาการสะลึมสะลือ คาบแรกเป็นวิชาประวัติศาสตร์เบื้องต้นของมาสเตอร์โดมนิเตอร์ บานประตูห้องแห่งการหวนคืนถูกเปิดออก ชายหนุ่มร่างสูง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ไว้หนวดเคราสีดำ เขาวางแฟ้มลงบนโต๊ะก่อนจะเอ่ยทักทายว่า

"สวัสดีเด็ก ๆ ห้อง 4 วันนี้เป็นวันแรกของการเรียนการสอน ครูชื่อโดมนิเตอร์ คูซาอิน รับผิดชอบประวัติศาสตร์เบื้องต้น ก่อนจะเริ่มเรียนกันครูมีคำถามพวกเธอเสนอความคิดเห็น พวกเธอคิดว่าประวัติศาสตร์ที่เรียนกันมาตลอดนั้นเป็นความจริงหรือไม่" มาสเตอร์โดมนิเตอร์เกริ่นคำถามที่ทำเอานักเรียนทุกคนงงไปตาม ๆ กัน ประวัติศาสตร์ที่เรียนมาต้องผ่านตากระทรวงศึกษาธิการมาก่อนบรรจุลงในตำราเรียน แน่นอนว่ามันต้อง..

"เป็นความจริงสิครับ" เอลีนยกมือขึ้นตอบ "ก่อนจะบรรจุอยู่ในหลักสูตร เนื้อหาต้องผ่านตากระทรวงศึกษาธิการมาก่อน แถมเนื้อหายังเขียนด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทั้งนั้น ผมเชื่อว่าพวกเขาคงไม่แถข้าง ๆ คู ๆ กันหรอก"

"ถือเป็นคำตอบที่ดีเลย ไม่ทราบว่าเธอชื่ออว่าอะไรนะ" มาสเตอร์โดมนิเตอร์พูดด้วยท่าทางสนใจในคำตอบของเอลีน

"เอลีน บาร์เบอร์ครับ" เอลีนเอ่ยชื่อตัวเอง มาสเตอร์โดมนิเตอร์พยักหน้าเข้าใจก่อนจะเอ่ยต่อว่า

"จากคำตอบของคุณบาร์เบอร์ ครูมีคำถามต่อว่าพวกเธอรู้จักตำนานแวมไพร์ตัวแรกของโลกใบนี้รึเปล่า" มาสเตอร์โดมนิเตอร์เอ่ย "ถ้ารู้จัก อยากให้ลองแบ่งปันกับเพื่อน ๆ เกี่ยวกับข้อมูลที่ได้มา ก่อนตอบอย่าลืมเอ่ยชื่อเหมือนเดิมนะ"

"พลัมเมอร์ พอร์ตแมนครับ ผมเคยอ่านเจอว่าแวมไพร์ตัวแรกเกิดขึ้นจากการปรับเปลี่ยนทางพันธุกรรมในช่วงเกิดสงครามและโรคระบาดเมื่อหลายร้อยปีก่อน เดิมทีเขาเป็นมนุษย์ แต่ร่างกายปรับเปลี่ยนเพื่อตอบสนองต่อภาวะอดอยาก เขาต้องดื่มเลือดเพื่อประทังชีวิต หลังจากได้ดื่มติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ร่างกายของเขาจึงเปลี่ยนแปลงไป ไม่สามารถรับอาหารอย่างอื่นได้อีกนอกจากเลือด" พลัมเมอร์เอ่ยตอบ

"แรนดอล เรย์โนลครับ ผมเคยฟังจากคุณย่าว่าแวมไพร์ตัวแรกเป็นคู่ชายหญิง พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน เดิมทีเป็นเพียงมนุษย์ที่ถูกนำมาทดลอง แต่การทดลองดันผิดพลาด พวกเขามีสติปัญญาเหนือมนุษย์ และฆ่าทุกคนในฐานการทดลองจนหมดก่อนจะหนีออกมา ว่ากันว่าแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์ตระกูลเบรคสืบทอดสายเลือดมาจากแวมไพร์เพศชาย ส่วนตระกูลสายผู้หญิงคือตระกูลไลฟ์ลี่" แรนดอลเอ่ยตอบ แน่นอนว่าสิ่งที่เขารับรู้มาคล้ายคลึงกับพลัมเมอร์ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย

"เซนแยร์ เซลเลอร์ครับ ผมได้ยินมาว่าแวมไพร์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มาจากมิติอื่น พวกเขาสามารถเดินทางข้ามมิติได้" เซนแยร์เอ่ยตอบ

นักเรียนในชั้นต่างทยอยยกมือตอบคำถามของมาสเตอร์โดมนิเตอร์ หลายคนหลากเรื่องราวถูกถ่ายทอดออกมา เมื่อเห็นว่าได้คำตอบมาเยอะพอสมควรแล้วนั้น มาสเตอร์โดมนิเตอร์จึงแสดงท่าทางให้นักเรียนเงียบเสียงลง จากนั้นเขาจึงเอ่ยว่า

"เห็นไหมว่าเพียง 1 เรื่องราวอาจจะมีคำบอกเล่าได้เป็นร้อย ประวัติศาสตร์ก็เช่นเดียวกัน เรารู้เรื่องราวผ่านหลักฐานที่หลงเหลืออยู่ เรารู้ว่าคนในยุคนั้นกินอยู่ยังไง สภาพสังคมเป็นเช่นไร แต่ไม่ได้แปลว่าทุกอย่างจะถูกต้องไปเสียหมด ประวัติศาสตร์เหมือนกับการคาดเดามีทั้งผิดและถูก เพราะฉะนั้นชั้นเรียนของครูจึงไม่คิดให้พวกเธอท่องจำเพื่อสอบเพียงอย่างเดียว แต่เราจะมาพูดคุยมุมมองของพวกเธอต่อเรื่องราวเหล่านี้"

"น่าสนใจดีนะ ว่าไหม" โคโกะเอ่ยกับเอลีน ดวงตาสีฟ้าอ่อนใสเปล่งประกายเมื่อรู้ว่าการเรียนการสอนไม่ได้เน้นการท่องจำเพียงอย่างเดียว มือบางเอื้อมมือไปสะกิดเพื่อนสนิท แต่ไม่มีสัญญาณตอบกลับมา จึงหันไปดูพลันพบว่าเอลีนหลับคาโต๊ะเรียนไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย เขาถอนหายใจยาวออกมา มือแบบางฟาดลงบนไหล่ของเอลีนหนึ่งป้าบเล่นเอาเจ้าตัวสะดุ้งตื่นขึ้นมา

"อะไรกันเนี่ย คนกำลังหลับสบาย" เอลีนบ่นกระปอดกระแปด

"เดี๋ยวก็ถูกหักคะแนนกันพอดี" โคโกะเอ่ยเตือนเอลีน ในขณะที่ทั้งคู่กำลังส่งสายพิฆาตใส่กันและกันมาสเตอร์โดมนิเตอร์เรียกเอลีนอีกครั้ง

"เอาละ คุณบาร์เบอร์ ครูอยากให้เธอลองทายเล่น ๆ ว่าวิชาของเราจะเริ่มที่ตรงไหน"

"อา..เอ่อ" เอลีนมีท่าทีลนลานขึ้นมาทันที เขาหันไปขอความช่วยเหลือจากโคโกะ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือสายตาล้อเลียนและใบหน้ากลั้นขำ แย่ละสิจะตอบว่ายังไงดี วิชานี้คือประวัติศาสตร์เบื้องต้น คงจะเรียนประวัติศาสตร์ทั่ว ๆ ไปล่ะมั้ง "เอ่อ..เรียนตั้งแต่ยุคหินเลยรึเปล่าครับ" เด็กหนุ่มเอ่ยตอบด้วยท่าทีไม่มั่นใจ

"ถูกต้อง เราจะเรียนกันตั้งแต่ยุคหินยาวเลยมาจนถึงยุคปัจจุบัน แต่เราจะเรียนภาพรวมเท่านั้น ไม่เน้นจุดใดเป็นพิเศษ หากต้องการรู้ลึกมากขึ้นพวกเธอจะได้เจอในชั้นโดนิด และหากอยากรู้เป็นพิเศษเฉพาะเจาะจงประเทศใดประเทศหนึ่งพวกเธอจะได้เรียนรู้เมื่อเรียนหมุนเวียนในชั้นโบโซนิดขึ้นไป เอาละ..เรามาเริ่มกันที่ยุคหินเก่า"

บรรยากาศการเรียนเริ่มต้นขึ้น มาสเตอร์โดมนิเตอร์เปิดเครื่องฉายภาพ ซึ่งเมื่อกดปุ่มสีทองด้านข้างกระดานดำแล้วนั้น กระดานดำจะยุบตัวเข้าไปในกำแพง กระจกจะเข้ามาแทนที่ กลายเป็นแผ่นสะท้อนภาพฉายให้กับเครื่องฉาย ภาพที่สะท้อนลงบนแผ่นกระจกเป็นภาพวาดของสิ่งมีชีวิตหน้าตาคล้ายลิง แต่มีสันกรามที่ใหญ่กว่ามาก ร่างกายเปลือยเปล่าไร้เครื่องนุ่งห่ม ในมือถือเครื่องมือหินกระเทาะ

"นี่คือภาพวาดจากการสันนิษฐานของนักโบราณคดีที่ขุดค้นพบอารายธรรมยุคหินเก่าในประเทศฟรองซัวร์โดยหลักฐานพวกนี้คาดเดาจากการขุดค้นพบชิ้นส่วนกราม สะโพกและซี่โครง" มาสเตอร์โดมนิเตอร์บรรยายพร้อมกับชี้ภาพหลักฐานบนหน้าจอไปด้วย

"ฮาว น่าเบื่อชะมัด" เอลีนเอ่ยพร้อมกับปิดปากที่กำลังหาวหวอด ๆ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อรับรู้ถึงแรงหยิกหลังจากเพื่อนสนิทตัวเล็กข้างตัว "เจ็บนะ!" เขาเอ่ยกระซิบกับโคโกะที่จดทุกอย่างลงบนสมุดอย่างมันมือ

"ถ้ามาสเตอร์ถามขึ้นมา โคโกะไม่รู้ด้วยนะ" โคโกะเอ่ยล้อเอลีน เขาเชื่อว่ามาสเตอร์เหมือนจะสอนไปเรื่อย ๆ แต่จริง ๆ แล้วขณะสอนเขากวาดตาดูทุกคนในห้องไปพร้อมกัน หากใครเกิดมีท่าทีสัปหงก เขาจะเรียกให้ตอบคำถามทันที เรียกว่าเป็นวิชาที่น่าสยดสยองสำหรับคนชอบแอบหลับในคาบเรียนอย่างเอลีนไม่น้อย

เอลีนที่มีประสบการณ์แอบหลับจนมาสเตอร์เรียกให้ตอบคำถามจึงหยิบปากกามาจดเนื้อหาลงในสมุด ถึงแม้ว่าจะโดนหยิกหลังหรือโดนปลุกให้ตื่นจากการฟังบรรยายอันน่าเบื่อ แต่รอยยิ้มกลับปรากฎบนใบหน้าของเขา คนที่ปลื้มมาตลอดตั้งแต่สมัยชั้นประถมมานั่งเรียนข้าง ๆ แถมยังปลุกให้เราตั้งใจเรียน ชีวิตแฟนคลับของเขาสมบูรณ์แบบแล้วสำหรับวันนี้

เสียงระฆังดังเหง่งหง่างบ่งบอกว่าหมดคาบเรียนวิชาประวัติศาสตร์เบื้องต้น มาสเตอร์โดมนิเตอร์ปิดเครื่องฉาย เขากดปุ่มสีทองด้านข้าง กระจกค่อยเคลื่อนกลับลงไป กระดานดำค่อย ๆ เคลื่อนกลับมาที่เดิม เด็กห้อง 4 พากันรวบอุปกรณ์การเรียนสอดไว้ที่สายคาดหนังที่รัดหนังสือเอาไว้ หลายคนเดินออกมาจากห้องแห่งการหวนคืนด้วยสภาพอิดโรย เพราะโดนยัดข้อมูลยุคหิน ยุคสำริด ยุคโลหะอย่างเต็มเหนี่ยวจากมาสเตอร์โดมนิเตอร์ นอกจากต้องชื่นชมตัวเองที่ผ่านชั้นเรียนอันแสนทรหดกับ 3 ยุค 3 ชั่วโมงมาได้แล้วนั้น ยังต้องชมมาสเตอร์ที่สามารถบรรยายเรื่องราวพวกนี้ราวกับกำลังพูดคุยเรื่องเรื่อยเปื่อย

"ฉันยอมใจมาสเตอร์โดมนิเตอร์เลยจริง ๆ เขาสามารถพูดถึงยุคหิน ยุคสำริด ยุคโลหะรวดเดียวโดยที่จิบน้ำแค่ตอนต้นคาบ" เวอร์นีย์ ไวส์แมน เด็กหนุ่มผมยุ่งไม่เป็นทรงสีโรสวู้ดเอ่ยกับเอลีน

"เขาสามารถจำเรื่องราวพวกนี้ได้ยังไงกันนะ พวกนายดูสิ..ฉันจดตามที่เขาพูดมันกินหน้ากระดาษสมุดโน้ตไปตั้ง 15 หน้า!" เวอร์นอน ไวส์แมน ฝาแฝดของเวอร์นีย์ที่มีใบหน้าเหมือนกันราวกับแกะ ต่างกันเพียงทรงผม เวอร์นีย์จะมีผมทรงเซอ ๆ ไม่เป็นทรง ในขณะที่เวอร์นอนจะผมสั้นเกรียน เวอร์นอนโชว์ความหนาของหน้ากระดาษสมุดโน้ตที่เขาจดตามคำบรรยายของมาสเตอร์ชนิทที่ว่าจดแบบลืมหายใจ

"เอลีนน่ะนะหลับน้ำลายยืด ต้องให้โคโกะคอยหยิกหลังตลอดเลย" โคโกะเอ่ยแซวเอลีนกับฝาแฝดไวส์แมน ทำเอาเจ้าตัวร้อนรนรีบเอามือปิดปากของเด็กหนุ่มหน้าสวยเอาไว้

ตุบ! ในขณะที่ทั้ง 4 คนกำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานเพื่อตรงไปยังโรงอาหาร โคโกะเดินชนเข้ากับใครบางคน หนังสือวิชาประวัติศาสตร์เบื้องต้นเล่มหนาพร้อมด้วยสมุดโน้ตหล่นทับลงบนเท้าของคน ๆ นั้นเข้าอย่างจัง เขาก้มลงไปเก็บหนังสือและสมุด เมื่อเงยหน้าขึ้นมาตั้งใจว่าจะขอโทษ ทว่าเมื่อดวงตาสีฟ้าอ่อนใสสบเข้ากับดวงตาสีนิล ร่างกายของโคโกะหยุดค้างนิ่งในบัดดลเช่นเดียวกับชายหนุ่ม

ดวงตาสีฟ้าอ่อนใส ผมสีขาวพิสุทธิ์ เหมือนกับเด็กคนนั้นไม่มีผิด แม้เขาจะจดจำได้เพียงสีผมและสีตา แต่สีทั้งสองนั้นกลับหาได้ยากยิ่งทั้งในกลุ่มแวมไพร์หรือกลุ่มมนุษย์ รสชาติของเลือดที่ไม่เหมือนใครยังคงติดอยู่ที่ประสาทสัมผัสของเขาไม่มีวันจางหายจนกว่าจะได้ลิ้มลองมันอีกครั้ง

"ขอโทษครับ" โคโกะกัดฟันกล่าวขอโทษ คนตรงหน้าเป็นใครทำไมเขาจะจำไม่ได้..ทาคุยะ เบรค ร่างบางรวบเก็บหนังสือและสมุดโน้ต ทำทีว่าจะเดินตามกลุ่มเพื่อน ๆ ไป ทว่าข้อมือของเขากลับถูกทาคุยะจับเอาไว้แน่น

"ขอ..คุยด้วยหน่อยได้ไหม" ทาคุยะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่กลับทำให้รอบข้างหวั่นเกรงจนไม่กล้าขัดคำของเขา

แน่นอนว่าโคโกะต้องปฏิเสธอย่างไม่ต้องสงสัย ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปากปฏิเสธ มือของใครบางคนจับมือของทาคุยะหวังจะดึงออก ทว่ามือของชายหนุ่มไม่มีวันที่จะปล่อยง่าย ๆ เอลีนเอ่ยด้วยน้ำเสียงปราศจากความขี้เล่นเหมือนทุกครั้งว่า

"คุณไม่เห็นเหรอว่าเพื่อนผมเขาไม่สบายใจที่จะคุยกับคุณ การที่คุณทำตัวแบบนี้มันโคตรจะเสียมารยาทจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นนักเรียนไบรอันนาเลยนะครับ"

คิ้วเรียวของทาคุยะขมวดมุ่นเข้าหากันในทันที เขาไม่เคยนึกมาก่อนว่าจะมีมนุษย์คนไหนกล้าพูดจาสามหาวใส่เขา เขาคิดว่าตัวเองไม่ได้กระทำรุนแรงหรือพูดจาไม่ดีใส่เด็กหนุ่มผมสีขาวผู้มีใบหน้างดงาม และไม่ใช่เรื่องที่เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลคนนี้จะมายุ่ง แต่ถึงจะหงุดหงิดไม่น้อยทาคุยะเลือกที่จะปล่อยมือของเด็กหนุ่มผู้งดงามไปโดยไม่พูดอะไร เขาหันหลังให้กับทั้งสอง เอย์จิหันมาทำท่าขอโทษขอโพยถึงจะเดินตามหลังทาคุยะไป

"ให้ตายสิ! พวกแวมไพร์นี่ถือดีเหมือนกันหมดทุกตัวเลยรึไงนะ" เวอร์นอนเอ่ยอย่างหัวเสียก่อนจะตักอาหารเข้าปาก

"เขาเป็นถึงหลานชายของประธานสภากลางฝ่ายแวมไพร์เชียวนะ จะมาเหมือนพวกเราได้ยังไง เวลาอยู่ล้านคงถูกสอนให้ทำหน้านิ่งเหมือนกล้ามเนื้อบนหน้าตาย" เวอร์นีย์เอ่ยล้อเลียนพร้อมกับหันไปหัวเราะคิกคักกับฝาแฝดผู้น้อง

"ฉันมีคำถาม ที่พวกนายบอกว่าเขาเป็นหลานชายของประธานสภากลางฝ่ายแวมไพร์ " เอลีนเอ่ยถาม

"เขาคนนี้มีชื่อเสียงจะตาย ทาคุยะ เบรค หลานชายของ 'โทโมอิทสึ เบรค' เป็นแวมไพร์..สายเลือดบริสุทธิ์ด้วยนะ" เวอร์นอนพูดเสียงเบา "ว่ากันว่าที่นี่ไม่มีใครกล้าขัดทาคุยะ เบรคคนนั้นเลยสักคนเดียว ไม่สิ..ในชั้นเรียนแวมไพร์จะมีแวมไพร์ 5 ตนที่ถูกขนานนามว่า 'รัตติกาลอันสูงส่ง' พวกเขามาจาก 5 ตระกูลแวมไพร์เก่าแก่และมีชื่อเสียง ยิ่งไปกว่านั้นแทบไม่มีสายเลือดอื่นใดมาปะปน ตระกูลพวกนั้นมีตระกูลเบรค ตระกูลทากาฮาชิ ตระกูลคอลลิน ตระกูลอันโดะและตระกูลโรแวน"

"พวกนายจะบอกว่าประเทศของเราในตอนนี้อยู่กำมือของแวมไพร์งั้นเหรอ" เอลีนเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ ตามหนังสือประวัติศาสตร์ที่เรียนมาบอกว่าตระกูลอาเดลลี่สามารถกำจัดอิทธิพลของแวมไพร์ได้ แล้วทำไมทุกคนถึงต้องเกรงใจตระกูลเบรคขนาดนั้น

"เอลีนคงไม่ได้ตามข่าวการเมืองเท่าไหร่สินะ ไม่สิ..เรื่องการเมืองน่ะถูกปิดบังจากสายตาประชาชนมาโดยตลอดนั่นละ" โคโกะเอ่ยก่อนจะตักมันบดกินก่อนจะเอ่ยต่อว่า "ตอนนี้รัฐสภา กระทรวง หรือแม้กระทั่งสื่อล้วนมีแวมไพร์อยู่เบื้องหลัง ถ้าจะให้ไล่เรียงแบบง่าย ๆ ตระกูลเบรคจะมีอิทธิพลอยู่ที่สภากลางและรัฐสภา ตระกูลทากาฮาชิจะมีอิทธิพลอยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศ ตระกูลคอลลินและตระกูลอันโดะมีอิทธิพลในเรื่องการผูกขาดอัญมณี และสุดท้ายตระกูลโรแวนมีอิทธิพลในสื่อ ถึงจะเป็นแวมไพร์แต่พวกเขากลับเห็นด้วยกับกฎหมายห้ามวิจารณ์ราชวงศ์"

"เรื่องนี้พวกเราคงไม่ได้เรียนจนกว่าจะจะขึ้นชั้นโดนิดนั่นแหละ" เวอร์นอนเอ่ยอย่างจนปัญญา

"ถึงโรงเรียนเราจะเป็นพื้นที่อิสระในเรื่องวิชาการ แต่กลับมีผลงานวิชาการออกไปเผยแพร่น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนคนส่ง มันเป็นเรื่องที่แปลก ใช่..มีข่าวลือว่าอาจารย์ใหญ่เนโรมีความสัมพันธ์กับกลุ่มรัตติกาลอันสูงส่ง" เวอร์นีย์เอ่ย

เอลีนรู้สึกว่าเขาช่างมีความรู้อันน้อยนิดเมื่อเทียบกับทั้ง 3 คน อาจจะเป็นเพราะเขาเป็นคนธรรมดา มีเป้าหมายเพียงเรียนจบ แล้วออกไปสืบทอดกิจการร้านเสริมความงามของทางบ้านเท่านั้น ทว่าเมื่อได้ฟังเรื่องราวจากปากเพื่อนแล้วนั้นโดยเฉพาะโคโกะ ทำให้เขายิ่งสงสัยเกี่ยวกับความลับของโครงสร้างสังคมมากขึ้นทีละน้อย..

.

.

- ห้องแห่งการเปิดโปงและปิดบัง -

ห้องแห่งการเปิดโปงและปิดบังเป็นห้องเรียนที่มีความกว้างที่สุด บนเพดานห้อยโคมไฟระย้าทำจากคริสตัลมีค่าราคาเหยียบหลักสิบล้านลิวโร ดวงไฟของโคมไฟจะไม่มีวันดับจนกว่าอัญมณีที่เป็นตัวกำเนิดพลังงานจะสลายหายไป วันนี้พื้นที่ของห้องแห่งการเปิดโปงและปิดบังเต็มไปด้วยโต๊ะทรงกลมที่บนโต๊ะมีชุดทานอาหารครบคอร์ส โต๊ะ 1 โต๊ะจะมีนักเรียนนั่ง 5 คน มาสเตอร์อานา ยูกิระ แอนนาเบตตา เป็นอาจารย์วัยชราลูกครึ่ง เธอชอบเกล้าผมทรงสูงตามแฟชั่นชนชั้นสูงที่เรียกว่า 'พูฟฟ์' บนผมที่เกล้าสูงนั้นประดับไปด้วยโบว์และดอกไม้ บางครั้งมักจะมีนักเรียนแอบขำขันกับเครื่องประดับฟูฟ่าบนหัวของมาสเตอร์

"สวัสดีเด็ก ๆ ทั้งหลายวันนี้เป็นวันแรกของการเรียน เราจะมาเริ่มต้นกันที่มารยาทบนโต๊ะอาหาร" มาสเตอร์อานาเอ่ยพร้อมกับจับไหล่ของเด็กนักเรียนห้อง 4 คนหนึ่งให้ยืดตรง เธอเป็นมาสเตอร์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าระเบียบ และเฮี้ยบเป็นที่สุด "ก่อนอื่นต้องรอให้เจ้าภาพนั่งลงก่อน ผู้เป็นแขกถึงจะเริ่มทยอยนั่งลง มือทั้งสองข้างต้องอยู่บนโต๊ะ ห้ามเอาไปสอดใต้ผ้าคลุมโต๊ะเป็นอันขาด"

เพี๊ยะ! เสียงไม้หวดทำจากหนังหวดลงบนมือของเอลีนจนเจ้าตัวต้องสะบัดมือที่กำลังวางอยู่บนตัก

"วันนี้เราจะมาเรียนกันตั้งแต่การนั่ง การจับช้อนส้อมมีด แก้วน้ำ รวมไปถึงมารยาทที่พึงกระทำ เพราะมันจะเป็นตัวบ่งบอกว่าพวกเธอได้รับการศึกษามาแบบไหน อีกทั้งบนโต๊ะอาหารสามารถเป็นสนามรบที่พวกเธออาจจะถูกเปิดโปงหรืออาจจะเป็นเวทีที่เอาไว้แสดงเพื่อปิดบังจุดประสงค์ ในทางการทูตแล้วโต๊ะอาหารเป็นอีกหนึ่งแหล่งข้อมูลชั้นเลิศ จะถูกเปิดโปงหรือปิดบังเร้นกายมารยาทบนโต๊ะล้วนเป็นส่วนประกอบหนึ่ง"

"ชีวิตฉันโคตรห่างไกลจากเรื่องพวกนี้เลย" เอลีนบ่นกระปอดกระแปดขณะพยายามจับส้อมตามมาสเตอร์อานา ช่างแตกต่างจากโคโกะที่ดูคล่องมือราวกับเป็นเรื่องปกติ เขาน่ะมาจากครอบครัวชนชั้นกลางนี่น่า โอกาสจะได้เข้าร่วมงานระดับสูงน้อยนิด ในหัวคิดแค่เรื่องรายได้พอกินไปวัน ๆ เท่านั้น

"ไม่แน่นะ อีกหน่อยเอลีนอาจจะได้แฟนเป็นชนชั้นสูงก็ได้ใครจะไปรู้ ได้ยินมาว่านายเองก็ทำผมเก่งนี่" โคโกะที่นั่งอยู่ข้างเอลีนเอ่ย

"นั่นพ่อแม่ฉันต่างหาก ฉันน่ะยังอีกยาวไกล แต่ว่าก็ว่าเถอะพวกชนชั้นสูงมีช่างประจำตัวกันทุกคน แถมคนเหล่านั้นล้วนจบการศึกษาจากโรงเรียนลาเบลเล่กันทั้งนั้น" เอลีนเอ่ย เขาเลือกที่จะไม่เข้าเรียนที่ลาเบลเล่เพราะเขาไม่อยากเรียนเรื่องพวกความสวยความงามอะไรมากมาย เขาตั้งใจว่าถ้าจบการศึกษาจากที่นี่ไปจะไปลงเรียนวิชาการบริหารที่สถาบันบริหารบิสเซอเน่ด้วยซ้ำ เพราะเขาตั้งใจจะบริหารมากกว่ามาลงมือทำเอง เรื่องช่างน่ะหาจ้างได้ เพราะในแต่ละปีโรงเรียนด้านความสวยความงามจะผลิตนักเรียนผู้เชี่ยวชาญมาไม่น้อย

"น่าแปลกที่นายไม่เรียนที่ลาเบลเล่" โคโกะเอ่ย เขาสงสัยอยู่ไม่น้อยเลยว่าทำไมเอลีนถึงมาสอบเข้าที่นี่

"ฉันไม่ได้ชอบเรื่องความสวยความงามเท่าไหร่" เอลีนเอ่ยก่อนจะรับตะกร้าขนมปังมาจากเพื่อน

โคโกะไม่ได้ถามอะไรต่อมากกว่านั้น เขาทาเนยสีแดงลงบนขนมปังตามมารยาทแบบถูกต้อง เรื่องพวกนี้เขาเรียนตั้งแต่ที่เป็นลูกบุญธรรมของครอบครัวเบลินดาในช่วงแรก ๆ วิชานี้จึงค่อนข้างจะน่าเบื่อสำหรับเขา เพราะเรียนในสิ่งที่รู้มาแล้วหลายอย่างด้วยกัน..

.

.

กลางคืนมาเยือนโคโกะออกไปซื้อเมล็ดพันธุ์ที่ร้านค้าของโรงเรียน เพราะมีจดหมายเวียนร่อนมาว่าให้นักเรียนชั้นแลนเฌียนทุกคนซื้อเมล็ดพันธุ์เตรียมเอาไว้สำหรับฝึกสัตว์วิเศษในคาบเรียนของมาสเตอร์อิพาเซร่า โทโคเมะ โคโกะจึงอาสาไปซื้อให้ทั้งในส่วนของตัวเองและของเอลีน ทำให้ในตอนนี้เด็กหนุ่มจากเมืองดราคูลอยู่เพียงลำพัง ในมือของเขามีจดหมายสีดำฉบับใหม่ ในนั้นเขียนข้อความด้วยปากกาสีเงินว่า

'มองฝั่งตรงข้ามของตึก จะเห็นไฟสัญญาณสีแดง มาเจอกันที่ลานฟอนตานา อย่าลืมเอาสลิงกี้มาด้วย'

เอลีนหยิบสลิงกี้ขึ้นมาใส่กระเป๋ากางเกง เขาดับไฟภายในห้องจนมืดสนิทก่อนจะออกจากห้องมุ่งสู่ลานฟอนตานาในยามค่ำคืน

ลานฟอนตานาในยามค่ำคืนมีลมพัดเอื่อย ๆ แสงไฟจากโคมไฟช่วยให้เกิดแสงสว่างในบางจุด กลิ่นดอกไม้นานาพันธุ์จากต้นไม้รอบสวนส่งกลิ่นหอมกรุ่นเหมาะสมที่จะเป็นสถานที่เดทในยามค่ำคืนมากกว่าเป็นสถานที่ฝึกฝน เอลีนเดินมายังจุดนัดหมาย เบื้องหน้าคือชายหนุ่มร่างยักษ์ ศีรษะล้าน สวมเพียงกางเกงขาจั๊มพ์สีดำกลมกลืนกับความมืดมิด

"มาแล้วเหรอ" ชายร่างยักษ์เอ่ยโดยที่หันมาช้า ๆ "ฉันจะมาฝึกนายใช้สลิงกี้เป็นเวลา 3 วัน หลังจากนั้นไม่ว่านายจะใช้ได้คล่องแคล่วมากน้อยแค่ไหน นายจะต้องรับภารกิจในฐานะเลทเทอร์เรีย รายได้จะหักเป็น 30% เข้ากองกลาง 70% เป็นของนาย ก่อนจะเริ่มฝึกนายต้องรู้จักเจ้าพวกนี้ซะก่อน"

ชายร่างยักษ์เทตะขอหลากหลายรูปแบบ หลากหลายขนาดลงบนพื้นหญ้าที่ช่วยกลบเสียงให้เบาลง เด็กหนุ่มมองตะขอเหล่านั้นด้วยอาการสงสัยและอึ้งในเวลาเดียวกัน

"นี่คือตะขอที่จะเชื่อมกับสลิงกี้" ชายร่างยักษ์อธิบาย "ขอสลิงกี้ของนายด้วย"

"อืม" เอลีนตอบรับพร้อมกับส่งสลิงกี้ให้กับชายร่างยักษ์ที่รับมันไปเชื่อมต่อกับตะขอ

"นี่คือตะขอหัวแหลม เอาไว้สำหรับโจมตีและช่วยให้นายโจมตีศัตรูได้ด้วยการดึงเข้าไปใกล้ ต่อมาคือตะขอเกี่ยวสามหัวเอาไว้ใช้ยึดเกาะกับเสาหรือต้นไม้ ส่วนเจ้านี้คือตะขอตัวเอสช่วยให้นายไต่ลงมาจากกำแพงได้" ชายร่างยักษ์อธิบายตะขอพื้นฐานให้กับเอลีน "วันนี้เราจะฝึกตะขอพื้นฐานกันก่อน เชื่อมตะขอหัวแหลมซะ"

เอลีนพยักหน้าเข้าใจ เขาเชื่อมต่อตะขอหัวแหลมเข้ากับสลิงกี้ จากนั้นเขาจึงเริ่มฝึกฝนการใช้ตะขอกับคนจากเลทเทอร์เรีย..

ขณะเดียวกันโคโกะกำลังไล่นิ้วแตะลงบนเมล็ดพันธุ์สำหรับฝึกฝนสัตว์วิเศษ เขาหยิบเมล็ดพันธุ์หลายซองใส่ลงไปในตระกร้า จังหวะนั้นเขาเจอเมล็ดพันธุ์ดอกกุหลาบสีขาว ซึ่งเป็นเมล็ดพันธุ์ซองสุดท้ายที่เหลืออยู่ เขาหยิบมันในทันที แต่ชั่ววินาทีที่หยิบซองเมล็ดพันธุ์นั้นมือของเขากลับหยิบซองพร้อมกับมือของใครบางคน เด็กหนุ่มหันไปมองพร้อมกับผละมือออกจากซองเมล็ดพันธุ์ดอกกุหลาบสีขาว เขาสัมผัสได้ในทันทีว่าบุคคลตรงหน้าคือแวมไพร์

"เธออยากได้เมล็ดดอกกุหลาบขาวสินะ" เด็กหนุ่มผมสีทอง ดวงตาสีไพลินเอ่ยอย่างราบเรียบขณะมองไปยังเด็กหนุ่มตรงหน้า "เธอนี่เองที่ท่านทาคุยะอยากคุยด้วย" เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดทะเล้นพร้อมกับก้มหน้าลงมาใกล้ แล้วใช้มือเชยใบหน้างดงามให้สบกับดวงตาสีไพลินของเขา

"หมายถึงรุ่นพี่เมื่อตอนกลางวันสินะครับ" โคโกะเอ่ยด้วยสีหน้าไม่ไว้วางใจต่อให้พื้นที่ตรงนี้จะเป็นกลาง แต่พวกแวมไพร์ไม่มีทางไว้ใจได้เลยสักตนเดียว พวกมันไม่ต่างกับเดรัจฉานที่พร้อมจะฉีกกระชากเหยื่อยามหิวโหย

"แต่ฉันได้ยินมาว่ามีอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยเธอเอาไว้ ลืมแนะนำตัวไปเลย อันโดะ โคเมย์ คือชื่อของฉัน หวังว่าเราคงจะมีโอกาสได้เจอกัน" โคเมย์เอ่ย เขาหยิบถุงเมล็ดพันธุ์ดอกกุหลาบขาวติดไปด้วย

อันโดะ..ตระกูลแวมไพร์เศรษฐีใหญ่ที่ผูกขาดการค้าอัญมณี และด้วยเหตุนี้เองทำให้ตระกูลอันโดะรู้ประสิทธิภาพของอัญมณีดีที่สุดจนมีคำกล่าวว่าพวกเขาไม่สามารถปราบได้ด้วยพลังจากอัญมณี...